ท่านผู้อ่านที่เรียนรู้และติดตามศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์
คงจะรู้สึกอัศจรรย์ใจกับความก้าวหน้า, ความสลับซับซ้อน, ความน่าทึ่ง
และคุณประโยชน์มหาศาลของประดิษฐกรรมชิ้นนี้
ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นนวตกรรมแห่งสหัสวรรษที่กำลังจะจบลงก็ว่าได้
แต่เมื่อเทียบกับสมองของมนุษย์คอมพิวเตอร์ยังห่างไกลเหลือเกิน
ในด้านความสลับซับซ้อนและความสามารถ
ความมหัศจรรย์ของ 2 สิ่งนี้ เริ่มได้เห็นความแตกต่างตั้งแต่กระบวนการนำไปใช้ประโยชน์
กล่าวคือ คอมพิวเตอร์นั้นกว่าจะใช้งานได้ต้องประกอบชิ้นส่วนและสายต่อให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
เครื่องจึงจะเริ่มทำงาน แต่สมองของคนเรานั้นกลับต่อสายไปพลางใช้งานไปพลางตั้งแต่สัปดาห์ที่ 10
หรือ 12 หลังการปฏิสนธิในมดลูกจนว่ากันว่า ถ้าสามารถเข้าไปดักฟังการก่อสร้างสมอง
ในทารกอายุ 10 สัปดาห์แล้ว จะได้ยินเหมือนโรงงงานขนาดใหญ่กำลังผลิตสินค้าเต็มกำลัง
เริ่มด้วยการสร้างเซลล์ประสาทขึ้นมามากมายจนเต็มพื้นที่ แล้วเริ่มส่งสัญญาณ
ซึ่งเปรียบให้เห็นภาพก็คงจะคล้ายๆ กับเด็กวัยรุ่นนับแสนนับล้านคนที่ต่างมีโทรศัพท์มือถือ
และพยายามจะติดต่อถึงกันและกันในเวลาเดียวกัน
สัญญาณที่ส่งออกจากเซลล์ประสาทนั้น เป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาเป็นห้วงๆ
แต่มีเป้าหมาย มีการประสานสัมพันธ์ราวกับคลื่นน้ำในทะเล กิจการที่เกิดขึ้นนี้มีอิทธิพล
ขนาดปั้นเป็นรูปของสมองในลักษณะที่เรารู้จัก สัญญาณไฟฟ้าที่เกิดขึ้นตลอดเวลานั้น
บันดาลให้เด็กทารกแรกคลอดสามารถรับรู้เสียงของคุณพ่อ, การสัมผัสของคุณแม่
และตุ๊กตาที่แขวนอยู่เหนือเปล
ในบรรดาการค้นพบใหม่ๆ ทั้งหลายเกี่ยวกับวิทยาการด้านระบบประสาทนั้น
ความรู้ที่ว่าสัญญาณไฟฟ้าในเซลล์สมองเปลี่ยนโครงสร้างทางกายภาพของสมองได้
นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดในสายตาของนักวิทยาการณ์สาขานี้ เหตุเพราะว่าการส่งสัญญาไฟฟ้า
เป็นห้วงเป็นจังหวะตลอดเวลาที่ค้นพบนั้นมิใช่ผลพลอยได้ของการสร้างสมอง
หากแต่เป็นขั้นตอนสำคัญของกระบวนการสร้างสมองมากกว่า และเมื่อถึงกำหนดคลอด
เด็กทารกก็ได้สมองที่มีการเชื่อมโยงของประสาทส่วนต่างๆ อันจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
และหรือพร้อมที่จะเริ่มเรียนรู้ทันทีที่คลอดออกมา
ประมาณการกันไว้ว่า เด็กทารกแรกคลอดจะมีเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมอง (Neuron)
ประมาณ 100,000 ล้านเซลล์ ซึ่งเป็นจำนวนมากพอๆ กับดวงดาวในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีเซลล์ฝ่ายส่งกำลังบำรุงอันสำคัญ ชื่อ "ไกลอัลเซลล์" (Glial Cell) อีกราว 1 ล้านล้านเซลล์
เชื่อมต่อกันราวกับรังผึ้งเพื่อทำหน้าที่ปกป้องและให้อาหารแก่เซลล์ประสาท
เนื่องจากธรรมชาติกำหนดไว้ให้สมองของเด็กทารกในครรภ์สร้างเซลล์ประสาทเยอะๆ
ไว้เบื้องต้น เสร็จแล้วก็สั่งการเชื่อมโยงเครือข่ายไว้เพียงคร่าวๆ ว่า
ส่วนนี้จะใช้รับรู้การมองเห็นส่วนโน้นใช้ในการพูดจา ส่วนนั้นใช้ในการแสดงความรู้สึก
จากนั้นเป็นหน้าที่ของเด็กและผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดที่จะสร้างเสริมประสบการณ์
เพื่อนำไปสร้างสัญญาไฟฟ้าในการกระตุ้นสมองส่วนต่างๆ ให้พัฒนาต่อไปในรายละเอียด
ดังนั้นในขวบปีแรกของชีวิตคนเรา สมองจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่ง
ตั้งแต่ช่วงแรกหลังคลอดมันก็ส่อความฟุ่มเฟือยในการสร้างสายเคเบิลเชื่อมโยงเซลล์ประสาท
เพิ่มขึ้นมาอีกนับล้านล้านจุดเชื่อมต่อ เรียกว่ามากมายกว่าตนจะใช้ได้หมด
เสร็จแล้วก็ปล่อยให้เกิดการแข่งเสรี (ราวกับตลาดโลกเสรีที่กำลังจะเลียนแบบสมอง)
จนมีการกำจัดสายเคเบิลและจุดเชื่อมต่อ (Synapses) ที่ใช้น้อยหรือไม่ได้ใช้เลย
ในที่สุดเมื่อเด็กเติบโตถึงอายุราว 10 ขวบ บรรดาจุดเชื่อมต่อส่วนเกินก็ถูกกำจัดหมดสิ้น
เหลือแต่สมองและจิตสำนึกที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นไปในทางดีหรือเลวก็ตาม
ในขวบปีแรกๆ ของชีวิตมนุษย์จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องให้สมอง
ได้รับการกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา เริ่มด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการกระตุ้นสมอง
นักวิจัยที่วิทยาลัยแพทย์ศาสตร์เบย์เลอร์ในเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัลของสหรัฐอเมริกา พบว่า
เด็กที่ไม่ค่อยเล่น หรือไม่ค่อยได้รับการสัมผัสกอดจูบลูบไล้จะมีสมองขนาดเล็กกว่าปกติ 20-30%
ในสัตว์ทดลองก็ยืนยันผลเช่นนั้นดังจะเห็นได้จากการให้หนูทดลอง 2 ตัวอยู่ในที่ต่างกัน
ปรากฏว่าตัวที่อยู่ในกรงซึ่งมีของเล่นมากมายจะมีเซลล์ประสาทที่ร่ำรวยจุดเชื่อมต่อ
มากกว่าหนูที่อยู่ในกรงเรียบๆ ไม่มีของเล่นถึง 25%
โดยสรุปหมายความว่า ประสบการณ์ช่วยเสริมสร้างสมองนั่นเอง
จากความรู้นี้จึงนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในการเลี้ยงดูบุตรหลานเพราะครอบครัวสมัยใหม่นั้น
ทั้งพ่อและแม่ต่างออกไปทำงานนอกบ้าน ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจทั้งๆ
ที่รู้สึกว่าผิดในการทอดทิ้งลูกไว้กับพี่เลี้ยงหรือสถานเลี้ยงเด็กเล็ก
และปรากฏว่าสิ่งที่พ่อแม่บางคนเป็นห่วงหรือหลายคนยังไม่ทราบก็คือว่า
การลงมือเป็นพ่อแม่เลี้ยงลูกด้วยตนเองนั้นมีความสำคัญเหลือเกิน
การหาเวลาสัมผัสกอดจูบลูกพูดกับลูกและสร้างสิ่งกระตุ้นสมองลูกเป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
ความรู้นี้ได้เชื่อมโยงถึงสภาพสังคมในสหรัฐอเมริกาด้วยว่า
สถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนจะต้องมีโปรแกรมที่ออกแบบมากระตุ้นสมองของเด็ก
จากชุมชนแออัดหรือครอบครัวที่มีฐานะยากจน การที่เร่งให้แม่ลูกอ่อนในครอบครัวเหล่านี้
กลับไปทำงานเร็วๆเพื่อว่ารัฐบาลจะได้จ่ายเงินสงเคราะห์ลดลงอาจไม่คุ้มค่า
เพราะต่อไปจะได้เด็กที่พัฒนาการทางสมองไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากขวบปีแรกมีความสำคัญที่สุด
หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่พัฒนา พอเด็กอายุได้ 3 ขวบ ก็จะมีการสั่งสมประสบการณ์เลวร้าย
ที่ไม่อาจลบออกไปจากความทรงจำได้
อย่างไรก็ตาม การวิจัยได้พบความหวังอยู่บ้างตรงที่ว่าสมองของเด็กในขวบปีแรกนั้น
ค่อนข้างจะมีความยืดหยุ่นสูงสามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้ในเด็กที่เป็นโรคอัมพาต
หรือบาดเจ็บหนักจนสูญเสียสมองไปข้างหนึ่งก็อาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพสูงได้
ดังนั้นหากทางการสร้างโปรแกรมดีๆไว้รองรับเด็กในสถานสงเคราะห์เด็ก
หรือสถานเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนแล้วก็จะสามารถเอาชนะสิ่งแวดล้อมของครอบครัวเด็ก
ที่ขาดตกบกพร่องได้เพราะเด็กที่คลอดจากท้องแม่แล้วอยู่ในวิสัยที่เราสามารถแก้ไขได้
หน่วยพันธุกรรม
ย้อนกลับไปเมื่อทารกในครรภ์มีอายุราว 3 สัปดาห์นั้น จะมีเซลล์บางๆ ชิ้นหนึ่ง
ในร่างกายของทารกที่ม้วนตัวขึ้นเป็นกระบอกที่มีชื่อว่าท่อประสาท (Neural Tube)
โดยเซลล์ที่ปรากฏอยู่ในท่อนี้จะมีการแบ่งตัวเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในอัตรา 250,000 เซลล์ต่อนาที
เพื่อแต่งเติมเสริมสร้างสมองและประสาทไขสันหลังจามขั้นตอนและพิมพ์เขียวที่กำหนดไว้
ธรรมชาติจะมีผลกระทบต่อพัฒนาการนี้ได้เช่น ถ้าหากหญิงตั้งครรภ์ตกอยู่ในสภาพขาดอาหาร,
ติดยาเสพติดหรือติดเชื้อไวรัสก็อาจทำลายหรือขัดขวางการสร้างท่อประสาท
จนต่อมาเด็กเกิดโรคลมชัก, ปัญญาอ่อน, ออทิซึม (Autism) จิตเภท
เพราะพัฒนาการที่ผิดปกติดังกล่าว
นักวิทยาศาสตร์พบความมหัศจรรย์ของสมองในอีกมุมมองหนึ่ง กล่าวคือไม่เหลือบ่ากว่าแรงแล้ว
สมองจะพยายามแก้ไขความบกพร่องที่มาจากสิ่งแวดล้อม ดังจะเห็นได้ว่าบางครั้งเซลล์
ซึ่งมัวยุ่งอยู่กับการสร้างท่อประสาทนั้นอาจเคลื่อนที่ไปเชื่อมต่อจุดบกพร่องในที่ห่างไกลออกไป
มากเพียงเพื่อทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง กระบวนการนี้ท่านเคยเรียนวิชาชีววิทยา
คงจะรู้จักว่านั่นคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างโครงสร้างที่สมบูรณ์หรือ Metamorphosis
โดยมีหน่วยพันธุกรรมช่วยนำทางการอพยพของเซลล์ประสาทจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
เพื่อการซ่อมแซมดังกล่าว
วิธีการเชื่อมโยงของระบบประสาทในร่างกายคนเราก็คือ
หลังคลอดนั้นเซลล์ประสาทนับพันนับหมื่นล้านเซลล์จะส่งเครือข่ายสายเคเบิล (Axon)
และเคเบิลเพื่อการรับสัญญาณ (Dendrite) แล้วเชื่อมต่อเหมือนชุมสาย (Synapse)
ครั้นเมื่อเริ่มรับสัญญาณแล้ว ระบบประสาทที่กำลังพัฒนาอยู่ในสมองของเด็กทารกขวบปีแรก
ยังจะต้องจัดสรรประสานสัมพันธ์ให้ถูกจุดให้รู้ว่าชุมสายไหนควร จะส่งต่อไปที่ส่วนใดของเมือง
(หรือจุดใดในร่างกาย) จึงมีผู้คาดการณ์ว่าภายในสมองของเราจะมีจุดเชื่อมต่อหนึ่งหมื่นล้านล้านจุด
(1 Quadrillion) ในขณะที่ร่างกายมีหน่วยพันธุกรรมเพียง 1 แสนหน่วย
พันธุกรรมจึงไม่ใช่ตัวกำหนดระบบประสาทในรายละเอียดเสียทีเดียว
แต่ก็มีการค้นพบหน่วยพันธุกรรมที่สำคัญมากในการช่วยให้เซลล์ประสาทเชื่อมต่อ
กับเป้าหมายเช่นการเชื่อมต่อของสมองส่วนที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแขน ขา
จากเซลล์ประสาทในสมองไปสู่กล้ามเนื้อแขนขาต้องอาศัยพันธุกรรม CREB
เมื่อทารกแรกคลอดออกมาจะพอมองเห็น, ได้ยิน, ได้กลิ่นและตอบสนองต่อการสัมผัสได้บ้าง
สมองส่วนสำคัญที่ต้องทำงานอย่างเต็มที่คือ ก้านสมอง (Brainstem) ซึ่งควบคุมการทำงาน
ของอวัยวะสำคัญต่อชีวิตเช่น หัวใจ, ปอด ในขณะที่เส้นประสาทเชื่อมต่อของระบบอื่นๆ
ในร่างกายยังอ่อนเปลี้ยไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เด็กทารกจะใช้เวลาอีกเพียง 2-3 เดือน
ในการพัฒนาจุดเชื่อมต่อ พอถึง 2 ขวบ สมองก็จะมีจุดเชื่อมต่อมากเป็น 2 เท่า
และต้องการพลังงานมากกว่า 2 เท่าของผู้ใหญ่
ทำไมจึงเชื่อมั่นขนาดนี้ ?
คำตอบคือ จากการตรวจศพของเด็กที่เสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน
เขาพบตัวอย่างว่ารอยเชื่อมต่อ (Synapse) ของประสาทการมองเห็นเพิ่มจาก 2500
การเชื่อมต่อเซลล์ประสาท 1 เซลล์เมื่อแรกคลอดไปเป็น 18,000 การเชื่อมต่อต่อ 1 เซลล์
ภายใน 6 เดือนที่จุดอื่นๆ ก็คล้ายกันเพียงแต่อัตราเพิ่มอาจจะต่างกันบ้าง
โดยทุกจุดจะเพิ่มโดยเฉลี่ย 15,000 Synapses ต่อ 1 เซลล์ประสาท
การเชื่อมต่ออย่างมหาศาลนี้เองที่ทำให้สมองของเด็กมีความยืดหยุ่น
และมีสมรรถนะในการกลับคืนสู่สภาพเดิมสูงมาก ยกตัวอย่างเด็กหญิงวัยรุ่นอายุ 13 ปีรายหนึ่ง
ซึ่งเป็นโรคลมชักรุนแรงขนาดหมอต้องผ่าตัดสมองใหญ่ข้างขวาออกทั้งหมดเมื่อเธอมีอายุ 6 ขวบ
ผลการผ่าตัดทำให้หนูน้อยไม่สามารถใช้งานกล้ามเนื้อซีกซ้ายของร่างกายได้
(สมองข้างขวาควบคุมกิจกรรมของร่างกายข้างซ้าย) แต่ขณะนี้ หนูน้อยผู้นี้เรียนหนังสือ
ระดับ A มีทักษะด้านเพลง, คณิตศาสตร์และศิลปะ ทั้งๆ ที่ทักษะเหล่านี้มักจะเกิดกับสมองข้าวขวาก็ตาม
สิ่งที่เธอยังขาดอยู่และคงจะตลอดไปคือแขนซ้ายยังใช้การได้ไม่เต็ม 100%
หากสมองไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องหรือปิดกั้นการรับสัญญาณ
ก็อาจส่งผลรุนแรงอย่างเด็กที่เป็นออกทิซึม (Autism) ซึ่งแยกตัวออกจากโลก
เพราะความอ่อนไหวเกินไปต่อการกระตุ้น ดังนั้นการป้องกันทางหนึ่งคือ
พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กต้องได้รับแสงและเสียงที่ก่อให้เกิดการหลงผิด
คุณพ่อคุณแม่มีบทบาทสำคัญต้อการสร้างวงจรไฟฟ้าภายในสมองของลูก
ในส่วนที่เกี่ยวกับการตอบสนองต่อความเครียด เด็กๆ ที่ถูกทำร้ายร่างกายตั้งแต่เล็กๆ
(Physical Abuse) จะพัฒนาสมองที่เตรียมรับอันตรายได้อย่างยอดเยี่ยมทันทีที่มีสิ่งคุกคาม
หัวใจแกจะเต้นเร็ว, ฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียดจะหลั่งออกมาอย่างมากมาย
สมองจะตื่นตัวรับรู้สัญญาณที่ส่อเค้าการโจมตีครั้งต่อไป ในทางอารมณ์ก็เช่นกัน
ถ้าแม่มีอาการเซ็งเศร้าซึม ใน 3 ขวบปีแรกของลูก แกก็จะพลอยเซ็งเศร้าซึมไปด้วย
ดังจะเห็นได้จากอาการอ่านหนังสือได้ช้ากว่าปกติ
ความรู้เกี่ยวกับสมองที่ประมวลได้ในขณะนี้บ่งชี้ว่าสมองของเด็กเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขได้
แต่หาใช่ว่าโอกาสจะเปิดอยู่ตลอดไป เงื่อนเวลาเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2-3 ขวบ
ปีแรกที่เด็กลืมตาดูโลก
ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถในการเรียนรู้ภาษาที่สองของเด็กจะมีมากที่สุด
ตั้งแต่หลังคลอดไปจนถึง 6 ขวบ หลังจากนั้นความสามารถดังกล่าวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
ผู้ใหญ่จำนวนมากอาจจะยังสามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ได้แต่ก็มักจะต้องใช้ความพยายามสูง
ตรงนี้กระมังที่อธิบายว่าทำไม่คนไทยรุ่นใหม่จึงไม่ค่อยรู้ภาษาอังกฤษ
เพราะนโยบายไปสอนตอนโตเกินไปแล้ว ? นโยบายการสอนภาษาที่สอง
ควรเริ่มตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา
การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของสมองจะปิดลงเมื่อราวอายุ 10 ขวบ
หลังจากนั้นสมองจะเริ่มทำลายจุดเชื่อมต่อ (Synapse) ที่ไม่จำเป็นออกไปเหลือไว้แต่จุดสำคัญ
พอถึงอายุ 18 ขวบ ความยืดหยุ่นของสมองจะลดลงแต่กลับมีพลังเพิ่มขึ้นจนพรสวรรค์และศักยภาพต่างๆ
ที่หลบอยู่เริ่มปรากฏตัว
การเชื่อมโยงระบบประสาทในสมอง
1. เซลล์ประสาท สมองของทารกในครรภ์
จะสร้างเซลล์ประสาท มากมายให้มีจำนวน เกินกว่าที่จะใช้จริงๆ
เสร็จแล้วจึงค่อยกำจัดส่วนเกิน
|
|
2. แกนของเซลล์ประสาท เซลล์ประสาท ที่คัดไว้ใช้งานต่อ จะเริ่มยื่นแกน ของเซลล์ประสาท
ออกไปดุจสายเคเบิล เพื่อส่งสัญญาณ โดยจะแตกกิ่งออก ได้มากกว่าหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อกับ เป้าหมายหลายจุด
|
3. สัญญาไฟฟ้า ที่เกิดขึ้นจะช่วยเสริม ความแข็งแรง ของส่วนต่อต่างๆ
แล้วปล่อยให้ส่วน ต่อที่ไม่ได้ใช้งานฝ่อยุบไป
|
|
4. กิ่งก้านของเซลล์ประสาท สมองของเด็ก ทารกหลังคลอด
จะมีการขยาย การเจริญเติบโต อีกรอบหนึ่ง โดยแกนของ เซลล์ประสาท (AXON)
ซึ่งเป็นตัวส่ง สัญญาณกับ กิ่งก้านของ เซลล์ประสาท (DENDRITE)
ซึ่งเป็นตัวรับสัญญาณ จะขยายการเชื่อมต่อ สัญญาไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากการที่
เด็กได้รับประสบการณ์ ใหม่ๆ ทุกวัน จะเป็นตัวควบคุม วงจรต่างๆ ภายในสมอง เพื่อคัดเลือก
ว่าจุดเชื่อมต่อ หรือชุมสาย ส่วนไหนจะเก็บไว้ ส่วนไหนจะทิ้งไป
|
นโยบายการศึกษาควรเปลี่ยนแปลงไปตามความรู้ใหม่ที่ได้จากการวิจัย
การทุ่มงบประมาณสนับสนุนโครงการดูแลเด็กเล็กวัยก่อนเข้าโรงเรียน
เพื่อเสริมสร้างสมองจะเป็นการลงทุนที่จำเป็นและคุ้มค่าเพื่อการสร้างคนรุ่นใหม่
เพราะถึงแม้ว่าร่างกายจะสร้างจุดเชื่อมต่อของระบบประสาทได้จนถึงวัยแก่เฒ่า
แต่ก็ไม่มีทางชดเชยความสามารถในการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ที่ควรจะได้ใน 10 ขวบปีแรกของชีวิต
ตารางแสดงพัฒนาการของสมองเด็กทารก
| การมองเห็น | อารมณ์ |
การรู้ภาษา | การเคลื่อนไหว |
สิ่งที่เกิดขึ้น
|
เมื่อแรกคลอดเด็ก ทารกก็เริ่มมองเห็น เพียงแต่ว่ายังไม่อาจ
บอกรายละเอียดของ ภาพ, ไม่สามารถใช้ ตาทั้ง 2 ข้าง โฟกัส ไปที่จุดๆ เดียวพร้อม
กันไม่อาจบอกความ ลึกด้วยตา ตาและมือ ยังไม่ประสาน สัมพันธ์กัน
|
ธรรมชาติให้ความ สำคัญเกี่ยวกับอา รมณ์มากถึงขนาด เริ่มสร้างวงจร ประสาทการรับรู้
ส่วนนี้ก่อน สัญญาณอื่นๆ เสียด้วยซ้ำไป โดยเริ่มตั้งแต่ อายุ 2 เดือน เด็กจะมี ความรู้สึกพอใจ
หรือไม่พอใจแล้ว พัฒนาไปสู่อารมณ์ ที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เช่น สนุกสนาน, เศร้า,อิจฉา, ภูมิใจ
และละอายใจ เป็นต้น
|
ทารกเริ่มคุ้นเคย กับเสียงแม่ตั้งแต่ อยู่ในท้อง และใน 6 ปีต่อ จากนั้น
สมองเด็กจะค่อยๆ สร้างวงจรที่จำเป็น ต่อการแปลความ และการจดจำทำนอง และลีลา
ภายใน 6 เดือนแรก เด็กทารก ก็จดจำเสียงพูด พื้นฐานที่ใช้ใน การสนทนา
|
เมื่อแรกคลอด เด็กจะเคลื่อนไหว แขนขาได้แต่ยัง ควบคุมการเคลื่อน
ไหวนั้นไม่ได้จึง ต้องใช้เวลา ราว 4 ปี ในการปรับปรุง วงจรในสมอง ให้สามารถหยิบ จับสิ่งของ,
นั่ง, คลาน, เดิน และวิ่งในที่สุด
|
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พึงปฏิบัติ
|
หากสงสัยว่าลูกน้อย มี ปัญหาเกี่ยวกับการมอง เห็น ก็สามารถพาไป
ให้คุณหมอตรวจได้ตั้ง แต่อายุ 2 สัปดาห์ เพราะปัญหาของตา หากทิ้งไว้ โดยไม่แก้ไข
อาจทำให้เกิดการสูญ เสียถาวร
|
การให้ความรัก แก่เด็กจะเป็น อาหารประเสริฐสุด ช่วยกระตุ้น พัฒนาการ ด้านอารมณ์
การทอดทิ้งเด็ก จะทำให้คลื่นสมอง ส่งรูปแบบของคน ไม่มีความสุข การละเมิด เด็กจะทำให้แก
เกิดความวิตก กังวลและปฏิกิริยา ตอบสนอง ความเครียด ที่ผิดปกติไป
|
พูดกับลูก บ่อยๆ จะช่วย เร่งกระบวน การเรียนรู้ คำใหม่ๆ การส่งเสียงสูง
ในลักษณะ คล้ายร้องเพลง จะช่วยให้เด็ก เชื่อมโยงคำพูด กับวัตถุได้ดีขึ้น
|
ให้อิสระแก่เด็ก มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ตราบเท่าที่ ยังปลอดภัยอยู่
เพียงการ เอื้อมมือไป จับสิ่งของ ก็ช่วยพัฒนาการ ประสานงาน ของมือกับตาแล้ว
เมื่อเด็กพร้อม ก็ให้แกไปเรียน ไวโอลิน หรือเปียโน เพื่อเสริมทักษะ การเคลื่อนไหว
แบบละเอียดอ่อน
|
นพ.พงษ์ศักดิ์ พฤกษาพงษ์
|