
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
ดร.พาโว ไอโรลา เป็นแพทย์ชาวแคนาดาด้านเนเจอร์โรพาติค (NATUROPATHIC) และโภชนาการ เขาได้รับปริญญา DOCTOR OF NATUROPATHY จากอังกฤษ เมื่อจบการศึกษาแล้วได้ใช้ชีวิตส่วนมากอยู่ในยุโรป เพื่อศึกษาการแพทย์ด้านชีววิทยา โภชนาการและการแพทย์ทางเลือก
เขามีชื่อเสียงในด้าน เป็นผู้นำการแพทย์แบบผสมผสาน ที่ชำนาญมากที่สุดคือ การแพทย์ที่ใช้กันแพร่หลายในสวีเดน ฟินแลนด์ เยอรมนี และรัสเซีย
ดร.ไอโรลาได้ย้ายมาอยู่อเมริกาในรัฐอริโซนา ได้เผยแพร่การแพทย์แบบต่างๆ จากยุโรป และได้เสนอให้มีการปฏิบัติด้านการแพทย์แบบผสมผสาน ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นในสหรัฐอเมริกา จนได้รับการยอมรับนับถือจากวงการแพทย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถาบัน INTERNATIONAL ACADEMY OF BIOLOGICAL MEDICINE แพทย์แผนปัจจุบันที่มีชื่อเสียงของอเมริกายอมรับว่า ดร.ไอโรลาเป็นผู้บุกเบิกคนสำคัญ ในวงการการแพทย์แบบผสมผสาน เช่น นายแพทย์ เจย์.พี. ฮัทชินส์, บิลล์ เกรย์, ไมเคิล แชทเตอร์, เดริค ไชคิน และเกเบรียล คูเซน เป็นต้น
การรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคซึ่งไม่ใช่โรคติดเชื้อ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปวดข้อ ฯลฯ เหล่านี้ ดร.ไอโรลา จะแนะนำวิธีแก้ด้วยการปฏิบัติตัวง่ายๆ ผสมกับการเปลี่ยนอาหาร และการใช้วิตามินและแร่ธาตุ
ตัวอย่างง่ายๆอย่างหนึ่ง ซึ่ง ดร.ไอโรลาชอบยกตัวอย่างในรายงาน เกี่ยวกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไข้ก็คือ โรคความดันโลหิตสูง (HYPERTENSION)
ดร.ไอโรลาจะย้ำอยู่เสมอว่า ความดันโลหิตสูงไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการซึ่งเกิดจากความบกพร่อง ของระบบบางอย่าง หรืออวัยวะสำคัญบางอย่างของร่างกาย อาจจะเกิดจากความเครียด โรคประสาท โรคไต ต่อมบางต่อมทำงานผิดปรกติ ความอ้วน เส้นเลือดแข็ง หรืออื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง
ดร.ไอโรลาจะโต้แย้งอย่างแข็งขันว่า ที่วงการแพทย์ปัจจุบันมีความเห็นว่า เมื่อคนเรามีวัยสูงขึ้น ความดันโลหิตก็ต้องสูงขึ้น ตามเป็นเรื่องธรรมดานั้น ดร.ไอโรลาจะไม่ยอมรับโดยเด็ดขาด เพราะการที่ความดันโลหิตสูงขึ้นตามอายุนั้น ดร.ไอโรลาเห็นว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นเพราะความบกพร่องบางอย่าง หรือบางส่วนของร่างกาย
ดร.ไอโรลามีความสนิทสนม กับแพทย์ที่มีชื่อเสียงบางคนของอเมริกา ได้ยกตัวอย่างของแพทย์ฮาร์เวย์ เคลลอก ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของสถานพยาบาลแบตเติล ครีก แซนิตอเรียม
ดร.เคลลอก ขณะนั้นมีอายุ 72 ปี แต่ความดันโลหิตของเขาเท่ากับคนหนุ่ม หรือดีกว่าคนหนุ่มด้วยซ้ำ คือ 118/80 ทั้งนี้ เพราะ ดร.เคลลอกรักษาตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง มีชีวิตประจำวันที่ถูกต้อง กินอาหารที่ถูกต้อง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และมีจิตใจแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
การวัดความดันโลหิตนั้น ต้องใช้เครื่องวัดความดันโลหิตที่เรียกกันว่า SPHYGMOMANOMETER ซึ่งจะวัดความดันโลหิตสองครั้งคือ ในขณะที่หัวใจบีบโลหิตออกจากหัวใจนี้เรียกว่า ความดัน SYSTOLIC ครั้งหนึ่ง และอีกครั้งหนึ่งเมื่อหัวใจคลาย หลังจากบีบโลหิตแล้วเรียกว่า ความดัน DIASTOLIC
ความดัน SYSTOLIC ซึ่งถือกันว่าปรกติโดยทั่วไปนั้นคือ 120-130 M.M. ส่วน DIASTOLIC นั้นควรจะต่ำกว่าตัวแรกประมาณ 30-40 จุด
ดร.ไอโรลา จะปฏิเสธความเห็นของแพทย์ที่ว่า โดยทั่วไปตั้งเป็นกฎได้ว่า ความดัน 100+ ครึ่งหนึ่งของอายุนั้น เป็นตัวเลขความดันที่ใช้ได้นั้น เป็นตัวเลขที่ใช้ไม่ได้
ตัวอย่าง ดร.เคลลอกซึ่งอายุ 72 นั้น ความดันตามกฎควรจะเป็น 100+36=136 และความดัน DIASTOLIC ก็ควรจะเป็น 136-30=106 ซึ่งจะอ่านรวมได้ว่า 136/106 นั้นย่อมใช้ ไม่ได้
เพราะในขณะที่ความดันจริงๆ ของ ดร. เคลลอก อายุ 72 นั้นคือ 118/80 ซึ่งชี้ให้เห็นสภาพทางสุขภาพของ ดร.เคลลอก ขณะนั้นว่าแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มอายุสัก 40-50 นั้น ถ้าเป็นความดัน 136/106 แล้วละก็ ดร.เคลลอก ก็จะมีสภาพเหมือนคนแก่ ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
เอาละ ถ้าบางคนความดันโลหิตสูง และมีลักษณะเหมือนคนป่วยหรือคนแก่ แล้วจะแก้ไขให้ความดันต่ำ และมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มสาวได้หรือไม่
ดร.ไอโรลาได้แนะนำวิธีแก้ด้วยการใช้อาหาร และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน โดยยกตัวอย่างคนไข้คนหนึ่งจากสวีเดน ชื่อ มิสซิส อี.พี. อายุ 44 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ถึง 15 ปี รักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ปัจจุบัน ด้วยการกินยาก็ไม่ได้ผล ความดันของเธอขึ้นถึง 240 และบางครั้งก็สูงกว่า 240 อยู่ตลอดเวลา
เมื่อรักษาทางยาไม่ได้ผล มิสซิส อี.พี. ก็หันมาใช้วิธีรักษาด้านโภชนาการ และการปฏิบัติตัว
การรักษาของเธอแบ่งออกเป็น 3 งวด
งวดแรกใช้เวลา 10 วัน จำกัดการใช้อาหาร ด้วยการให้กินแต่ซุปผักสลับกับน้ำผลไม้ และน้ำผักตลอดวัน และระหว่าง 10 วันนั้นจะใช้วิธีสวนทวาร ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาวเช้าและเย็น วันละ 2 ครั้ง
งวดที่สอง ใช้เวลาอีก 14 วัน เปลี่ยนเป็นอาหารรสจืด โดยตอนเช้าให้ผลไม้ ตอนกลางวันและเย็นให้ สลัดผักสด นมเปรี้ยวผสมกับคอทเทล ชีส เล็กน้อย
งวดที่สาม ใช้เวลาอีก 10 วัน กลับไปใช้น้ำผัก ผลไม้ และซุปผักเหมือนงวดแรก
ดร.ไอโรลาได้ตรวจคนไข้เมื่อถึงงวดที่ 3 ปรากฏว่า ความดันโลหิตลดจาก 240 กว่าขึ้นไป ลงมาเหลือ 137 นับเป็นการลดความดันโลหิตที่ได้ผลครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา
มิสซิส อี.พี. ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน และได้รับคำแนะนำว่าให้ยึดอาหารแบบ นม มังสวิรัติ เป็นอาหารหลักต่อไป
เธอรายงานมาตลอดเวลาว่า เธอสบายอย่างชนิดที่ไม่เคยสบายมาก่อนในชีวิต และความดันโลหิตไม่เคยเพิ่มขึ้นอีกเลย
คลินิกต่างๆ ในอเมริกาหลายแห่ง ได้ใช้วิธีรักษาโรคความดันโลหิตสูงตามแนวของ ดร.ไอโรลา และประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง
นายแพทย์อาร์ ครอสส์ แห่งคลินิกพอลิ่ง เฮลท์แมเนอร์ แห่งนิวยอร์ก รายงานคนไข้ความดันโลหิตสูง 54 ราย ในชั่วระยะเวลา 5 ปี หายขาด 38 ราย และดีขึ้นกว่าเดิม 16 ราย
นายแพทย์เจมส์ แมคคาเชน แห่งเอสคอนดิโก แคลิฟอร์เนีย ได้รักษาคน 141 คน ซึ่งป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง คนไข้หายหมดและดีขึ้นกว่าเดิม ผลของการรักษาได้ผล 100% เต็ม
คลินิกของนายแพทย์เฮอร์เบิต เชลตัน ที่เท็กซัส และคลินิกของนายแพทย์ดับบลิว แอล เอสเซอร์ในฟลอริดา รายงานว่า การรักษาได้ผล 100% อีกเช่นกัน เฉพาะนายแพทย์บริว แอล เอสเซอร์ นั้น กล่าวว่า ภายในเวลา 3 อาทิตย์ คนไข้คนหนึ่งความดันโลหิตลดจาก 295 เหลือเพียง 115
ดร.ไอโรลาได้พยายามชี้ให้เห็นว่า โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ซึ่งไม่ใช่โรคติดเชื้อนั้น สามารถจะรักษาได้ด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนอาหาร ด้วยการปฏิบัติตัวเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน และเมื่อเปลี่ยนหรือปรับปรุงตัวเองจนสุขภาพดีขึ้นแล้ว ก็ต้องมีระเบียบวินัยที่เข้มแข็งสำหรับตัวเอง ที่จะต้องปฏิบัติตัวต่อไปอย่างสม่ำเสมอด้วย
ดร.ไอโรลาเตือนว่า สำหรับผู้ที่จะรักษาโรคความดันโลหิตสูงด้วยวิธีนี้ จะต้องแน่ใจและตรวจร่างกายให้แน่นอนเสียก่อน ว่าไม่ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคไต ถ้าเป็นอยู่แล้ว หรือมีเค้าว่าจะเป็น รักษาด้วยวิธีนี้ไม่ได้.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|