
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
เมื่ออาทิตย์ก่อนติดค้างเรื่องอาร์ไทรทิส หรือเรื่องปวดข้อ ข้อเสื่อม ไว้ยังเขียนไม่จบครับ อาทิตย์นี้ขออนุญาตเขียนต่อ
อาร์ไทรทิส เมื่ออาทิตย์ก่อนนั้นได้พูดถึงอาการปวดข้อ บวมอักเสบไว้หลายสาขาด้วยกัน มีทั้งการปวดบวมชั่วครั้งชั่วคราว ซึ่งเป็นอาร์ไทรทิสธรรมดาๆ และสาขาอื่นๆ เช่น รูมาตอยด์ ปวดหลัง กระดูกหลังคด ปวดไหล่ และปวดข้อชนิดต่างๆ รวมทั้งการปวดเนื่องมาจากแพ้สารพิษ เป็นต้น
ได้อธิบายสาขาต่างๆ ของการปวดข้อ ข้ออักเสบไว้มากพอสมควรเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สำหรับการปวดเหล่านี้ การรักษาทั่วๆ ไปมักจะมุ่งไปที่การระงับการปวดมากกว่า
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า สูตรการรักษาอาร์ไทรทิสชนิดต่างๆ นั้นเหมือนกันหมด คือ (1) ให้ยาแก้ปวด (2) ให้ยาแก้อักเสบ และ (3) ให้สเตอรอยด์
บางแห่งอาจจะเพิ่มกายภาพบำบัดเข้าไปด้วย
การรักษาตามสูตรเหล่านี้ มักจะให้ผลตรงที่แก้ปวด และแก้อักเสบได้ชั่วคราวเท่านั้น พอหายปวดไปได้สักพัก อีกไม่ช้าก็จะกลับมาปวดอีก ก็ต้องย้อนกลับไปรักษาตามสูตรเดิมอีก การรักษาก็มักจะวนไปเวียนมาในลักษณะนี้
แต่ก็มีกลุ่มแพทย์บางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มในยุโรปมีความเห็นว่า การรักษาอาร์ไทรทิสไม่ควรจะรักษา แต่เพียงแก้การปวดและการอักเสบเท่านั้น แต่ควรจะรักษาร่างกายทั้งหมดในลักษณะขององค์รวม
แพทย์เหล่านี้มี ดร.พาโว ไอโรล่า เป็นหัวหน้าและเป็นตัวเชื่อมของกลุ่ม ผมได้เคยพูดถึงวิธีรักษาโรคความดันโลหิตสูงของ ดร.ไอโรล่า เมื่อสองอาทิตย์ก่อนมาแล้ว ท่านผู้อ่านคงจะจำได้
ดร.ไอโรล่า เป็นชาวแคนาดา และงานค้นคว้าในด้านอาร์ไทรทิส และโรคอื่นๆ ซึ่งเกิดจากภูมิชีวิตหรือ IMMUNE SYSTEM บกพร่องนั้น จะเป็นงานจากวงการแพทย์ทางยุโรปเป็นส่วนมาก
การแพทย์สมัยใหม่และความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นเรามักจะยกให้อเมริกาเป็นตัวนำ รวมทั้งการค้นคว้าต่อโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น มะเร็ง และเอดส์ เป็นต้น
แต่ในด้านโรคเกี่ยวกับข้ออักเสบ ตั้งแต่เล็กน้อยจนกระทั่งมากถึงขั้นพิการนั้น การรักษาและการบำบัดของยุโรป มีชื่อเสียงมายาวนาน ยุโรปรู้จักอาร์ไทรทิส และค้นคว้าศึกษาเรื่องอาร์ไทรทิสมานานนับพันปี
เราจะเห็นว่า ประวัติศาสตร์ของยุโรปเกี่ยวกับคนสำคัญๆ ของประเทศต่างๆ รวมทั้งชนชั้นขุนนางและเศรษฐีของยุโรปนั้น จะมีบันทึกเกี่ยวข้องกับโรคอาร์ไทรทิสอยู่เสมอ
โรงอาบน้ำ และบ่อน้ำแร่ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันก็มีบันทึกไว้ว่า ช่วยในการรักษาและบำบัดอาร์ไทรทิสด้วย
ยุโรปและอาร์ไทรทิส จึงเป็นของคู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ
มาถึงสมัยเมื่อศตวรรษที่แล้ว การรักษาอาร์ไทรทิสในยุโรป ได้มีการค้นคว้าและทดลองยาแก้อาร์ไทรทิสมากมาย ประมาณเมื่อเกือบ 100 ปีมาแล้ว ถึงกับเชื่อกันว่า ถ้าฉีดหรือกินธาตุบางอย่างเข้าไป เช่น ทอง หรือ ปรอท ก็จะช่วยรักษาโรคอาร์ไทรทิสได้้
มาถึงยุคหลังสุดนี้ การรักษาอาร์ไทรทิสมีการพัฒนาขึ้นมากมาย แรกทีเดียวได้ค้นพบต้นตอของอาร์ไทรทิสว่า ไม่ใช่โรคติดเชื้อเหมือนโรคอื่นๆ ทั่วไป แต่เกิดจากความบกพร่องของภูมิชีวิต หรือ IMMUNE SYSTEM ของคนไข้เอง
ดร.ไอโรล่าได้ร่วมมือกับกลุ่มแพทย์ ของแคนาดาของสแกนดิเนเวีย ของเยอรมัน และสวิตเซอร์แลนด์ อีกไม่ต่ำกว่า 10 ท่าน เช่น น.พ.คาล ออตโตอลาย น.พ.ลาส์อีริค เอสเซน น.พ.จอน แฮมเบอริค น.พ.วิลเลียม แมคการี น.พ.ออตโต บูชิงเกอร์ และแพทย์อื่นๆ อีกหลายคน
แพทย์เหล่านี้ได้ศึกษาค้นคว้า เรื่องวิธีรักษาและบำบัดอาร์ไทรทิส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมันตะวันตก สวิตเซอร์แลนด์ และสวีเดน มีคลินิกและโรงพยาบาล ซึ่งรักษาและบำบัดอาร์ไทรทิสโดยเฉพาะไม่ต่ำกว่า 30 แห่ง
กลุ่มของ ดร.ไอโรล่า ได้วางแนวทางการรักษาอาร์ไทรทิสไว้ 2 ขั้นตอนคือ
1. แก้การปวดและการอักเสบหรืออาการเฉพาะ หน้าก่อนโดยด่วน
2. ต้องทำทุกวิธีเพื่อให้ร่างกายสามารถใช้งานรักษาตนเองได้อย่างเต็มที่
แพทย์กลุ่มนี้เชื่อในเรื่องการรักษาตนเองของร่างกาย เป็นพลังพิเศษประจำตัวของมนุษย์และสัตว์ และพลังในการรักษาตนเองนี้ ก็คือ IMMUNE SYSTEM หรือภูมิชีวิตนั่นเอง
วิธีรักษาและบำบัดตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมานี้นั้น กลุ่มแพทย์ได้แยกแยะออกเป็นวิธีต่างๆ รวมกันเป็นโปรแกรมการรักษา นั่นก็คือ
1. ต้องลดยาแก้ปวดและสเตอรอยด์ กลุ่มแพทย์เหล่านี้เห็นว่า ยาที่ใช้เป็นประจำและเป็นเวลานานนั้น เป็นอันตราย ต้องลดยา และทดแทนด้วยโปรแกรมการรักษา ด้วยวิธีใหม่ทันที
การลดยานี้สำคัญและต้องระวังมาก และแพทย์ต้องเป็นผู้ควบคุมการลดยา คือลดลงทีละน้อยๆ และให้ร่างกายปรับตัวเองได้
2. พร้อมกันนั้น กลุ่มแพทย์ของ ดร.ไอโรล่า ก็จะรีบทำโปรแกรมการรักษาโดยเร็ว โปรแกรมการรักษานี้ จะเป็นโปรแกรมรวม และต้องทยอยทำไปทีละขั้น
3. ขั้นแรกหรือขั้นต่อไป คือการกำจัดท็อกซิน จากการทำตัวผิดๆ เช่น การกิน ซึ่งกินอาหารแบบไม่เลือก และเป็นสาเหตุหนึ่งของอาร์ไทรทิส
4. จัดโปรแกรมเรื่องอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ รวมทั้งน้ำคั้นจากผัก เริ่มใช้โปรแกรมอาหารใหม่ทันที
5. ในบางกรณีกลุ่มแพทย์จะให้อดอาหารก่อน การอดอาหารนี้จะเป็นการอดอาหารหนัก แต่นํ้าคั้นจากผัก หรือนํ้าผลไม้ยังให้ดื่มทุกวัน
บางคนต้องอดอาหารเป็นเวลานาน ให้อด 3 วัน หรือหนึ่งอาทิตย์ หรือมากกว่านั้นก็มี
นายแพทย์ออตโต บูชิงเกอร์ แห่งฟาสเทน ซานาตอเรียม แห่งเยอรมันตะวันตก เป็นผู้ที่ใช้ โปรแกรมการอดอาหารอย่างเอาจริงเอาจัง บางคนหมอบูชิงเกอร์ให้อดอาหารถึง 60 วัน ก็มี
นายแพทย์บูชิงเกอร์เคยให้คนไข้ไม่ตํ่ากว่า 50,000 คน อดอาหารมาแล้ว คนไข้ทั้งหมดเมื่อให้อดอาหาร และให้โปรแกรมบำบัดอื่นๆ ร่วมด้วย ปรากฏว่าหายขาด หรืออย่างน้อยก็ดีกว่าเก่าแทบทุกคน
6. ดื่มซุปผักและนํ้าผลไม้ขณะที่อดอาหาร นํ้าผลไม้และผัก ได้แก่ นํ้าแครอท นํ้าแอปเปิ้ล นํ้าเคอแรมน์ดำ (คล้ายนํ้าองุ่น) และนํ้ามะเขือเทศ
นอกจากนั้น ยังมีนํ้าดื่มจากสมุนไพร เช่น นํ้าต้มจากกะเปาะกุหลาบ นํ้าเป๊ปเปอร์มินท์ เป็นต้น
7. การบำบัดด้วยนํ้า โดยใช้นํ้าร้อนสลับนํ้าเย็น และถูตัวอย่างแรงหลังจากอาบนํ้า
การแช่นํ้าแร่ร้อน สลับกับนํ้าเย็นก็ช่วยได้เช่นกัน
8. การออกกำลังกาย ส่วนมากจะให้เดิน หรือวิ่งเหยาะๆ คลินิกและโรงพยาบาลในยุโรปส่วนมาก จะมีป่าหรือสวนป่ารวมอยู่ด้วย แพทย์จะแนะนำให้คนไข้เดินหรือวิ่งบริเวณสวนป่านี้
9. การนวดจะมีแบบแผนการนวด ผสมกับการใช้นํ้าร้อนนํ้าเย็น แต่การนวดแบบยุโรปจะเป็นการนวดกล้าม เพื่อช่วยในการหมุนเวียนโลหิตมากกว่า
ปัจจุบันมีการนวดแบบเอเชียร่วมด้วย
10. ปัจจุบันคลินิกหลายแห่งในยุโรป รวมทั้งอเมริกามีการฝังเข็มร่วมกับการบำบัดอื่นๆ ด้วย
การรักษาและบำบัดด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้ หลายวิธีเป็นเรื่องง่ายๆ และเป็นสิ่งที่คนทั่วไปได้ปฏิบัติอยู่แล้ว เช่น เรื่องการเดิน การกินอาหาร การอาบนํ้า ใช้นํ้าร้อนนํ้าเย็น เป็นต้น
การบำบัดเหล่านี้ อยู่ในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อเอามาปรับปรุงให้ถูกต้องเสียนิดเดียว ก็จะกลายเป็นวิธีบำบัดที่ดีขึ้นมาได้
ขออนุญาตเล่าต่อในตอนหน้านะครับ.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|