เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับผมคนหนึ่งคือเริ่มจะเป็นคนแก่เหมือนกันเล่าให้ผมฟังว่า
เขาทำหนังสือเดินทางหาย จึงได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ขณะกำลังแจ้งความ
ตำรวจที่รับแจ้งความขอดูบัตรประชาชน เขาค้นหาบัตรประชาชนเท่าไรก็ไม่พบ
ทั้งๆ ที่จำได้ว่าเก็บบัตรประชาชนไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดเวลา
เขาคิดเท่าไรก็คิดไม่ออกว่าบัตรประชาชนหายไปไหน จึงบอกตำรวจไปว่า
ขอแจ้งความเรื่องบัตรประชาชนหายเพิ่มเติมอีกเรื่อง ตำรวจเอามือเกาหัวอย่างลืมตัว
แต่ก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพูดว่า คนที่เริ่มมีอายุมากก็อย่างนี้แหละครับ จะลืมโน่นลืมนี่เสมอ
ถ้าคุณมีอะไรหายอีกก็มาแจ้งความอีกได้นะครับ สนุกดี
ผมเองก็เป็นเช่นนี้ คือจะขี้ลืมแต่ไม่เคยลืมขี้
สมัยหนุ่มเวลาเข้าห้องประชุมผมแทบไม่ต้องจดบันทึกจำเนื้อหาได้หมด
แต่ปัจจุบันจดอย่างละเอียด ก็ไม่ได้ผลเพราะได้แค่จดไว้ในสมุดแต่ลืมอ่าน
ตอนนี้ผมเริ่มเขียนหนังสือใหม่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้นเพื่อลงพิมพ์ในฟ้าเมืองไทยบ้าง
สยามรัฐ สัปดาห์วิจารณ์บ้าง และมีอยู่ไม่น้อยพิมพ์ในสตรีสารเรื่องสั้น 1 เรื่อง
ผมใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปัจจุบันใช้เวลาตั้ง 3 วันก็ยังเขียนไม่เสร็จ
บางครั้งเขียนเสร็จแล้ว ยังต้องเก็บไว้ทบทวนอีกหลายวัน
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีความจำน้อยลง สมองสั่งงานช้า ขณะเขียนต้อง่านทบทวนบ่อย
เพราะไม่แน่ใจว่าเขียนซ้ำกับหน้าแรกๆ หรือไม่
เวลาผมได้รับนามบัตรของใครก็ตาม ผมจะต้องเขียนกำกับไว้ว่าได้มาจากไหน
เจ้าของนามบัตรรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไรมีใครแนะนำเพราะถ้าไม่เขียนไว้พอนานหลายวันเข้า
เอานามบัตรมาดูจะนึกไม่ออกว่าเป็นนามบัตรของใคร ได้มาอย่างไร คิดให้สมองระเบิดก็คิดไม่ออก
วิธีเขียนกำกับ ยกตัวอย่างก็ได้เช่นเขียนว่าเจ้าของนามบัตรเป็นคนหัวล้านรู้จักกันที่สนามแบค
นามบัตรของบางรายผมก็จะเขียนกำกับไว้ว่า รู้จักกันบนรถไฟคราวไปเชียงใหม่
นักธุรกิจบางคนคงจะรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ จึงใช้วิธีพิมพ์รูปถ่ายของตัวเองลงในนามบัตรเสียเลย
ก็ดีครับเพราะจะได้รู้ว่าเจ้าของนามบัตรมีหน้าตาอย่างไร ทำให้ไม่ลืมหรือลืมก็ลืมยากขึ้นมาสักหน่อย
ที่ห้องทำงาน ผมจะแบ่งเก็บเอกสารเป็นช่องๆ โดยซื้อตู้เก็บเอกสารที่แบ่งเป็นชั้นเยอะๆ
เหมือนร้านขายยาไทย เพื่อว่าจะได้แบ่งความคิดและเรื่องราวที่จะนำมาเขียนหนังสือ
และเรื่องที่เขียนค้างไว้เป็นลิ้นชักจะได้ไม่สับสน
การจำชื่อคน คนอื่นๆ อาจจะง่ายแต่ผมจำยากมาก ยิ่งเพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ
เพียงไม่กี่เดือนจะจำไม่ได้แต่ก็แปลก ถ้าเป็นเพื่อนเก่าที่เก่าจริงๆ
คือรู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม จะไม่ค่อยลืมชื่อเพื่อน บางคนผมไม่ได้จำชื่อได้อย่างเดียว
ยังจำชื่อพ่อของเพื่อนได้ด้วย ส่วนเพื่อนรุ่นใหม่ๆ เช่นรู้จักกันตอนไปฝึกอบรมเมื่อทิ้งห่างกันไป
เพียงไม่กี่ปีก็ลืมชื่อเสียเป็นส่วนใหญ่
เวลามีการเลี้ยงรุ่นผู้เข้าอบรมที่ว่า ผมจะต้องแอบเปิดหนังสือรุ่น
เพื่อให้ความจำฟื้นกลับมาบ้างเท่านี้ยังไม่พอ บางครั้งผมยังใช้วิธีเอาหนังสือรุ่นติดรถไว้ด้วยเลย
หมายถึงว่า จะได้มีโอกาสเดินจากงานเลี้ยงมาแอบเปิดดูชื่อเพื่อนได้
การไปงานเลี้ยงรุ่นพอจะตั้งหลักกันได้ แต่บางครั้งพบกับคนที่เคยรู้จักกันโดยบังเอิญที่ไหนสักแห่ง
อาจจะพบในห้องน้ำที่ศูนย์การค้าหรือพบกันที่ไหนก็ตามเมื่อเจอกันได้พูดคุยกับเขาตั้งนาน
แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่ายืนคุยอยู่กับใคร บางครั้งก็เสียมารยาทเหมือนกัน
ถ้าเขาจำผมได้แถมยังเรียกชื่อผมถูกอีก แต่ผมเรียกชื่อเขาไม่ถูก
คนเคยรู้จักกับผมบางคน ไม่เพียงแต่ได้ทักทายกันเฉยๆ ยังย้อนถามผมอีกว่า
จำเขาได้ไหม ครั้นผมจะบอกว่าจำไม่ได้ ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยดี แต่ถ้าบอกว่าจำได้ก็ไม่ดี
เพราะจำเขาไม่ได้จริงๆ เจอแบบนี้ก็ทำให้เจื่อนไปเหมือนกัน
ตอนผมใช้ฟันปลอมใหม่ๆ ชนิดถอดได้ ผมเคยขับรถไปเกือบถึงที่ทำงาน
เพิ่งนึกออกว่าลืมเอาฟันปลอมใส่ปาก จึงต้องขับรถย้อนกลับบ้านวันนั้นต้องไปทำงานสาย
เพราะฟันปลอม ไม่น่าเชื่อว่าฟันปลอมก็มีอิทธิฤทธิ์ทำให้คนไปทำงานสายได้
เช่นเดียวกับแว่นตา เวลาอ่านหนังสือผมต้องใส่แว่นเสมอ
ถ้าไม่ใส่จะมองเห็นตัวหนังสือไม่ชัด เดิมทีผมมีแว่นตาเพียงอันเดียว
ทำให้มีปัญหามากเพราะถ้าลืมไว้ที่บ้านแต่ตัวต้องอยู่ที่ทำงานก็ต้องหมายถึงวันนั้น
ไม่ต้องทำงานผมจึงต้องซื้อแว่นเพิ่มขึ้นหลายอัน
ผมจะมีแว่นทิ้งไว้ที่ทำงาน 2 อัน เพื่อไว้ใส่ทำงานและแว่นชนิดที่มองได้ทั้งใกล้และไกล
สำหรับไว้ใช้ประชุม
ผมเก็บแว่นไว้ในกระเป๋าถือ 1 อัน แล้วไม่ลืมที่จะมีสำรองไว้ที่รถอีก 1 อัน
ส่วนที่บ้านผมจะมีแว่นไว้ในห้องนอนและห้องน้ำเพราะผมชอบอ่านหนังสือทั้งก่อนนอน
และกำลังขับถ่าย การมีแว่นเก็บไว้ในห้องน้ำจึงเป็นหลักประกันได้ว่า
ได้อ่านหนังสือเห็นแน่ๆ ข้อสำคัญขอให้มีหนังสือ
ผมก็ไม่ทราบว่า คนอื่นๆ ที่มีอายุใกล้เคียงกับผมคือใกล้ๆ เกษียณจะใช้แว่นเปลือง
เหมือนผมหรือไม่ ? แต่ส่วนใหญ่คงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่ก็ใช้วิธีเอาแว่นคล้องคอไว้เลย
การเดินหาแว่นทำให้เสียเวลาเพราะมักจะเกิดขึ้นบ่อย
ผู้รู้คนหนึ่งเคยบอกผมว่า ถ้าไม่อยากให้สมองเสื่อมหรือความจำหายไป
จะต้องใช้สมองมากๆ สมองยิ่งใช้มากเท่าไรยิ่งดียิ่งคมเหมือนมีด
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นจริงหรือไม่ เพราะผมเคยเห็นคนที่ใช้สมองมากๆ ต้องเป็นบ้าไปก็มีไม่น้อย
สำหรับเรื่องนี้ ผู้รู้อีกนั่นแหละอธิบายว่า เหตุที่คนใช้สมองมากๆ เป็นบ้า
ก็เพราะชอบคิดพร้อมๆ กันครั้งละหลายเรื่อง แล้วก็พยายามจำเสียทุกเรื่อง จึงทำให้บ้า
การใช้สมองที่ถูกต้อง จะต้องใช้ทีละเรื่อง ใช้หนักอย่างไรก็ไม่บ้ากลับยิ่งฉลาด
และไม่ควรจดจำไปเสียทุกเรื่อง ให้จดหรือบันทึกไว้เป็นดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าสมองของมนุษย์มหัศจรรย์จริงๆ
เพราะสามารถเก็บเรื่องราวต่างๆ ไว้ในสมองได้มากเหลือเกิน
อายุยิ่งมากจะมีเรื่องให้ต้องจำมากขึ้น เพราะผ่านชีวิตมามาก
การที่ธรรมชาติช่วยทำให้ลืมเสียบ้างจึงเป็นการดี เพราะถ้าจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไปเสียทุกเรื่อง
ไม่ต้องมาก มีอายุแค่ 50 ปีสมองก็ต้องระเบิด เพราะเก็บข้อมูลหรือความจำไว้มากเกินไปนั่นเอง
เมื่อไม่กี่วันมานี้ บังเอิญผมได้อ่านบทความชิ้นหนึ่ง ผมจึงได้รู้ว่า
คนเป็นโรคสมองเสื่อมนั้นออกอาการอย่างไรบ้าง เท่าที่ผมจำได้ก็มีดังนี้
ชอบพูดช้า บางครั้งถามแล้วถามอีกแล้วก็ชอบเล่าเรื่องที่เคยเล่าหลายครั้ง
คิดเลขช้าลง
ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมเท่าที่ควร ใครจะทำอะไรก็เฉย
ยิ่งถ้าตัวเองไม่เดือดร้อนก็จะไม่ยอมรับรู้
มีความกลัว กลัวโน่นกลัวนี่อย่างไม่เหตุผล บางครั้งเป็นความฝัน
แต่นึกว่าเป็นความจริง
มีความระแวง เช่น ระแวงว่ามีคนมาขโมยของบ้าง มาทำร้ายบ้าง
มีอาการเหมือนประสาทหลอน
บางครั้ง จะลืมเอาดื้อๆ เช่น ชื่อคนใกล้ชิด และกลับบ้านไม่ถูกหรือถูก
แต่ก็ต้องปรับสมองและความคิดอยู่หลายนาทีถึงจะนึกออก
ที่จริงอาการของคนเป็นโรคสมองเสื่อมยังมีอีก แต่ผมจำได้มาเพียงแค่นี้
นอกนั้นลืมหมด เมื่อผมได้อ่านบทความการแพทย์ชิ้นนี้จบลง ผมอดที่จะหันมานึกถึงตัวเองไม่ได้
เมื่อนึกก็ทำให้เป็นห่วงเพราะผมเริ่มมีอาการสมองเสื่อมกับเขาบ้างแล้ว
โดยเฉพาะประการหลังสุดคือ "กลับบ้านไม่ค่อยจะถูก" กว่าจะนึกออกว่าบ้านอยู่ไหน
ก็เกือบจะสว่างทุกทีโดยเฉพาะคืนที่ได้ไปเที่ยวผับกับเพื่อนๆ
ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ถึงตอนที่ผมแก่มากๆ ถ้าจะให้ผมเลือกเป็นโรค
ผมจะเลือกเป็นโรคสมองเสื่อมนี้แหละดีที่สุด เพราะอาการขั้นสุดท้ายของคนเป็นโรคสมองเสื่อม
บทความการแพทย์บอกไว้ว่า
คนไข้จะสวมเสื้อไม่เป็น กลับเป็นเด็กใหม่ ต้องมีคนช่วยสวมให้
(ถ้าเป็นแบบนี้ผมจะได้จ้างนางพยาบาลสาวๆ ไว้ให้ช่วยแต่งตัวให้โดยไม่น่าเกลียด)
จำลูกหลานไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร (ดีจะได้ไม่ต้องให้มรดกใคร)
พูดวกวน จับใจความไม่ได้ และเคลื่อนไหวตัวช้า เดินช้า นั่งช้า แต่นอนนาน
กินไปแล้วก็จำไม่ได้ว่ากินหรือยัง การกินยาตามหมอสั่งว่าให้กินก่อนอาหาร
หรือหลังอาหารแทบไม่ได้ประโยชน์
สรุปแล้วคนที่เป็นโรคสมองเสื่อม ก็จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้แม้แต่ตัวเองเป็นใคร
ไม่เหมือนกับคนที่สมองดีแต่กำลังเป็นมะเร็ง คนพวกนี้จะรู้สึกเป็นทุกข์ก่อนตาย
เพราะสมองสามารถรู้เรื่องทุกอย่าง
ครับ ที่ผมอยากเป็นโรคสมองเสื่อมก็แบบนี้แหละ คือแม้แต่ต้องตายก็ยังไม่รู้เลยว่า
จะตายจึงไม่ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ
ถูกแล้วจะมีวิธีตายแบบไหนที่ดีกว่านี้ จริงไหมครับ
ไมตรี ลิมปิชาติ
|