จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครรู้ชัดถึงสาเหตุที่แท้จริง
ของโรคความจำเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ แต่ทุกคนรู้ดี
ถึงผลกระทบที่มีต่อสมองของโรคร้ายนี้
เพราะผู้ที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์จะสูญเสียความทรงจำ และความสามารถในการจำแนกเหตุและผล
นักวิจัยในวงการแพทย์ปักใจเชื่อมาโดยตลอดว่า หากสามารถยับยั้งการก่อตัวของสารสะสมที่เป็นตัวเพาะแบคทีเรีย ก็อาจจะหยุดการลุกลามของโรคได้
จนกระทั่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ของแอมเจน บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพในแคลิฟอร์เนีย ประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการไขปริศนาสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ พวกเขาได้ค้นพบเอนไซม์ย่อยสลายโปรตีนที่เรียกว่า บีเอซีอี
หรือเอนไซม์เบต้า ที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียขึ้นมา แม้การค้นพบของทีมวิจัยบริษัทแอมเจน ไม่ให้แนวทางใหม่ๆ
ในการบำบัดรักษา โรคอัลไซเมอร์ แต่ก็นับเป็นครั้งแรก
ที่การค้นพบครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ผลิตยาค่ายต่างๆ มีเป้าหมายที่ชัดเจนที่รอให้พวกเขาหาตัวยามากำจัด
หลังจากที่ข่าวการค้นพบเบาะแสของการเกิดอัลไซเมอร์
แพร่กระจายออกไป นักวิจัยที่ร่วมประชุมว่าด้วยประสาทวิทยาประจำปี
ในไมอามี กล่าวเตือนว่า ถึงแม้จะรู้เบาะแสที่น่าเชื่อถือ แต่การบำบัดรักษาที่ได้ผลอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี
อัลไซเมอร์เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคอัลไซเมอร์ ไม่ใช่ของใหม่ในวงการแพทย์
นักวิทยาศาสตร์ต่างทราบดีว่า โรคนี้จะเกิดขึ้นเมื่อโปรตีน
สะสมตัวขึ้นในเซลล์สมองและทำลายเซลล์ประสาท
สมองที่ถูกทำลายได้ส่งผลกระทบรุนแรง เพราะผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนสูงอายุ จะค่อยๆ สูญเสียความทรงจำ
ไปอย่างช้าๆ จนที่สุด จำไม่ได้แม้แต่คนรักคนใกล้ชิด
และกระทั่งการงานต่างๆ ก็ไม่สามารถทำได้เลย
อย่างไรก็ตาม กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ก็นานมาก
เนื่องจากอัลไซเมอร์ เป็นอาการป่วยที่มีความสลับซับซ้อนพอดู จากลักษณะการเปลี่ยนแปลงของอาการจะเป็นไปอย่างช้าๆ ทีละน้อย ทำให้การวินิจฉัยของแพทย์ทำได้ยาก วิธีการวินิจัยโรคอัลไซเมอร์
ที่เชื่อถือได้มากที่สุด คือ การชันสูตรศพ เพื่อนำเนื้อเยื่อสมอง
ออกมาตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์
แต่เนื่องจากคนในครอบครัวของคนที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์
แม้กระทั่งตัวแพทย์เอง ต่างต้องการให้มีการวินิจฉัยโรคแต่เนิ่นๆ มากกว่าจะรอจนถึงบั้นปลายชีวิตของคนไข้ ดังนั้น
โดยทั่วไปแพทย์จึงมักวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์
โดยดูจากประวัติการตรวจรักษาของคนไข้ การตรวจร่างกาย และการทดสอบระดับความสามารถของสมอง
แพทย์มักจะใช้การทดสอบเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่า
นี่ไม่ใช่อาการของโรคจิตเสื่อม
โดยปกติแพทย์มักจะทำการสแกนสมอง เพื่อตรวจสอบว่า อาการป่วยไม่ได้มาจากสาเหตุของการถูกกระทบกระเทือนหรืออื่นๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้คนไข้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะกับความจำ
ด้วยวิธีการเหล่านี้ แพทย์พอจะสามารถวินิจฉัยอาการสมองเสื่อม
ได้อย่างแม่นยำถึง 90%
วัคซีนช่วยบรรเทาอาการแต่ไม่ทำให้หายขาด
เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา นักวิจัยของบริษัทอีแลน
บริษัทยาแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ ประสบความสำเร็จ
ในการผลิตวัคซีน ซึ่งช่วยป้องกันหรือลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
ในสมองของหนู ที่บริษัทได้ทดลองฉีดวัคซีนนี้เข้าไป
ความสำเร็จในครั้งนั้น ช่วยจุดความหวังขึ้นอีกครั้งว่า
จะสามารถพัฒนาวัคซีน ที่สามารถใช้บำบัดรักษา
หรือป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ในอนาคตอันใกล้
บริษัทอีแลนตั้งความหวังว่า จะได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐ ให้สามารถทดลองใช้วัคซีนนี้กับคนไข้ในปลายปี 2542 นี้
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่า วัคซีนดังกล่าวจะใช้ได้ผลกับมนุษย์หรือไม่
ถึงวัคซีนดังกล่าวจะเป็นข่าวดี แต่ผู้เชี่ยวชาญ
จากสมาคมอัลไซเมอร์ อย่างนายบิล ไธส์ กล่าวเตือนว่า ถึงแม้วัคซีนนี้จะสามารถนำมาใช้กับมนุษย์ได้จริง แต่นั่นจะช่วยได้เพียงการบำบัดโรคให้บรรเทาลง
ไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ หรือถ้ากล่าวให้ชัดๆ คือ วัคซีนดังกล่าวจะช่วยได้ในแง่ของการป้องกันการเกิดโรคมากกว่า
แม้ความหวังของวัคซีนที่บริษัทอีแลนพัฒนาขึ้นมา
จะใช้ได้ผลได้ดีในแง่ของการป้องกัน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่
ก็ยอมรับว่า การศึกษาดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความหวังว่า จะสามารถนำวัคซีนชนิดนี้ไปใช้ในการบำบัด
หรือป้องกันโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดจากการสะสมซากโปรตีน
จนเกิดแบคทีเรีย
ก่อนที่จะมีการพัฒนาวัคซีนออกมา ในช่วงเดือนเมษายนของปีนี้ นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ แห่งเคส เวสเทิร์น รีเสิร์ฟ และมหาวิทยาลัยการแพทย์แห่งเคลฟแลนด์ ได้เผยผลการวิจัยชิ้นหนึ่ง
ซึ่งระบุว่า การออกกำลังกายอาจช่วยลดความเสี่ยง
ในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการสุ่มตัวอย่างพฤติกรรมการออกกำลังกาย
เป็นเวลานานๆ ของชาวอเมริกัน 373 คน ในจำนวนนั้น
เป็นผู้ป่วยอัลไซเมอร์ 126 คน และอีก 247 คนเป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง
กระนั้น ดอกเตอร์โรเบิร์ต ฟรีดแลนด์ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ
ด้านประสาทวิทยาที่ควบคุมการวิจัย ยังไม่สามารถรับรองได้ว่า การออกกำลังจะสามารถสร้างภูมิคุ้มกันโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นอาการปกติที่มักจะเกิดขึ้นกับคนสูงวัย
โดยเฉพาะช่วงอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
นายแพทย์ชุดนี้ ยกตัวอย่างกรณีของอดีตประธานาธิบดี
โรนัลด์ เรแกน ซึ่งเป็นหนึ่งในคนไข้อัลไซเมอร์ที่รู้จักกันดี
โดยชี้ว่า ไม่ว่าจะพิจารณาด้านใด ต้องถือว่าอดีตผู้นำสหรัฐผู้นี้
มีชีวิตที่ต้องทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้น
สมมติฐานการเกิดอัลไซเมอร์ของอดีตประธานาธิบดีเรแกน
โรคร้ายนี้อาจก่อตัวมาตั้งนานแล้ว หากเขาไม่ได้ดำเนินชีวิต
ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้
เบาะแสที่จะนำไปสู่การพัฒนาตัวยาใหม่
ปัจจุบันมีหลายบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ
ที่กำลังแข่งขันกันพัฒนาตัวยาใหม่ ที่สามารถจะหยุด
การผลิตซากโปรตีนที่เป็นพิษ ของเอนไซม์ตัวใดตัวหนึ่ง
ใน 2 ตัว คือ เอนไซม์ย่อยสลายโปรตีน "เบต้า และ "แกมมา"
อย่างไรก็ดี แม้แต่ค่ายแอมเจน ซึ่งเป็น 1 ในบริษัท
ที่กำลังพัฒนาตัวยาดังกล่าว ยังยอมรับว่าไม่รับประกันว่า
จะประสบความสำเร็จ
ทุกค่ายต้องการเป็นรายแรกที่ประสบความสำเร็จ
ในการค้นหาตัวเอนไซม์ย่อยสลายโปรตีน
ที่เป็นตัวการสำคัญของโรคอัลไซเมอร์
"คุณสามารถนำตัวย่อยสลายโปรตีนมาใส่ในหลอดทดลอง
แล้วใส่สารเคมีลงไป จนกว่าจะค้นพบว่า ตัวใดเป็นเอนไซม์ที่ต้องการ"
ดอกเตอร์รูดี แทนซี นักประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยลักษณะสำคัญทางพันธุกรรมของอัลไซเมอร์
ในที่สุดทีมวิจัยของบริษัทแอมเจน ก็กลายเป็นกลุ่มแรก
ที่ประสบความสำเร็จในการชี้ว่า เอนไซม์ตัวใด
น่าจะเป็นต้นตอของโรคร้ายนี้ โดยนายมาร์ติน ซิทรอน และผู้ร่วมงานได้เริ่มกระบวนการในการกำจัดเอนไซม์ที่ไม่ต้องการ
อันยาวนานของพวกตน ในปี 2540 ด้วยการใส่ยีนของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เข้าสู่เซลล์ของแบคทีเรีย จนกระทั่งพบว่า เซลล์บางกลุ่ม
ได้สร้างโปรตีนอะมีลอยด์ ออกมามากกว่าเซลล์กลุ่มอื่นๆ
จึงลดยีนที่ทดลองให้เหลือเพียง 20 ตัว แล้วทำการทดสอบซ้ำไปซ้ำมา
จนในที่สุด ทีมงานของนายซิทรอนก็ค้นพบยีนตัวเดียว
ที่ผลิตโปรตีนอะมีลอยด์ชนิดพิเศษออกมา
เมื่อได้เอนไซม์ย่อยสลายโปรตีนที่ต้องการ
ทีมวิจัยของแอมเจนได้นำไป "เพาะ" ในห้องผลิตแบคทีเรีย
จนที่สุดก็ค้นพบวิธีการตัดแบ่งโปรตีนของเอนไซม์
ขั้นตอนต่อไป ของทีมวิจัยแอมเจน คือ
จะพัฒนาความสำเร็จที่เกิดขึ้นในห้องแล็บ ไปสู่การผลิตยารักษาโรค เพื่อหาตัวยาที่จะสามารถหยุดยั้งเอนไซม์ได้ โดยไม่ส่งผลกระทบข้างเคียง
ที่เป็นอันตราย นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ซึ่งแม้แต่ตัวนายซิทรอนเอง
ยังยอมรับว่า ความสำเร็จจะไม่เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืนแน่
ตามการรายงานของวารสารวิทยาศาสตร์ พบว่า ผู้ผลิตยารายอื่นก็พยายามที่จะค้นหาตัวยาที่จะหยุดเอนไซม์
ชนิดดังกล่าวอยู่เช่นกัน
แม้แต่นักวิจัยที่ออกมาเตือนพอเป็นพิธี
ยังยอมรับแทบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า การค้นพบเอนไซม์
ต้นตอของโรคอัลไซเมอร์ ไม่เพียงจะช่วยเปิด "ขุมทอง"
ให้กับบริษัทผลิตยาเท่านั้น แต่นั่น ยังเป็นสัญญาณที่ให้ความหวัง
อย่างแท้จริงว่า
วงการแพทย์อาจค้นพบ "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อันมืดมิดของโรคร้าย
ที่เรียกว่า อัลไซเมอร์ อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
(นภาภรณ์ พิพัฒน์ รวมรวบและเรียบเรียงจากนิตยสารไทม์
และนิวสวีค ฉบับวันที่ 1 พฤศจิกายน รวมถึงแหล่งข้อมูลในเวบไซต์ต่างๆ)
|