
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
ครับคิดว่าคราวนี้น่าจะจบก่อนชั่วคราว ที่เขียนมายืดยาวเรื่องเกี่ยวกับไขข้อ ข้อต่อ กล้ามเนื้ออักเสบ รูมาตอยด์ พวกนี้นั้น ก็เพราะว่าคนไทยเป็นโรคเหล่านี้มากมายเหลือเกิน ยิ่งผู้สูงอายุของเราวิถีชีวิตในครอบครัว เปลี่ยนเป็นต่างคนต่างอยู่เช่นนี้ ผมว่าเรื่องปวดข้อต่อ กระดูก กล้ามเนื้อ เหล่านี้จะเป็นเรื่องสำคัญเหลือเกิน สำหรับผู้สูงอายุของเราด้วย
จึงได้พยายามเขียนหลายๆ ตอนเพื่อให้ท่านลองไปปฏิบัติดู เพื่อว่าจะช่วยตัวเองได้บ้างไงล่ะครับ
ก่อนจะจบตอนนี้ ขอนำเคสของคุณป้าจูดิส เอส อายุ 60 ปี ซึ่ง ดร.ไอโอล่าได้ไปสัมภาษณ์ทั้งประวัติส่วนตัว และประวัติการรักษาตัวมาแล้ว
คุณป้าจูดิสป่วยเป็นรูมาตอยด์ อาร์ไทรทิส มาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ตั้งแต่อายุได้ 50 ปี คุณป้าก็ตระเวนรักษาโรคอาร์ไทรทิส (ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ) ของเธอไปเรื่อยๆ เธอได้บอกกับ ดร.ไอโอล่าว่า เธอได้ รักษามาแล้วแทบทุกแบบ กินยาทุกชนิด รวมทั้งสเตอรอยด์ด้วย ยาแก้ปวดของเธอก็กินครั้งละเป็นกำๆ เคยฉีดทองเข้าไปในตัวเธอ ถ้าคิดปริมาณทองก็คงจะหลายเงินอยู่ รับการรักษาทางการแพทย์ปัจจุบัน ที่โรงพยาบาลรูมาตอยด์ที่ดีที่สุดของสวีเดน ที่เธอเคยเข้าๆ ออกๆ คือ NYASHAMN RHUMATIC HOSPITAL เป็นเวลาหลายปี แต่ละปีเธอต้องเข้าไปโรงพยาบาลแห่งนี้ ครั้งละไม่ต่ำกว่าสามเดือน และผลสุดท้ายโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งนี้ ก็จำหน่ายเธอออกจากโรงพยาบาล โดยแจ้งกับเธอว่า ไม่มีทางจะรักษาให้หายได้ (INCURABLE RHEUMATOID ARTHRITIS)
คุณป้าจึงมาที่สถานพยาบาล BJํOํRKGARDEN อันมีชื่อเสียงในด้านการรักษา และปฏิบัติตัวแบบธรรมชาติ เมื่อเธอมาถึงสถานพยาบาล เธออยู่ในสภาพพิการเดินไม่ได้ เข่าบวมทั้งสองข้าง แขนทั้งสองข้างกระดุกกระดิกไม่ได้ สภาพของรูมาตอยด์ปรากฏทั่วร่างกาย ที่เป็นมากที่สุดคือ ต้นคอ และไหล่ ปวดมากและยากแขนไม่ขึ้น
เธอพักอยู่ที่สถานพยาบาลสองเดือน และใช้การรักษาด้วยอาหารน้ำ และผัก 2 ครั้ง (งดอาหารหนัก) ครั้งแรก 7 วัน ครั้งที่สอง 10 วัน อาการดีขึ้นมาก และเธอขอกลับบ้านครั้งหนึ่ง
เมื่อกลับมาครั้งที่สอง เธอตั้งใจว่าจะอยู่สถานพยาบาลจนกว่าเธอจะหาย เพราะอาการของเธอดีขึ้นมากและมีกำลังใจมากขึ้น เธอตั้งใจจะอยู่เพียงสองเดือน แต่เมื่ออาการดีขึ้นมาก เดินเหินได้สะดวก เธอก็ตกลงที่จะอยู่ที่นั่นตลอดไป เธอของานทำที่สถานพยาบาล ช่วยทำครัว ทำความสะอาดบ้าน และทำงานอื่นทุกอย่างเท่าที่เธอจะช่วยได้
ในระยะที่เธอใช้อาหารน้ำและอาหารผักมากขึ้น รวมทั้งการใช้วารีบำบัด เฉพาะการใช้น้ำเย็นนั้น เธอถึงกับอาจหาญลงไปอาบน้ำ ในแม่น้ำในหน้าหนาว ซึ่งตอนนั้นน้ำในแม่น้ำเย็นเป็นน้ำแข็งแล้ว
เธออยู่ที่นั่นถึงสองปีทั้งๆ ที่เธอหายดีแล้ว แต่เธอก็รักชีวิตที่อยู่กลางป่าเขาลำเนาไพร และการช่วยกันทำงานแบบคนในครอบครัว
ในที่สุดเธอก็หายขาด แม้ว่าจะกลับไปบ้านแล้ว แต่เธอก็ยังติดต่อกับสถานพยาบาลอยู่เสมอ โรคปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ทั้งหมดนี้แปลว่าอะไร เคสของคุณป้าจูดิส ไม่ได้มีแต่เพียงเคสเดียว แต่ตามสถานพยาบาลอื่นๆ ซึ่งรักษาด้วยวิธีคล้ายๆ กันนี้ก็ได้รับความสำเร็จเช่นกัน เมื่อรวมคนไข้ทั้งหมดในระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา คนไข้ที่หายเป็นปรกตินับเป็นหมื่นๆ คน
นี่ไม่ใช่เรื่องฟลุกหรือแอกซิเดนท์ แต่ชี้ให้เห็นว่า
1. คนไข้มีทางเลือก และถ้าเข้าใจเรื่องของสุภาพทั่วไป และสุขภาพของตัวเองดีแล้ว คนไข้ก็มีโอกาสที่จะเลือกการรักษา ที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง
การรักษาซึ่งแปลกแยกออกไปนี้ไม่มีการหลอกลวง เพราะรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ดูแลคลินิกเหล่านี้อยู่อย่างใกล้ชิด และแพทย์ผู้รักษาก็เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งรู้จักการรักษาดีทั้งแผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก
2. พื้นฐานในการรักษาที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องอาหาร หลักการที่สำคัญที่สุดตั้งแต่สมัยเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว ที่ฮิบโปเครติส ปรมาจารย์ทางการแพทย์กล่าวไว้ว่า "เธอกินอะไรเข้าไปก็เป็นอย่างนั้น" (YOU ARE WHAT YOU EAT) นั่น ยังเป็นหลักการวิชาการที่ถูกต้องมาจนถึงบัดนี้ และจะเป็นหลักการความจริงต่อไปอีกตลอดกาล
ในกรณีของการเจ็บป่วย อาร์ไทรทิส หรือไขข้อ ข้อต่อ กล้ามเนื้ออักเสบ จนเกิดความพิการนี้ เรามองกันว่าการเจ็บป่วยเช่นนี้ ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นการเจ็บป่วยที่เกิดจากการบกพร่องของตัวเอง ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันด้วย
อย่างเรื่องของการกิน กลุ่มแพทย์ที่รักษาอาร์ไทรทิสจนหายด้วยวิธีธรรมชาติ เป็นว่าผู้ป่วยได้ปฏิบัติตัวผิดๆ มาตลอด เริ่มต้นด้วยการกินอาหารผิดธรรมชาติ เช่น พวกแป้งขาว และน้ำตาลขาวมากจนเกินไป เป็นต้น
การกินอาหารผิดธรรมชาตินี้ มีสาเหตุมาจากเรื่องของธุรกิจการค้า สินค้าที่ผลิตออกมาจำเป็นจะต้องมีปริมาณมากๆ และผลิตได้ในเวลาอันรวดเร็ว (MASS PRODUCTION)
เมื่อต้องผลิตในปริมาณที่มากแล้ว ยังต้องมีการแข่งขันระหว่างพ่อค้าด้วยกัน ที่จะต้องนำสินค้าของตนให้ดูสวยงามน่ากิน
แป้งขาว ข้าวขาว น้ำตาลขาว จึงเกิดขึ้นในตลาด และเมื่อประชาชนกินมากๆ บ่อยๆ จนเกิดความเคยชินและติดใจ และในไม่ช้าความเคยชินก็เลยกลายเป็นนิสัย และทำให้รู้สึกว่าอาหารที่ถูกต้องนั้น ต้องขัดขาวต้องหวานและมันโดยมีน้ำตาลเป็นตัวยืน
และนั่นคือที่มาของโรคหลายโรค ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่โรค แต่เป็นเพราะการกระทำซึ่งผิดธรรมชาติ หรือเป็นเพราะพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเราเปลี่ยนไป
โดยเหตุนี้ในสถานพยาบาลตามแนวธรรมชาติเหล่านี้ การรักษาจึงต้องเน้นในเรื่องการแก้อาหารให้ถูกต้องเสียก่อน
การอดอาหารหนัก และให้ใช้อาหารน้ำและน้ำคั้นจากผักและผลไม้นั้น ก็คือการล้างของเก่าออกให้หมด และการเพิ่มของใหม่ซึ่งเป็นของบริสุทธิ์ และเป็นธรรมชาติเข้าไปแทนนั่นเอง
การล้างของเก่าออกทำได้ 2 วิธี และทำไปพร้อมๆ กันได้ คือ ข้อแรก จะต้องไม่เพิ่มของสกปรกหรือสิ่งซึ่งจะเป็นพิษหรือท็อกซิน เข้าไปในร่างกายและระบบของเราเอง อาหารหนักซึ่งเป็นอาหารประจำวันแบบเก่าๆ ของเราต้องงดไว้ก่อน
ข้อที่สอง ก็คือ ต้องล้างของเก่าที่ตกค้างออกโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้ วิธีนี้ใช้วิธีล้างด้วยการทำดีท็อกซ์ ซึ่งได้เคยอธิบายไว้ในคอลัมน์นี้หลายครั้งแล้ว
และยังมีการล้างจากระบบอื่นๆ เช่นการออกกำลังกาย นั่นก็คือให้ท็อกซินออกจากร่างกาย ทางเหงื่อและการหายใจ
หรือด้วยการถูทำความสะอาดร่างกาย ด้วยการใช้แปลงอ่อนถูตามร่างกาย นั่นก็คือการช่วยหมุนเวียนโลหิตทั่วร่างกาย
หลังจากนั้นก็คือ การขับถ่ายทั่วทั้งตัวโดยการใช้การอบด้วยความร้อน สลับกับการใช้นำเย็น เป็นต้น
เมื่อล้างของเก่าออกแล้วก็ต้องเติมของใหม่เข้าไป ของใหม่นี้ว่าที่จริงก็คือของเก่าซึ่งใช้อยู่แล้ว สมัยพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยายของเรา
แต่ของใหม่รุ่นหลังนี้ จำเป็นต้องดัดแปลง ต้องใช้ความรู้ทางด้านนิวตริชั่น และการแพทย์เข้ามาประยุกต์ เรารู้กันอยู่แล้วว่า อาหารที่ถูกหลักตามธรรมชาตินั้น นอกจากจะช่วยบำรุงเลี้ยงดูร่างกายแล้ว ยังเป็นยาศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้แก่ร่างกายด้วย
ยาศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้อยู่ในรูปของเอนไซม์ของวิตามิน และแร่ธาตุ ซึ่งในยุคก่อนซ่อนตัวอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ
แต่สมัยนี้ เมื่อการเพาะปลูกและการผลิตต้องเปลี่ยนไปสมัยนิยม เป็นการผลิตเพื่อต้องการปริมาณมากกว่าคุณภาพ สภาพของดินที่ปลูกพืชเปลี่ยนไปจากเดิม ดินธรรมชาติถูกทำลาย ต้องใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช และยังขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายไปหมด
ดินก็เป็นดินวิทยาศาสตร์เต็มไปด้วยสารเคมี ผลิตภัณฑ์ที่เป็นพืชและผลไม้ ก็เป็นผลิตภัณฑ์วิทยาศาสตร์ และสารเคมีไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ
เราจึงต้องหาวิธีที่จะได้เอนไซม์ ได้วิตามิน แร่ธาตุ ที่สะอาดบริสุทธิ์และเข้มข้นขึ้นมา
เราจึงต้องค้นคว้าหาผัก ผลไม้ที่ปราศจากสารเคมี เราต้องทำเอนไซม์ที่สดบริสุทธิ์ ซึ่งเอนไซม์ตอนนี้จะมีลักษณะที่เข้มข้นกว่าปรกติ และก็มีลักษณะเป็นยาอยู่ในตัว
วิธีง่ายๆ ก็คือ การคั้นน้ำจากผัก (ซึ่งได้ศึกษาแล้วว่าเอนไซม์ชนิดใดบ้าง) และผลไม้สดๆ จะได้ความเข้มข้นที่บริสุทธิ์ และก็จะได้ยาธรรมชาติอย่างดีด้วย
คลินิกและสถานพยาบาลนับร้อยแห่งในยุโรปและอเมริกา จึงได้ใช้วิธีง่ายๆ เหล่านี้เป็นแม่บทในการรักษาคนไข้ และขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า กรรมวิธีในการรักษาแบบนี้ เป็นกรรมวิธีซึ่งวงการแพทย์ปัจจุบันยอมรับแล้วทั้งสิ้น
ขอยกตัวอย่าง นายแพทย์เฟรดเดอริค อี คาห์น จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และมิชิแกน และประจำอยู่ที่ รพ.เซ็นลุคซ์ โรสเวลท์ ในนิวยอร์ก
แพทย์ผู้นี้ และเพื่อนกลุ่มแพทย์อีกหลายคน แทบจะเลิกจากอาชีพแพทย์ปัจจุบัน หันมาเอาดีทางการศึกษาเรื่องอาหารจากพืชและผลไม้ จนกระทั่งกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเลื่องลือไปทั่วโลก เขาได้แต่งตำราว่าด้วยอาหารสดจากพืช ผลไม้หลายเล่ม ตัวเขาเองก็ปฏิบัติตัวเองอย่างเคร่งครัด ด้วยการกินน้ำผัก น้ำผลไม้เป็นประจำ และเขาประกาศว่าชีวิตของเขาสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งกายและใจ เพราะอาหารสดจากผักและผลไม้.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|