|
การดำรงชีวิตที่เลียนแบบชาวตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกัน
มีผลทำให้คนไทยเจ็บป่วยด้วยรูปแบบของโรคภัยไข้เจ็บที่คล้ายชาวอเมริกันไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นเดี๋ยวนี้ โรคหัวใจขาดเลือดคร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด
เป็นอันดับหนึ่งเหมือนชาวอเมริกัน ตามมาด้วยอุบัติเหตุและมะเร็ง
ในบรรดามะเร็งทั้งหลายนั้น คนไทยจะรู้จักหรือเคยชินกับมะเร็งปอด, เต้านมหรือมดลูกมากกว่าเพื่อน ส่วนมะเร็งของลำไส้ใหญ่มักไม่ค่อยได้พูดถึงกัน
ทั้งๆ ที่ขณะนี้มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ขยับขึ้นมาเป็นฆาตกรอันดับสอง
ของมะเร็งทั้งหลายในสหรัฐอเมริกา มีผลทำให้ชาวอเมริกัน
ตายจากโรคนี้ปีละ 60,000 คน และอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้
ตลอดชั่วชีวิตได้เพิ่มจาก 1 ต่อ 25 เมื่อ 30 ปีก่อนมาเป็น 1 ต่อ 20 ในปัจจุบัน
มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงพอควร แต่ก็เป็นมะเร็ง
ที่รักษาให้หายขาดได้เช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าโอกาสรอดชีวิตเกิน 5 ปี
หลังการผ่าตัดมีถึง 60% และจะเพิ่มเป็น 80% ถ้าแพทย์สามารถวินิจฉัย
มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้นจะวินิจฉัยให้เร็วขึ้นได้
อย่างไรยังเป็นประเด็นถกเถียงในวงการแพทย์ เพราะแต่ละวิธีก็ดีๆ ทั้งนั้น
เพียงแต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ กันออกไป
เมื่อเร็วๆ นี้นักการเมืองระดับผู้นำของชาติ ที่เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี
และปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดกลางที่ร่วมรัฐบาลผสมอยู่
คือพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณล้มป่วยด้วยโรคลำไส้ใหญ่ และต้องรับการผ่าตัด
ลำไส้ออกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งการแถลงข่าวปรากฏว่า
เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งศัลยแพทย์สามารถตัดออกมาได้
"ใกล้หมอ" จึงเห็นว่าน่าจะนำเสนอเรื่องมะเร็งลำไส้ใหญ่
เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจและรู้จักโรคนี้ยิ่งขึ้น จะได้นำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันเพื่อคอยเฝ้าระวัง
และป้องกันโรคนี้ไว้
ใครคือคนที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่บ้าง ?
ประเด็นสำคัญคือ อุบัติการหรือโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
จะเพิ่มขึ้นตามวัย คือปกติจะพบน้อยในคนอายุไม่ถึง 40 ปี
แต่โอกาสเสี่ยงจะเพิ่มเป็น 2 เท่าทันทีหลังอายุ 50 ปีแล้ว และความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอีกถ้าหากมีปัจจัยเสริมดังต่อไปนี้ คือ
- มีญาติใกล้ชิด เช่น พ่อแม่หรือพี่น้องเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- มีญาติใกล้ชิดที่เป็นโรคเนื้องอกของลำไส้ใหญ่ ชนิดที่เรียกว่า
FAMILIAL POLYPOSIS
- เป็นโรคลำไส้อักเสบ (INFAMMATORY BOWEL DISEAES)
- รับประทานอาหารที่อุดมด้วยไขมัน แต่มีเส้นใยอาหารต่ำ
- ตัวเองเคยเป็นเนื้องอกชนิด โพลิป (POLYP) ของลำไส้ใหญ่
เนื้องอกนี้ส่วนใหญ่จะไม่กลายเป็นมะเร็ง แต่ถ้าทิ้งไว้ให้มันเจริญเติบโต
บนผนังของลำไส้ใหญ่ไปนานๆ แล้วบางอันก็จะกลายเป็นเนื้อร้ายได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโพลิปที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตร จะมีโอกาสกลายได้มากกว่าที่มีขนาดเล็กกว่านั้น
เนื่องจากกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่การรักษาโรคมะเร็งให้หายขาด
ได้ในปัจจุบันนี้ยังขึ้นอยู่ที่การค้นพบหรือวินิจฉัยได้ตั้งแต่แรกเริ่มเป็น
เพื่อผลการรักษาที่ดีขึ้น นักวิจัยทางการแพทย์จึงพยายามหาวิธีค้นหา
มะเร็งลำไส้ใหญ่แบบง่ายๆ ไม่แพงมาก ซึ่งขณะนี้มีทั้งวิธีที่แพง
และแม่นยำพอสมควรกับวิธีที่ถูกแต่แม่นยำน้อยหน่อย เกิดเป็นปัญหาว่าวิธีไหนจึงจะคุ้มค่าที่สุดในการตรวจคัด
ประชากรกลุ่มใหญ่ๆ นับสิบๆ ล้านคน
เหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้วงการแพทย์ตกลงไม่ได้ในหลักการ
ก็เพราะยังไม่แน่ใจว่า ถึงจะตรวจพบมะเร็งได้แต่เนิ่นๆ แล้วรีบรักษาจะทำให้การตายจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลงจริงหรือเปล่า
จนกระทั่งงานวิจัยเมื่อปี 2535 ที่ตีพิมพ์ในวารสารแพทย์นิวอิงแลนด์
บ่งบอกว่า การเอากล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนักเป็นระยะๆ จะช่วยลดการตายจากมะเร็งลำไส้ได้ 30%
อีกวิธีหนึ่งซึ่งใช้เป็นหลักการทั่วไปได้ก็คือ ถ้าสมมติว่าท่านผู้อ่าน
ไม่มีอาการอะไรเลยที่จะทำให้สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็อาจจะยังไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาไปตรวจพิเศษ
จนกว่าจะมีอาการที่ทำให้สงสัย
อาการอะไรที่ทำให้นึกถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ?
- เลือดออกทางทวารหนัก
- อุปนิสัยการขับถ่ายปัสสาวะที่เปลี่ยนไป เช่น เคยท้องผูกกับ
ถ่ายเหลวบ่อย ๆ เคยถ่ายปกติกลับท้องผูก อย่างนี้เป็นต้น
- ปวดมวนท้องหรือปวดท้องบ่อย ๆ
- โลหิตจางโดยไม่ทราบสาเหตุ
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
สิ่งสำคัญที่ผู้อ่านควรจำไว้คือว่า มะเร็งลำไส้ใหญ่
อาจปรากฏขึ้นที่ผิวหนังลำไส้โดยไม่มีอาการแสดงอะไรเลย แต่ถ้าเป็นจนมีอาการดังกล่าวนี้อาจหมายความว่า
ก้อนมะเร็งใหญ่มากแล้ว จึงขอให้รีบไปปรึกษาคุณหมอโดยเร็ว
เนื่องจากวงการแพทย์ต้องการตรวจจับมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ
จะได้รักษาให้หายขาดได้ พวกเขาจึงเสนอวิธีต่างๆ ให้เลือกตรวจคือ
1. ใช้นิ้วตรวจทวารหนัก (DIGITAL EXAMINATION)
คือการที่หมอสวมถุงมือแล้วใช้นิ้วชี้ทาสารหล่อลื่นเพื่อสอดนิ้ว
เข้าไปผ่านรูทวารหนักเพื่อตรวจลำไส้ใหญ่และทวารหนักส่วนปลาย
จัดเป็นวิธีที่ง่าย, สะดวก, ราคาถูกและไม่เจ็บ สามารถทำได้
ที่ห้องตรวจของหมอทั่วไป
เป็นที่น่าเสียดายว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่นิยมให้คุณหมอตรวจ
หรือหลายคนปฏิเสธ ไม่ยินยอมให้หมอตรวจวิธีนี้แม้คุณหมอเห็นว่า
น่าจะตรวจด้วยเหตุนี้ วัฒนธรรมไทยและเจตคติของคนไทย
จึงมีส่วนทำให้การตรวจหามะเร็งล่าช้าลง
2. การตรวจหาเลือดในอุจจาระ
ปกติอุจจาระที่เราขับถ่ายทุกวันไม่มีเลือดปนอยู่เลย
แต่ถ้าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้วอาจทำให้เลือดออกซิบๆ จากเนื้อร้ายซึ่งเลือดแม้เพียงนิดเดียวเวลาปนเปื้อนมาในอุจจาระแล้ว เราสามารถตรวจพบได้โดยเอาอุจจาระมาให้คุณหมอตรวจ หรือในสหรัฐอเมริกาอาจมีอุปกรณ์การตรวจเพื่อให้ทำเองที่บ้านได้
อย่างไรก็ตาม การตรวจเลือดในอุจจาระในกลุ่มคนนับแสนนับล้านคน อาจได้ผลบวกเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ทำให้ดูเหมือนว่าไม่คุ้มค่า
หรือราวกับขี้ช้างจับตั๊กแตน
ข้อดีของวิธีนี้คือ ทำง่าย, ราคาไม่แพง, ไม่เจ็บ
ข้อเสียคือ เนื้องอกโพลิปและมะเร็งลำไส้ใหญ่
จำนวนมากอาจตรวจไม่พบด้วยวิธีนี้ หรือไม่ก็ให้ผลบวกลวงคือ บอกว่า
มีเลือดแต่เลือดไม่ได้ออกจริงๆ
3. การส่องกล้องตรวจทวารหนัก
เนื่องจากมะเร็งของลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่
จะเป็นที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายต่อเนื่องถึงทวารหนัก
จึงอาจใช้กล้องส่องตรวจทวารหนักแบบสั้นซึ่งมีความยาว
25 เซนติเมตร ส่องดูผนังทวารหนักซึ่งจะวินิจฉัย
เนื้องอกโพลิปและมะเร็งขนาด 1 เซนติเมตรขึ้นไปได้ กว่า 95%
อันตรายจากการส่องกล้องคือ
กล้องอาจมีโอกาสดันทะลุลำไส้ใหญ่ได้ในอัตรา 1 ต่อ 10,000 ครั้ง
ข้อเสียข้องวิธีนี้คือ ต้องมีการชะล้างลำไส้ใหญ่อย่างดี โดยใช้ยาถ่ายหรือการสวนทวาร ขณะตรวจอาจอึดอัด แต่ก็ใช้เวลาน้อยกว่า
5 นาที และตรวจได้เพียง 25 เซนติเมตรของลำไส้ใหญ่
ข้อดี คือ มีความแม่นยำ สามารถวินิจฉัย
และในหลายกรณีสามารถทำการผ่าตัดเนื้องอกหรือเนื้อร้ายออกได้เลย
ต่อมามีการประดิษฐ์กล้องส่องตรวจที่ยาวขึ้นและเป็นกล้องงอได้
(FLEXIBLE SIGMOIDOSCOPE) ยาวประมาณ 60 เซนติเมตร
ทำให้สามารถส่องดูลำไส้ใหญ่ได้ยาวขึ้น แต่ยังมีข้อเสียคล้ายกล้องส่องที่สั้นกว่า
คือยังดูได้ไม่ทั่วลำไส้ใหญ่ และมีอัตราการทะลุ 1: 5,000 กล้องที่ดูได้ทั่วลำไส้ใหญ่
จะมีขนาดยาวราว 1 เมตร ปรับงอได้มีอัตราการทะลุลำไส้ 1 : 500
มีข้อเสียคล้ายกล้องแบบส่องอื่นๆ และใช้เวลาตรวจนานกว่าคืออาจถึง
1 ชั่วโมง และบ่อยครั้งส่องดูไม่ถึงลำไส้ใหญ่ส่วนต้นที่เรียกว่า "ซีกั้ม"
(CECUM) ซึ่งมีอัตราการเกิดมะเร็ง 20% ของลำไส้ใหญ่ทั้งหมด
4. การถ่ายภาพรังสีของลำไส้ใหญ่
การสวนแป้งแบเรียมเข้าไปฉาบลำไส้ใหญ่แล้วถ่ายภาพเอกซเรย์เรียกว่า
"แบเรียม เอเนมา" (BARIUM ENEMA) ใช้เวลาตรวจประมาณ
30 นาที ซึ่งถ้าหากรังสีแพทย์ให้เทคนิคสวนแป้งแบเรียมร่วมกับแก๊ส
คือลมเข้าไปด้วยแล้วจะเรียกว่า DOUBLE CONTRAST BARIUM ENEMA
โดยรังสีแพทย์บางท่านบอกว่า ทำให้ภาพที่เห็นช่วยการวินิจฉัยที่แม่นยำขึ้น
โอกาสเกิดลำไส้ทะลุ จากการเอกซเรย์แบบนี้มี
1: 5,000 ครั้ง
ข้อเสียคือ การเตรียมตัวก่อนตรวจที่สร้างความอึดอัดเล็กน้อย
เนื่องจากต้องเตรียมลำไส้ให้สะอาดโดยใช้การสวนและยาระบายควบคู่กัน ผู้รับการตรวจต้องสัมผัสรังสีและเมื่อตรวจพบเนื้องอก
ก็ต้องส่องกล้องไปตรวจซ้ำเพื่อตัดชิ้นเนื้อมาตรวจอีกที
ข้อดีคือ ตรวจดูลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด,
แม่นยำพอสมควร, ราคาปานกลางและปลอดภัยมาก
สรุปการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการตรวจลำไส้ใหญ่
| ประเทศ / การตรวจ |
สหรัฐอเมริกา (เหรียญสหรัฐ) |
ประเทศไทย เช่น รพ.เปาโลเมโมเรียล (บาท) |
| 1. ตรวจด้วยนิ้วมือ |
รวมอยู่ในการตรวจร่างกาย |
รวมอยู่ในการตรวจร่างกาย |
2. ตรวจหาเลือดในอุจจาระ (FECAL CCCULT BLOOD TEST) |
20-40 | 140 |
3. ส่องกล้องตรวจแบบ SIGMOIDOSCOPY |
80-120 | 4,500 |
| 4. FLEXIBLE SIGMOIDOSCOPY |
160-200 | 4,500 |
| 5. COLONOSCOPY |
700-900 | 4,500 |
| 6. BARIUM ENEMA |
180-240 | 1,800
|
ทำอย่างไรดีที่สุด ?
เนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่ค่อยเป็นค่อยไป จึงอาจปรากฏเป็นเนื้องอกอยู่ที่ผนังลำไส้โดยไม่มีอาการอยู่เป็นหลายๆ ปี แต่ถ้าโชคดีเกิดตรวจพบได้แต่เนิ่น ๆ ก็จะทำให้รักษาหายขาดได้
ดังนั้นในกรณีที่ท่านผู้อ่านมีอายุเกิน 50 ปี แล้ว
การตรวจร่างกายประจำปีเป็นระยะๆ เช่นตรวด้วยกล้องส่องทวารหนัก
และสวนแป้งแบเรียมเพื่อถ่ายภาพเอกซเรย์ ทุกๆ 3-5 ปี
จะตรวจคัดเพื่อวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าหากท่านเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเป็นองค์ประกอบเสริม
ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ยิ่งถ้าสมาชิกในครอบครัวของท่าน
คนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ด้วยแล้ว บางทีท่านจะต้องยอมรับสภาพ
แล้วไปรับการตรวจดังกล่าวบ่อยขึ้น เช่น ทุกปีเป็นต้น
แนวทางป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
การป้องกันหรือการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดที่ดีที่สุดคือ
การไม่สูบบุหรี่
แต่ถ้าต้องการป้องกันหรือลดโอกาส
เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ล่ะจะทำอย่างไร ?
คำตอบในขณะนี้อาจยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีหลักฐานชี้แนะว่า
การบริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำมีเส้นใยมากๆ จะช่วยลดความเสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
การวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า
ผู้ชายที่รับประทานเส้นใยอาหาร (FIBER) มากๆ และไขมันน้อยๆ จะมีโอกาสเกิดเนื้องอกโพลิปน้อยลงอีกต่างหาก ซึ่งก็เป็นการป้องกัน
มะเร็งไปในตัวเนื่องจากมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจกลายมาจากโพลิป
สถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้เรารับประทาน
อาหารที่มีเส้นใยอาหารอย่างน้อยวันละ 20-30 กรัมหรือราว 2
เท่าของที่กินกันอยู่ตามปกติ
วิธีที่ฝรั่งจะทำได้ก็โดยการบริโภคขนมปัง, ข้าวกล้อง,
เติมใยอาหาร (BRAN) ลงไปในอาหารที่กำลังปรุงเอง
ใช้ผักตระกูลถั่วประกอบอาหารให้มากขึ้น
สำหรับคนไทยก็อาจเลียนแบบโดยใช้ข้าวกล้อง, ข้าวซ้อมมือ
มีผักผลไม้ในอาหารแต่ละมื้อมากขึ้น ซึ่งแม้ว่าการรับประทานไขมันลดลง
และใยอาหารเพิ่มขึ้นอาจไม่ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างแท้จริง 100% แต่อาหารดังกล่าวก็ต้องด้วยสุขอนามัย สามารถป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
และถ้าผสมผสานกับการตรวจหามะเร็งด้วยวิธีต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว
ก็จะช่วยให้ตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เนิ่นขึ้น
ท่านที่ติดตามข่าวการแพทย์อาจเคยอ่านเจอว่า
ยาแอสไพรินป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้ แต่ท่านทราบไหมครับว่า
แอสไพรินอาจป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย ดังรายงาน
จากวารสารแพทย์นิวอิงแลนด์ปี 2534 ที่พบว่าคน 600,000 คน
ที่รับประทานแอสไพรินเป็นประจำจะมีอัตราตาย
จากมะเร็งลำไส้ใหญ่ลดลง ซึ่งแม้จะยังไม่พบกลไกลแท้จริงว่า
แอสไพรินลดอุบัติการณ์ของมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเปล่า
แต่ก็ทำให้สบายใจขึ้นอีกหน่อย
มองไปในอนาคต ขณะนี้นักวิจัยค้นพบหน่วยพันธุกรรม (GENE) ซึ่งเป็นสาเหตุของเนื้องอกโพลิปที่เป็นกันทั้งครอบครัว (FAMILIAL
POLYPOSIS) แล้วต่อไปจะวิจัยหาหน่วยพันธุกรรม
ที่ก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่อไป และหวังว่าใน 5-10 ปี ข้างหน้าจะสามารถพัฒนาวิธีการตรวจเลือดอย่างง่ายๆ และราคาถูกเพื่อจะบอกว่าผู้ใดมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง
ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่กว่าจะถึงวันนั้น ท่านผู้อ่าน
ลองพิจารณาดูว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูงมากน้อยเพียงใด
แล้วตัดสินใจไปให้คุณหมอตรวจเป็นระยะๆ ทุก ๆ 1-3 ปี ส่วนท่านที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยก็อาจเก็บเงินไว้ก่อนได้
|