มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ คัดลอกจากนิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 22 ฉบับที่ 328 มิถุนายน 2542]

ยิ้มนั้น สำคัญขนาดไหน

ท.ญ.ดร.ชมพูนุช จิตรปฏิมา



การอยู่ในสังคมเป็นธรรมชาติที่เราจะสังเกตและวิเคราะห์ บุคลิกของบุคคลที่ได้พบเห็นหรือได้ทำความรู้จักว่าเป็นคนน่าคบหาสมาคม มีความสามารถ เป็นคนฉลาดและเป็นมิตรหรือไม่ สิ่งแรกสุดก็คือ การสังเกตสีหน้าที่แสดงถึงอารมณ์ โดยเฉพาะการยิ้ม ซึ่งสะท้อนความรูสึกภายในรวมทั้งความคิดของบุคคลนั้น

การยิ้มกว้างเห็นฟัน ทำปากเชิดหรือเม้มริมฝีปาก
เป็นสิ่งที่บอกเหตุที่กำหนดบรรยากาศของการสนทนา

นักชีววิทยาชาวสก๊อต ชื่อ Charles Bell (ชาร์ล แบล) (ค.ศ.1806) ว่า การยิ้มสามารถสื่อความหมายได้หลายพันอย่าง การแสดงความรู้สึกบนใบหน้า ที่เรียกว่า เฟเชียล เอกซ์เพรสชั่น (Facial Expression) มีการยิ้ม และการแสดงสีหน้าประหลาดใจที่สามารถสังเกตได้ในระยะ 150 ฟุต ส่วนการยิ้มเพียงอย่างเดียว สามารถสังเกตและเข้าใจได้ในระยะถึง 300 ฟุต

การพัฒนาของใบหน้าเริ่มต้นที่ปากซึ่งเป็นอวัยวะแรก ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากตัวอ่อน หลังมีการปฏิสนธิในการพัฒนาอวัยวะ ต้องอาศัยการทำงานที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกัน เช่น การพัฒนาของเพดาน ลิ้น และ ช่องปาก รวมทั้งการพัฒนาของสมอง หากการทำงานของแต่ละส่วน ไม่สอดคล้องกันจะทำให้เกิดความผิดปกติไม่สมประกอบ เช่น ปากแหว่ง เพดานโหว่ได้

ในศตวรรษที่ 19 นักวิจัยชาวฝรั่งเศสชื่อ เบนจามิน ดูเซน เดย บู โลญจ์ ได้ทำการเก็บศีรษะนักโทษที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยติน มาศึกษาเรื่องการแสดงความรู้สึกบนใบหน้าของมนุษย์ จากการศึกษากล้ามเนื้อที่บังคับส่วนต่างๆ พบว่า มีกล้ามเนื้อ 22 มัด บนใบหน้าแต่ละข้างมากกว่าสัตว์อื่นๆ กล้ามเนื้อที่แสดงอารมณ์บนใบหน้า มีลักษณะพิเศษที่ต่างจากกล้ามเนื้อบริเวณอื่นๆ ของร่างกาย คือ ติดอยู่ระหว่าง Connective tissue ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่พยุงกล้ามเนื้อ และกระดูกไว้ด้วยกัน ซึ่งทำให้ผิวหน้าของมนุษย์สามารถขยับเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงได้เร็ว ตามคำสั่งจากสมอง

กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการยิ้มมีชื่อว่า ไซโกแมติกส์ เมเจอร์ ซึ่งมีเส้นประสาทใบหน้าเส้นที่ 7 บังคับอยู่ เช่น กล้ามเนื้อที่เฉียง ลงมาจากแก้มไปจดมุมปาก และอีกมัดหนึ่งที่สำคัญคือ คอรูเกเตอร์ (Corrugator Muscle) เชื่อมระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง เวลาขมวดคิ้ว จะเป็นร่องตั้งฉากตรงกลาง กล้ามเนื้อที่แสดงความรู้สึกอารมณ์ดี จะเป็นไซโกแมติกส์ เมเจอร์ตรงข้ามกับแสดงอารมณ์โกรธคือ คอรูเกเตอร์ กล้ามเนื้ออื่นที่ยกหน้าผากเลิกคิ้ว กล้ามเนื้อรอบๆ ปาก รอบดวงตา ล้วนถูกบังคับด้วยเส้นประสาทของใบหน้า (Facial Nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทเส้นที่ 7 ซึ่งมาจากสมอง เส้นประสาทนี้ยังแตกแขนง เป็นเส้นประสาทย่อยที่บังคับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า ส่วนบนและส่วนล่างอีกด้วย

มีคนจำนวนนับล้านที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกบนใบหน้าได้ตามปกติ เนื่องจากโรคบางชนิด เช่น ออทิสซึ่ม (Autism) โรคซึมเศร้า (Severe Depression) โรคพาริกินสัน การกระแทกจากอุบัติเหตุ หรือถูกทำร้าย หรือจากพันธุกรรม ที่พบบ่อยและน่ากลัวคือ โรค Bell's Palsy เป็นอัมพาตครึ่งซีกของใบหน้าด้านใดด้านหนึ่ง เกิดขึ้นโดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า 80% ของผู้ป่วยที่เป็นจะหายเอง โดยไม่ต้องรักษา แต่อีกส่วนหนึ่งอาจเป็นอัมพาตถาวร

เซอร์ ชาร์ล แบล ผู้ค้นพบโรคนี้กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากการอักเสบ ของเส้นประสาทที่ 7 ทำให้เป็นอัมพาต อาการของโรคอาจเป็นในครอบครัว หรือได้รับสืบทอดทางพันธุกรรมสามารถเกิดได้ทุกวัย แม้แต่สตรีมีครรภ์ คนที่เป็นเบาหวาน ไข้หวัดใหญ่ โรคระบบทางเดินหายใจผู้หญิง เป็นมากกว่าผู้ชาย อายุ 40 ปี หรือมากกว่า

อาการอัมพาตเกิดขึ้นภายใน 2-3 ชม. เริ่มด้วยอาการเจ็บ ซีกใบหน้าที่บริเวณหู ขมับ กราม กล้ามเนื้อที่เป็นอัมพาตจะห้อย มุมปากตก น้ำลายไหลย้อย เปลือกตาปิดไม่ได้ กระพริบตาไม่ได้ เวลาพยายามยิ้ม มุมปากก็ไม่ขยับ ทำให้ใบหน้าเฉยเมยไม่มีความรู้สึก การออกเสียงพูดและการกินอาหารก็เกิดปัญหา ลิ้นรับรสชาติไม่เหมือนกัน

จากสถิติในสหรัฐอเมริกาประชากรป่วยด้วยโรคประสาท ที่ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก มี 40,000-50,000 คนในแต่ละปีหนึ่งใน 30 คนจะเป็นโรคนี้ครั้งหนึ่งในช่วงชีวิตประมาณ 80% ของผู้ป่วยจะหายขาด ภายใน 3 เดือน 15-20% ที่เหลือจะมีอาการเส้นประสาทเสื่อมถาวร

สาเหตุของ Bell's Palsy

สาเหตุของ Bell's Palsy ไม่มีใครทราบแน่ชัด แพทย์หลายคน ลงความเห็นว่า เส้นประสาทเกิดขาดออกซิเจน เส้นประสาทที่ได้รับ ความระคายเคืองจนบวม ขณะที่ผ่านจากสมองลอดเข้าช่องเส้นประสาทเล็กๆ ตรงฐานกะโหลกศีรษะมายังใบหน้า เมื่อถูกกดขณะที่อยู่ในโพรงกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการขาดออกซิเจนและเป็นผลให้เกิดอัมพาต สันนิษฐานว่า เชื้อไวรัสตระกูลที่ทำให้เกิดเริม (Herpes Virus) เป็นตัวกระตุ้น ทำให้เส้นประสาท Facial Nerve ระคายเคือง

การรักษา Bell's Palsy

ไม่มีการรักษาโดยเฉพาะ สำหรับโรคนี้ การใช้ยา Steroid และระงับการอักเสบหรือแก้ปวดเป็นการรักษา แต่ไม่ช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่อย่างใด สิ่งที่เป็นปัญหามาจากการเป็นอัมพาตครึ่งใบหน้าของ Bell's Palsy คือ เปลือกตาจะปิดไม่ลงทำให้ตาแห้ง และระคายเคือง อักเสบได้ง่าย ซึ่งต้องอาศัยน้ำตาเทียมหยอดให้ความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ

การที่คนเราไม่สามารถยิ้มได้อย่างใจคิด
เป็นปัญหาที่เปลี่ยนบุคลิกภาพและความประพฤติของบุคคลนั้นทีเดียว

การรักษาในปัจจุบันประกอบด้วยการทำผ่าตัด เปลี่ยนถ่ายเส้นประสาทจากด้านปกติ โดยใช้เส้นประสาทที่ควบคุมการกัด มาใช้และฝึกฝนให้ผู้ป่วยยิ้มแทนการยิ้มโดยอัตโนมัติตามธรรมชาติ การฝึกฝนให้ยิ้มนี้อาจใช้เวลาหลายเดือน แต่มีผลด้านความรู้สึก ของผู้อื่นต่อผู้ป่วยด้วย

เมื่อทราบว่ากว่าจะยิ้มได้ไม่ใช่เรื่องง่ายก็ควรจะพยายามยิ้มไว้เสมอ เพราะการยิ้ม มีพลังมหาศาลที่จะเปลี่ยนอารมณ์และสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ อย่างไรก็คงจะดีกว่าคนที่ไม่มีโอกาสยิ้มเลย

ทญ.ดร.ชมพูนุช จิตรปฏิมา


ขอบคุณนิตยสารแม่และเด็ก ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600