
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
นอกเหนือไปจากสถาบันแบรนดัล ซึ่งรักษาโรคไขข้ออักเสบ-เกาต์-รูมาตอยด์ และโรคเกี่ยวกับการบวมอักเสบของข้อต่อ-กล้ามเนื้อต่างๆ แล้ว ยังมีสถาบันและคลินิกอีกหลายแห่ง ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย
สถาบันต่างๆ เหล่านี้ให้การรักษาด้วยวิธีที่เรียกว่า BIOLOGICAL THERAPIES คือแทนที่จะรักษาด้วยการให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบและสเตอรอยด์ สถาบันเหล่านี้ก็จะใช้การบำบัดทางร่างกายด้วยวิธีต่างๆ และพื้นฐานที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องอาหาร ใช้อาหารเป็นยาบำรุง และยารักษาโดยตรง
การรักษาอาร์ไทรทิสแบบบำบัดทางกายเช่นนี้ ได้ผลดีแก่คนไข้หลายหมื่นรายมาแล้ว และการรักษาแบบนี้ในสวีเดน ได้รับความเชื่อถือทั้งในด้านการแพทย์ และจากคนไข้เกือบทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไข้จากยุโรป จะเลือกการรักษาจากประเทศสแกนดิเนเวียเสียเป็นส่วนมาก
ขอยกตัวอย่าง สถาบันอีกแห่งหนึ่งในสวีเดน คือ ไวตาโนวา ซึ่งนอกจากจะเป็นคลินิกในด้าน BIOLOGICAL THERAPIES ที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นคลินิกธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่สวยงามที่สุดของสวีเดน
คลินิกไวตาโนวาตั้งอยู่เชิงเขาคุลลาฮิลล์ อยู่ในตำบลมุลเลอร์ และอยู่ติดกับช่องแคบทะเล ซึ่งแบ่งเขตแดนระหว่างสวีเดนและเดนมาร์ก สถานที่แห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น "SWEDISHRIVIERA"
ผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้คือ นายแพทย์ลาส์ อีริค เอสเสน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง และภายหลังได้หันมาให้การรักษาด้านอาร์ไทรทิส แต่เพียงอย่างเดียว
เมื่อย่างเข้าไปในคลินิกแห่งนี้ ความรู้สึกซึ่งจะประทับใจแขก และคนไข้เป็นสิ่งแรกก็คือ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนโรงพยาบาล และคลินิกทั่วไป แต่จะรู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่ในบ้านพักที่สวยงาม มีภูเขาเป็นฉากหลัง หน้าบ้านหันออกสู่ทะเล มีแสงแดด และสายลมเป็นเพื่อนคู่กาย
ความประทับใจเช่นนี้ จะเกิดเพิ่มขึ้นเมื่อได้เห็นคนไข้ของคลินิกแห่งนี้ เขาไม่ต้องแต่งตัวเหมือนเป็นคนไข้ แต่จะแต่งตัวตามสบายเหมือนอยู่บ้าน และที่ที่คนไข้ชมชอบมากที่สุด คือการได้มานั่งอาบแดดในตอนเข้า ขณะที่อากาศและลมทะเลกำลังสดชื่น
นายแพทย์เอสเสนได้ชื่อว่า เป็นบิดาของผู้ค้นคว้าและค้นพบความสำคัญของ BIOLOGICAL THERAPIES เขาได้พูดถึงการรักษาแบบการแพทย์แผนปัจจุบันว่า "เมื่อเราให้การรักษาโรคติดเชื้อต่างๆ ของคนไข้ตามแบบแผนปัจจุบัน วิธีการขั้นแรกก็คือ ต้องหาต้นตอหรือเชื้อโรคที่ทำให้ป่วยนั้นให้ได้ เมื่อหาได้แล้ว เราก็ต้องเสาะหายาซึ่งจะฆ่าหรือกำจัดเชื้อโรคนั้นๆ ก็จะปรากฏว่าเชื้อโรคจะถูกทำลาย และอาการป่วยต่างๆ ของคนไข้ก็จะหายไป"
"แต่อีกไม่ช้า คนไข้ก็จะกลับมาอีก ด้วยอาการอย่างเก่า หรืออาจจะมีอาการใหม่ เพิ่มขึ้นมาอีก เมื่อตรวจร่างกายดูอาจจะพบเชื้อโรคตัวเก่า หรือตัวใหม่เพิ่มขึ้น ถ้าเป็นเชื้อโรคตัวเก่า จะพบว่าเชื้อโรคมีภูมิ คุ้มกันปลอดภัยจากยาตัวเก่าแล้ว และถ้ามีเชื้อตัวใหม่เพิ่มขึ้น การรักษาก็คือต้องหายาตัวใหม่ซึ่งแรงกว่าเก่าหลายเท่า"
"ในลักษณะนี้ แม้อาการคนไข้จะหายไป แต่เราจะพบว่า สภาพร่างกายของคนไข้อ่อนแอลง มีภูมิต้านทานลดลง และจะมีอาการป่วยแทรกซ้อนอย่างอื่นๆ เพิ่มขึ้นมากมาย เราจะต้องแก้อาการต่างๆ เหล่านี้ และในระยะนี้เราก็ต้องให้ยาแก้ปวด และคอร์ติเซนเพิ่มเติมจากยาชุดเก่า"
"ผลสุดท้าย" นายแพทย์เอสเสนกล่าวอย่างเศร้าๆ "ปรากฏว่าเรากำจัดเชื้อโรคต่างๆ ออกไปจากคนไข้ได้ แต่ก็ปรากฏว่าคนไข้ตาย"
"การประกาศสงครามกับเชื้อโรคนั้น เราชนะ แต่เราก็ล้มเหลวในการรักษาสภาพของร่างกาย เจ้าของไข้ให้ดีขึ้นได้ คนไข้จึงตาย"
"แต่เมื่อเรารักษาคนไข้คนใดก็ตาม เป้าหมายคือให้ร่างกายของคนไข้ทั้งหมด หายดีและแข็งแรงดี เชื้อโรคไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย หรือไวรัสจะเป็นเพียงเป้าหมายรองเท่านั้น"
"ไม่ว่าจะรักษาคนไข้ ด้วยวิธีใด เราจะต้องยึดหลักของปรมาจารย์ทางการแพทย์ คือ ฮิปโปเครติส ที่กล่าวไว้ว่า การรักษาทุกวิธี จะต้องไม่ทำให้ร่างกายทรมาน (PRIMUM EST NIL NOCERE)
โดยเหตุนี้ นายแพทย์เอสเสนจึงหันมาใช้วิธีที่จะช่วยให้ร่างกายทั้งหมด หรือทั้งตัวเกิดความสบายขึ้น และเมื่อร่างกายเกิดสบายไปหมดแล้ว พลังในการรักษาตัวเอง ก็จะรับหน้าที่ไปจัดการกับโรคภัยไข้เจ็บเอง
พลังในการรักษาตัวเอง (SELF HEALING POWER) นี้ก็คือ IMMUNE SYSTEM หรือภูมิชีวิต ที่ผมเคยกล่าวถึงมาแล้วหลายต่อหลายครั้งนั่นเอง
นายแพทย์เอสเสน ได้กล่าวถึงการรักษาอาร์ไทรทิสไว้ว่า เขาได้ใช้การรักษาแบบแผนปัจจุบันมาแล้ว คือให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ ผสมกับสเตอรอยด์ แต่เขาได้พบว่า การรักษาเช่นนั้นให้ผลเพียงชั่วคราว เขาได้เปลี่ยนการรักษาดูหลายวิธี และผลสุดท้ายเขาได้ยืนยันว่า การรักษาทางชีวะ (BIOLOGICAL THERAPIES) นั้นได้ผลที่สุด
แนวทางการรักษาของเขาได้แก่ (1) การเปลี่ยนอาหาร (2) การล้างหรือขับท็อกซินออกจากตัว (3) การลดปริมาณอาหารหรือ ให้อาหารชนิดน้ำและของเหลว แทนอาหารปรกติ (4) ใช้ยากินและยาฉีดประเภทออร์แกนิค ซึ่งจะต่างกว่ายาผสมทางเคมีทั่วไป ยาประเภทออร์แกนิคเช่นนี้ จะเป็นยาประเภทวิตามินและแร่ธาตุ และ (5) การบำบัดด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การนวด การใช้วารีบำบัด และการกดจุด เป็นต้น
และในบางกรณี นายแพทย์เอสเสน ใช้โคลนผสมมาพอกตัว เพื่อช่วยในการบำบัด โคลนของนายแพทย์ เอสเสนเป็นโคลนสูตรพิเศษชื่อ LUVOS HEILERDE ซึ่งเป็นโคลนผสมด้วยแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม โซเดียมฟอสเฟส เป็นต้น
นายแพทย์เอสเสนกล่าวถึง คนไข้บางคนที่ต้องใช้โคลนช่วยด้วยว่า โคลนนี้ใช้พอกจะช่วยดูดท็อกซิน จากยาและสารต่างๆ ที่ตกค้างในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ใช้คอร์ติโซนมาก่อนเป็นเวลานาน หรือผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงงาน หรือสถานที่มีโลหะหนักอันตราย
แต่อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เอสเสนจะเน้นถึงความสำคัญของอาหารว่า ต้องใช้อาหารเป็นหลักใหญ่ที่สำคัญที่สุด ในการรักษา หลักการเรื่องอาหารนี้เป็น หลักการเหมือนกันหมดในสถาบัน และคลินิกทุกแห่งในยุโรป
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้อาหาร และการปฏิบัติตัวระหว่างการรักษา (สูตรนี้ใช้เวลา 3-40 วัน แล้วแต่สภาพของคนไข้)
07.00 น. รับประทานซุปผัก
07.10 น. นวดตัวและถูตัวโดยการใช้แปรงอ่อน
07.30 น. นวดด้วยน้ำมันร้อนและเย็น
08.00 น. ล้างท็อกซิน
09.00 น. น้ำผลไม้หรือน้ำผัก
10.00 น. วารีบำบัดและอบตัว
11.00 น. ดื่มชาสมุนไพร
12.00 น. นวดและดูดพิษแบบ CUPPING (สุญญากาศ)
13.00 น. ล้างท็อกซิน
13.20 น. ดื่มซุปผัก
15.30 น. อาบน้ำและวารีบำบัด
17.00 น. ดื่มน้ำผัก
19.00 น. ดื่มชาสมุนไพร
20.30 น. ล้างท็อกซิน
21.00 น. นอน
โปรดสังเกตว่า ทั้งหมดนี้เป็นวิธีรักษา และการใช้ชีวิตประจำวันระหว่างการรักษา เป้าหมายที่วางไว้จะเห็นว่า เน้นหนักตรงที่การกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย และการจัดระบบใหม่ให้แก่ร่างกาย โดยยึดหลักว่าให้ภูมิชีวิต หรือ IMMUNE SYSTEM รักษาตัวเอง
ท่านที่ต้องการรายละเอียด หรือต้องการปรึกษากับสถาบันต่างๆ จะจดหมายไปติดต่อได้ตามที่อยู่ข้างล่างนี้ (ติดต่อกับต่างประเทศนะครับ ไม่ใช่ติดต่อกับตัวผม)
(1)BRANDALS HAํํLSOHEM, PERSHAGEN, SWEDEN
(2)VITA NOVA MOํํLLE, SWEDEN
(3)BJORKAGARDEN HAํํLSOHEM, DJURAS,SWEDEN
(4)KURHEMMET, ALFTA, SWEDEN
(5)KIHOLMS HAํํLSOHEM, SODERTAํํLJE, SWEDEN.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|