ถ้าท่านเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แพทย์จะคุยกับท่านเกี่ยวกับวิธีรักษา
วิธีต่างๆ ตั้งแต่การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด การฉายแสง ตลอดจนบอกถึงผลดี-ผลเสีย
และการพยากรณ์โรคด้วย
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในการวางแนวทางการรักษาและการพยากรณ์ว่า
โรคมะเร็งจะมีผลต่อท่านมากน้อยเพียงใด เร็วช้าแค่ไหนคือ การกำหนดระยะของมะเร็งครับ
ศัลยกรรมผู้ผ่าตัดเอามะเร็งออจากลำไส้ใหญ่และพยาธิแพทย์ผู้ตรวจชิ้นเนื้อ
ที่แพทย์ตัดออกมาจะเป็นผู้บอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะ (stage) ใด
การหาว่ามะเร็งอยู่ในระยะใดจะช่วยให้แพทย์และตัวท่านเอง
ด้วยทราบเกี่ยวกับความเสี่ยงของมะเร็งที่ท่านเป็นว่ามากน้อยเพียงใด
จะหายขาดหรือกำเริบขึ้นมาอีกไหม
การรักษาด้วยยาที่เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง (เคมีบำบัด)
มักจะใช้เมื่อมีความเสี่ยงว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่จะกลับมาเป็นอีก
การฉายแสงหรือใช้รังสีไปทำลายเซลล์มะเร็ง (รังสีบำบัด)
อาจใช้ก่อนผ่าตัดหรือหลังจากผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อระยะของการเป็นมะเร็งมีความสำคัญอย่างนี้ก็อยากจะให้ท่าน
มีความรู้ความเข้าใจบ้างพอสมควรครับ
ระบบที่นิยมใช้ในการกำหนดระยะมะเร็งคือ ระบบทีเอ็นเอ็ม (TNM) ครับ
ระบบนี้กำหนดระยะของมะเร็งโดยพิจารณาจากปัจจัย 3 อย่างคือ
1. ความลึกที่มะเร็งบุกรุกเข้าไปในผนังลำไส้ใหญ่
2. การแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง
3. การแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น
จากข้อมูลของปัจจัย 3 อย่างนั้นก็มากำหนดระยะได้ 4 ระยะ แบบนี้ครับ
ระยะที่ 1 หมายถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มะเร็งยังจำกัดอยู่แค่ชั้นในของผนังลำไส้
ไม่ทะลุเลยชั้นของกล้ามเนื้อผนังลำไส้ และไม่แพร่ไปถึงต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะครับ
มะเร็งระยะนี้นับว่าเบาที่สุด และการพยากรณ์โรคก็ดีที่สุดครับ
รักษาด้วยการผ่าตัดอย่างเดียวก็มีโอกาสหายขาดสูง มักไม่ต้องใช้เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด
ระยะที่ 2 หมายถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่กินลึกลงไปในผนังลำไส้กว่าระยะที่ 1
ทะลุชั้นกล้ามเนื้อของผนังลำไส้ใหญ่ออกไป แต่ยังไม่ไปต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะที่ห่างออกไป
มะเร็งลำไส้ใหญ่ปลายระยะที่ 2 อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับเป็นขึ้นมาใหม่
พยาธิแพทย์ที่ตรวจวิเคราะห์ชิ้นเนื้อที่ศัลยแพทย์ตัดออกมาจะช่วยบอกได้ครับว่า
มีความเสี่ยงสูงหรือไม่
ถ้ามีความเสี่ยงสูงที่มะเร็งจะกำเริบขึ้นมาอีกแพทย์จะแนะนำว่าท่านควรได้รับการรักษาด้วยยา
ซึ่งจะไปฆ่าเซลล์มะเร็ง ถ้ามะเร็งอยู่ใกล้ทวารหนักอาจต้องใช้รังสีบำบัดด้วย
ระยะที่ 3 หมายถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แพร่กระจายจากลำไส้เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว
แต่ยังไม่บุกรุกอวัยวะอื่นที่อยู่ห่างออไป มะเร็งระยะนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นใหม่ครับ
การรักษาที่ใช้ทั้งเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด อาจช่วยป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับเป็นใหม่
และช่วยเพิ่มอัตราการอยู่รอดจากมะเร็งชนิดนี้ให้สูงขึ้นครับ
ระยะที่ 4 หมายถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกายแล้ว
เช่น ไปที่ตับหรือกระดูกเป็นระยะที่รุนแรงที่สุดของมะเร็งแล้วครับ รักษาไม่หาย
ได้แค่บรรเทาอาการต่างๆ ให้ลดลง ไม่ให้ทรมาน
เคมีบำบัด หมายถึงการรักษาผู้ป่วยมะเร็งด้วยการให้ยาหรือสารที่จะไปฆ่า
หรือทำลายเซลล์มะเร็ง ที่อาจหลงเหลืออยู่หลังจากที่ได้ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปแล้ว
ยังมียาหรือสารอีกชนิดหนึ่งที่ใช้รักษามะเร็งลำไส้ครับ สารนี้ไม่ได้ไปฆ่า
หรือทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง แต่ไปช่วยให้ร่างกายของเราหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ต่อสู้กับมะเร็งได้ดีขึ้น
เมื่อใช้ยานี้ร่วมกับเคมีบำบัดพบว่าผลการรักษาดีขึ้น อัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยสูงขึ้น
เมื่อเทียบกับการรักษาโดยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว
ข้อเสียหรือผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ของเคมีบำบัดก็มีพอสมควรครับ
ที่พบบ่อยได้แก่ คลื่นไส้ ท้องร่วง ปากเปื่อย ผื่นตามผิวหนัง ผมร่วง กดการทำงานของไขกระดูก
การทำงานของตับผิดปกติ เดินเซ อารมณ์ขุ่นมัว
การให้เคมีบำบัดต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นระยะยาว เช่น
น้ำตาไหลตลอดเวลา ผิวแห้ง ผิวชา หรืออาจเกิดมะเร็งชนิดอื่นตามมา
รังสีบำบัดหรือรังสีรักษา หมายถึงการฉายรังสีไปฆ่าหรือทำลายเซลล์มะเร็ง
เป็นวิธีการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่ใช้ควบคู่กับการผ่าตัด
บางแห่งใช้รังสีบำบัดก่อนผ่าตัดแต่ส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้รังสีหลังผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว
รังสีจะลดโอกาสที่มะเร็งจะเกิดในอุ้งเชิงกราน จึงใช้ร่วมกับการผ่าตัดมะเร็งระยะที่ 2
และ 3 ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการกลับมาของมะเร็งสูง
ผลข้างเคียงของการฉายรังสีก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่ เช่น
ท้องร่วง ผลต่อผิวหนังบริเวณที่ถูกรังสี รังสีจะไปกดการทำงานของไขกระดูก
ผู้ป่วยจะรู้สึกเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และความรู้สึกรับรสอาหารผิดปกติครับ
สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย มีการศึกษาทดลองพบว่า
การรักษาที่ใช้วิธีผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดและรังสีบำบัดจะได้ผลดีกว่าผ่าตัดอย่างเดียว
หรือเคมีบำบัดอย่างเดียว หรือรังสีบำบัดอย่างเดียว
จึงถือเป็นมาตรฐานการรักษาเลยว่าผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแพร่กระจายของมะเร็ง
จะใช้วิธีรักษา 3 วิธีร่วมกันเลย
|
การตรวจกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ |
|---|
ท่านคงเห็นแล้วว่ามะเร็งในระยะแรกๆ จะรักษาได้ผลดีกว่าระยะท้ายๆ
ถ้าอย่างนั้นหากค้นพบมะเร็งในระยะเริ่มแรก หรือระยะที่ก่อนจะเป็นมะเร็งได้ก็จะดี
เพราะมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ช่วยชีวิตผู้ป่วยให้อยู่ยืนยาว
การตรวจกรองมะเร็ง ก็คือ การตรวจหามะเร็งระยะเริ่มแรกนั่นเอง
ในประเทศไทยมะเร็งลำไส้ใหญ่พบมากเป็นอันดับ 3 รองจากมะเร็งปอดและมะเร็งตับ
มะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนมากจะเกิดมาจากติ่งเนื้อ (ADENOMATOUS POLYP) ภายในลำไส้
ซึ่งอาจกลายเป็นมะเร็งในเวลา 7-12 ปี
มีการศึกษาพบว่าเมื่อตัดติ่งเนื้อนี้ออกจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
ตรงนี้การตรวจกรองก็จะช่วยได้ครับ
วิธีการตรวจกรองได้แก่
- ตรวจหาเลือดในอุจจาระ
- ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
- ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ทั้งหมด
- สวนแป้งเอกซเรย์ดูลำไส้ใหญ่
- ตรวจหา DNA ของเซลล์มะเร็งในอุจจาระ
ผู้เชี่ยวชาญพบว่าในคนไทยอายุ 50 ปีขึ้นไป ตรวจพบติ่งเนื้อลำไส้ใหญ่เพียง 12%
ซึ่งน้อยกว่าที่พบในคนอเมริกัน 1-3 เท่า จึงเสนอว่าสำหรับผู้ที่ไม่มีประวัติที่เสี่ยงต่อมะเร็ง
อาจเริ่มตรวจกรองหามะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 60 ปีขึ้นไป
ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงสูงให้เริ่มตรวจกรองในอายุน้อยกว่านี้ครับ
ผู้ที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้แก่
- เคยเป็นมะเร็งเต้านม, รังไข่, มดลูก
- เคยเป็นโรคเลือดบางอย่าง
- เคยเป็นเนื้องอกของลำไส้ใหญ่
- มีประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเนื้องอกลำไส้
ท่านลองพิจารณาดูตัวท่านเองนะครับว่า อยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากหรือน้อย อายุเท่าไรแล้ว
หากเข้าตามเกณฑ์ที่ผมกล่าวมามี ควรปรึกษาแพทย์ดูครับว่าจะตรวจกรองหามะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างไรดี
ถือคติว่า
"รู้ก่อนเป็นดีกว่าเป็นแล้วถึงรู้" ครับ
นพ.อมรชัย หาญผดุงธรรมะ
|