|
ขณะนี้ภาวะการจราจรในเมืองไทยเริ่มวิกฤตหนักขึ้นทุกวัน ยิ่งเป็นช่วงเปิดเทอมจะพบกับปัญหารถติดมากขึ้น รถยิ่งติด
ก็เพิ่มความรีบร้อนที่จะไปให้ถึงจุดหมาย คนในกรุงเทพฯ จึงเริ่มหันมาสนใจใช้บริการมอเตอร์ไซด์มากขึ้นเพราะสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องติดอยู่บนท้องถนนเหมือนรถอื่น ช่องเล็กช่องน้อยขอให้แทรกตัวไปได้
ผู้ขับขี่ก็จะพยายามพารถเคลื่อนไปข้างหน้าให้มากที่สุด ไม่เพียงแต่
ไม่ต้องรอรถติดเท่านั้น เวลาจะจอดยังหาที่จอดได้ง่าย แต่ระวังอย่าไปจอดผิดที่ผิดทางเข้าจะถูกจับเสียค่าปรับได้
ถ้าเดินอยู่บนทางเท้าหรือนั่งอยู่บนรถลองสังเกต ดูตามถนน
ทั้งในช่วงเช้าและช่วงเย็นว่าจำนวนนักเรียนที่ใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้างนั้น มีกี่คนที่ใส่หมวกกันน็อกบ้าง ในช่วงหนึ่งเราจะพบว่า มีการขวดขัน
ในเรื่องการสวมหมวกกันน็อก รณรงค์ให้มีการสวมหมวกกันน็อก
ก็เห็นคนสวมกันนะ แต่ก็สวมเป็นแบบลักษณะแฟชั่น เพื่อความสวยงาม
หมวกไม่ได้มาตรฐาน ไม่คลุมลงมาถึงบริเวณท้ายทอย วัสดุในการทำหมวกก็ไม่ดี ไม่สามารถรับแรงกระแทกที่แรงๆ ได้ ผู้ขี่มอเตอร์ไซด์และผู้ซ้อนท้าย
ไม่รู้จักรักษาชีวิตและสุขภาพของตัวท่านเองเลย แล้วอย่างนี้
ท่านจะไปรู้จักรักชีวิตและสุขภาพของคนอื่นได้อย่างไร
การสัญจรคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วในขณะนี้จะเป็นสาเหตุหลัก
ที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่สมอง ถ้าท่านรู้ถึงอันตรายในการไม่สวมหมวกกันน็อก ท่านจะยังคงไม่สวมอยู่หรือเปล่า ?
สาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่สมอง
คือ การตกจากที่สูง ซึ่งการตกจากที่สูงจะได้พบมากในเด็ก เช่น มีการปีนไปหยิบของตามระเบียบหรือหลังคา หรือไม่ก็ปีนต้นไม้
นั่งเล่นอยู่ในที่สูงๆ แล้วพลัดตกลงมาโดยหัวไปกระแทกกับพื้น
อย่างรุนแรงก็มีให้เห็นบ่อยๆ นอกจากนั้นยังมีสาเหตุที่เกิดจาก
การเล่นกีฬาเช่นฟุตบอลหรือรักบี้
อายุช่วงไหนที่พบว่ามีการบาดเจ็บของสมองมากที่สุด
เพศชายจะพบมากกว่าเพศหญิง ซึ่งเป็นธรรมชาติของผู้ชาย
จะโลดโผนกว่าผู้หญิงอยู่แล้วช่วงอายุ 15-24 ปี พบว่า
มีการบาดเจ็บจากสมอง เกิดจากอุบัติเหตุจากการคมนาคมมากที่สุด
รองลงมาคือ ในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปีและในผู้สูงอายุส่วนใหญ่
จะเกิดจากการหกล้มหรือตกจากที่สูง
เด็กที่อยู่ในช่วงวัยอายุน้อยกว่า 5 ปี มีปริมาณมาก
ที่ได้รับอุบัติเหตุที่สมอง เนื่องมาจากกำลังอยู่ในวัยซุกซน
ขาดความระมัดระวังในการดูแลตนเอง คุณพ่อคุณแม่ควรจะต้องดูแล
อย่างใกล้ชิดระวังอุบัติเหตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่สูงๆ อย่าให้เด็กปีนป่าย
จะเป็นการดีกว่า
การได้รับอันตรายทางสมองขึ้นอยู่กับสภาพของความรุนแรง
ที่สมองได้รับ และบริเวณของสมองที่มีปัญหา
เราคงจะเคยได้ยินผู้ที่ใกล้ชิดกับบุคคลที่มีปัญหา
จากการบาดเจ็บที่สมองว่า ตอนแรก (วันแรก) ที่เป็นหรือว่าเกิดอุบัติเหตุ
ไม่เห็นเป็นอะไรเลย อยู่ดีๆ ก็อาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ การที่สมอง
ได้รับความกระทบกระเทือนในช่วงแรกอาจจะยังไม่แสดงอาการออกมา ในบางคนอาจจะแค่ปวดศีรษะเท่านั้นเอง แต่เมื่อไรที่เลือดออกในสมอง
แล้วไปกดเบียดเนื้อสมองทำให้สมองสูญเสียการสั่งงานไปที่ระบบต่างๆ ของร่างกาย ที่สมองส่วนนั้นควบคุมการทำงานก็จะเริ่มแสดงอาการ เช่น ซึมลงเรื่อยๆ
อาเจียน ปวดศีรษะมากขึ้น แขนหรือขาไม่มีแรง อย่านิ่งนอนใจรีบส่งโรงพยาบาลทันที
การได้รับความรุนแรงอย่างมากจะทำให้ผู้บาดเจ็บ
อาจจะไม่มีอาการตอบสนองเราในช่วงแรกก็ได้ คืออยู่ในอาการปลุกไม่ตื่น
ไม่มีการโต้ตอบ ตาจะปิดตลอดเวลาซึ่งต่อมาตาจะเปิด ถ้าอาการทางสมอง
ดีขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งจะสามารถทำตามสั่งได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่
จะไม่สามารถพูดโต้ตอบได้ แต่ออกเสียงได้ในช่วงแรก
ควรจะใช้คำถามคำตอบที่สั้นๆ ง่ายๆ เช่นใช้การฝึกตอบว่า ใช่หรือไม่ใช่
ก่อนก็จะดี แต่ถ้ากรณีที่ได้รับอันตรายในสมองส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการพูด
จะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถพูดหรือสื่อสารกับบุคคลอื่นรู้เรื่อง
ในบางรายอาจมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น วุ่นวาย
แปรปรวน หรือว่าช้าตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้น้อย ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม
ไม่มีแรงจูงใจ หรือกล่าวกันง่าย ๆ คือไม่มีความคิดริเริ่มที่จะทำอะไร
ญาติๆ อย่าหมดกำลังใจตามไปก็แล้วกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่เรา
จะต้องดูแลควบคุมในเรื่องสิ่งแวดล้อม คอยให้กำลังใจ กระตุ้นการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งต่อมาจะมีการปรับเปลี่ยนสามารถจำเหตุการณ์ได้บ้าง
อาจจะเป็นลักษณะวันต่อวัน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายังไม่ดี การสื่อความหมายโดยการใช้ภาษาอาจมีปัญหาอยู่ การดูแลรับผิดชอบตัวเอง
เช่น การอาบน้ำ ทานข้าว การควบคุมปัสสาวะดีขึ้น เป็นช่วงที่จะต้องฝึก
การทำงานบ้านและปฏิบัติตัวในสังคม บางคนสามารถกลับไปศึกษาต่อ
หรือประกอบอาชีพได้
ปัญหาทางร่างกายที่พบในผู้ป่วยที่บาดเจ็บทางสมอง
ไม่เพียงแต่ผู้บาดเจ็บทางสมองจะมีปัญหาที่สมองอย่างเดียว แต่ยังมีปัญหาที่หลงเหลืออยู่คือทางด้านร่างกาย เป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า
สมองจะควบคุมการทำงานของร่างกาย ของแขนขาหรือว่าอวัยวะที่สมองนั้น
ควบคุมอยู่ ที่พบบ่อยที่สุดคือปัญหาในการควบคุมท่าทางและการเคลื่อนไหว ความผิดปกติของระดับความหดเกร็งของกล้ามเนื้อช่วงการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ในผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวไม่ได้จะมีข้อติดยึดแข็ง เช่น ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้ว
สะโพก เข่า และเท้า ในเรื่องของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อจะเกิดการทำงาน
ที่ผิดของกล้ามเนื้อได้ถ้าได้รับการฝึกไม่ถูกต้อง
ขั้นตอนในการดูแลอย่างคร่าว ๆ
ขั้นตอนแรก คงจะต้องเป็นในเรื่องของสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมของที่อยู่คนไข้ควรจะต้องอยู่ในอากาศถ่ายเทสะดวก มีแสงแดดส่องถึงพยายามให้เห็นสิ่งแวดล้อมที่ดี มีการพูดคุยกับคนไข้
กระตุ้นความจำในเรื่องเก่าๆ ฝึกออกเสียงด้วยคำตอบสั้นๆ ง่ายๆ
มีการให้นับตัวเลข ใช้การนับซ้ำๆ การพูดโต้ตอบด้วยคำถามง่ายๆ
ตอบสั้นๆ ฝึกให้พลิกตะแคงทั้งด้านซ้ายและขวา ฝึกการลงน้ำหนัก
ทั้งแขนและขา ดูในเรื่องการทรงตัวทั้งท่านั่งและยืนว่าเป็นอย่างไร
ทรงตัวดีหรือยัง อีกทั้งในเรื่องการเดิน การหยิบจับสิ่งของว่าเป็นอย่างไร
มีความชำนาญมากแค่ไหน
การฝึกต่างๆ ควรจะได้รับการดูแลจากทางด้านนักกายภาพบำบัด
จะเป็นการดี เพราะการฝึกบางอย่างต้องอาศัยการเรียนรู้เทคนิคต่างๆ
จากผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากเรื่องของสมองเป็นเรื่องละเอียดซับซ้อน การตรวจประเมินคนไข้รวมทั้งการรักษาจะต้องมีความละเอียดมาก ทางด้านนักกายภาพบำบัดจะบอกกับทางผู้ปกครองหรือญาติคนเจ็บว่า
คงจะต้องทำอย่างไรบ้างอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้ตรวจประเมินคนไข้แล้ว
เทคนิคหรือวิธีการฝึกอย่างละเอียดจะได้เรียนรู้อย่างมีลำดับขั้นตอน
ที่กล่าวมาเป็นวิธีคร่าวๆ ว่าจะต้องดูแลในเรื่องใดบ้างเท่านั้น
คำถามยอดนิยมที่จะถูกถามบ่อยที่สุดคืออะไร
เมื่อไหร่คนไข้หรือผู้บาดเจ็บจากสมองได้รับความกระทบกระเทือน
จะมีอาการดีขึ้น คำตอบคือ การหมั่นฝึกหรือความอดทนที่ทางญาติจะสอน
หรือกระตุ้นให้มีการเรียนรู้
พบว่าส่วนใหญ่จะฟื้นตัวในช่วง 6 เดือนแรก การฟื้นตัวด้านการเคลื่อนไหวและการพูดมักจะเกิดขึ้นใน
3 เดือนแรก ในรายที่ช้าอาจมีการฟื้นตัวเต็มที่ภายใน 1-2 ปี
เห็นไหมแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแต่นำปัญหามาให้มากมาย ทางที่ดีเวลาขับขี่หรือนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ควรจะต้องสวมหมวกกันน็อก
ที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน อย่าขับขี่รถโดยประมาท รวมทั้งการดูแลบุตรหลาน
อย่างใกล้ชิดอย่าประมาทเลินเล่อ การบาดเจ็บทางสมองจะได้ไม่เกิดขึ้น
จะได้ไม่เกิดภาระต่อตัวท่านเอง อีกทั้งจะได้เห็นพัฒนาการที่สมบูรณ์
เป็นไปตามวัยของบุตรหลานของท่าน แต่บางครั้งการบาดเจ็บทางสมอง
ก็เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ การฟื้นฟูสภาพของคนไข้เพื่อลดปัญหา
และเป็นภาระต่อครอบครัวและสังคมจะเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด
|