มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง


53 ปลาตายอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก

ข่าวไทยรัฐวันนี้ (30 ส.ค.) แจ้งว่า สองฝั่งแม่น้ำปิงปลาตายลอยเป็นแพนับล้านๆ ตัว ปลาตายในแม่น้ำลอยยาวร่วม 10 กม. ในภาพจะเห็นชาวบ้านจับปลาใส่กะละมัง เอาไปกินหรือเอาไปขายก็ไม่ทราบ ทั้งยืนทั้งเดินอยู่ริมแม่น้ำ

เรื่องปลาตายนั้น ว่ากันที่จริงแล้ว ปลาตายลอยเป็นแพแทบทุกวัน ตายกันจนไม่เป็นข่าวแปลกใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่เป็นข่าวขึ้นมา ก็มักจะเกี่ยวข้องกับโรงงานโน้นปล่อยน้ำเสีย โรงงานนี้ปล่อยสารพิษลงแม่น้ำ ไม่ใช่แต่ทำให้ปลาตายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ชาวบ้านในแถบนั้นเกิดเดือดร้อน เพราะน้ำเน่าน้ำเสีย ทำให้ชาวบ้านไม่มีน้ำกินน้ำใช้ นั่นแหละจึงได้เป็นข่าวขึ้นมา

แต่ปลาตายแล้วชาวบ้านจับเอาไปกินหรือเอาไปขาย และจะเกิดอะไรขึ้นกับคนกิน ไม่เป็นข่าวและไม่มีใครสนใจ

ตรงนี้แหละที่ผมสนใจมาก แปลกใจมาก และไม่เข้าใจวิธีคิดและพฤติกรรมของคนไทย ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเน่าๆ ของปลาตายกลางแม่น้ำแบบที่เชียงใหม่ คราวนี้มีอยู่ 3 ปัจจัย คือ 1.โรงงานที่ปล่อยน้ำเสีย 2. เจ้าหน้าที่โรงงานอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อม และ 3. ประชาชนที่จับปลาไปกินและเอาไปขาย

ในเรื่องโรงงานที่ปล่อยน้ำเสียและสารพิษนั้น ผมคิดว่าไม่พูดถึงจะดีกว่า เพราะถ้าพูดแล้วก็จะเกิดความเจ็บใจว่า เมืองไทยนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมเรื่องโรงงานถึงได้โยงไปถึงเรื่องคอรัปชั่น ติดสินบนเจ้าหน้าที่ เอาเงินยัดปากจนเจ้าหน้าที่พูดไม่ออก และโรงงานก็ทำตามใจตัวอย่างสบาย ทั้งๆ ที่การกระทำอย่างนั้น เป็นการฆ่าประชาชนและฆ่าตัวเองด้วย ทำไมเขาถึงทำได้ ทำไมเจ้าหน้าที่จึงเฉยเมย ปล่อยให้เรื่องเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้

แต่ในเรื่องของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันและปกป้องประชาชน อย่างในกรณีปลาตายคราวนี้ ผมคิดว่าน่าจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาได้

ขอยกตัวอย่างในต่างประเทศ ถ้ากรณีเกิดปลาตายอย่างนี้ ทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม จะเข้ามาปฏิบัติการทันที ขั้นแรกจะประกาศไม่ให้ประชาชน มาแตะต้องปลาเหล่านั้นโดยเด็ดขาด ขั้นที่สองจะเก็บและรวบรวมปลาเหล่านั้น ส่วนหนึ่งจะเอาไปสำรวจและวิจัยว่า ปลานั้นเกิดตายเพราะอะไร มีพิษมีภัยตกค้างอยู่ในปลานั้นมากน้อยเพียงไร และปลาส่วนที่เหลือทั้งหมด จะถูกเอาไปทำลายหมดสิ้น ไม่ให้ประชาชนจับไปกินแม้แต่ตัวเดียว

เจ้าหน้าที่ของไทยเราเคยคิดอย่างนั้น และทำอย่างนั้นบ้างหรือเปล่าครับ

ปัจจัยที่ 3 คือประชาชนที่จับปลาไปขายและไปกินนั้น มีเรื่องที่จะพูดกันมาก ถ้าเป็นในต่างประเทศอย่างเช่น ในยุโรป อเมริกานั้น แน่นอนว่าประชาชนจะไม่ไปยุ่งกับปลาเหล่านั้นอยู่แล้ว ปรกติถ้าปลาตายของมันเอง ก็ไม่มีใครกล้าไปแตะต้อง และไม่อยากจะแตะต้อง เพราะฉะนั้น เจ้าหน้าที่ไม่ต้องเปลืองแรงเปลืองเวลา ที่จะต้องไปคอยคุมว่า ใครจะแอบมาเอาปลาตายเหล่านั้นไปกิน

แต่ของไทยเราไม่อย่างนั้น เห็นปลาตายลอยเป็นแพเมื่อไหร่ กลับจะดีอกดีใจว่าได้กินปลาฟรี ท่านเหล่านั้นก็รู้ว่าปลามันตาย เพราะโดนสารพิษจากโรงงาน แต่จะเป็นด้วยไม่เข้าใจว่า สารพิษนั้นมีความร้ายแรงอย่างไร หรือจะเป็นด้วยความมักง่ายแบบไทยๆ ก็ไม่ทราบ ก็ยังเอาปลาไปกินกันอย่างหน้าเฉยตาเฉย ที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ถ้าจับได้มากๆ ก็เอาไปขายตลาด ผู้บริโภคก็ซื้อไปกินเพราะราคาถูก ก็เลยต้องรับบาปกินสารพิษเข้าไป โดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเวรของใครกันแน่

ที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ บางครั้งพ่อค้าหรือแม่ค้าปลา ก็ทำตัวเป็นผู้สร้างสารพิษใส่ในปลานั้น โดยจงใจเสียเอง เมื่อสมัยที่เศรษฐกิจกำลังบูม ที่ดินทำเลดีๆ ขายกันเป็นเทน้ำเทท่า แถวบ้านผมที่ลาดพร้าว มีบ่อปลาดีๆ เยอะแยะ บ่อปลานั้นก็อยู่ในทำเลที่ดินดีเสียด้วย วันดีคืนดีก็มีนายทุนมาซื้อบ่อปลานั้นไป เจ้าของบ่อปลาก่อนจะโอนที่ดิน ก็จะขายปลาทั้งหมดในบ่อปลาราคาถูกๆ วิธีขายปลาก็คือใส่โล่ติ๊น (ยาเบื่อปลา) ในบ่อปลาเป็นกระสอบๆ รุ่งขึ้นปลาลอยตายอืดเต็มบ่อ เจ้าของบ่อประกาศขายปลา ชาวบ้านก็หอบถังหอบกะละมัง จับปลาเหมือนอย่างรูปในไทยรัฐนี้ไม่มีผิด

นั่นก็เป็นวิธีจับปลาและกินปลาแบบมักง่ายแบบไทยๆ และวิธีนี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว เมื่อสมัยผมทำงานอยู่สหประชาชาติในเมืองไทย มีโปรเจกต์เกี่ยวกับการสร้างเขื่อนน้ำพอง พอสร้างเขื่อนเสร็จอ่างเก็บน้ำหน้าเขื่อนเป็นทะเลสาบ มีปลามากมายมหาศาล ชาวบ้านมาตั้งหมู่บ้านตามขอบทะเลสาบ นับเป็นหมื่นคน โอ่งไหตามริมขอบทะเลสาบเต็มไปหมด เอาไว้ใส่ปลาที่จับได้เพื่อทำปลาร้า ปลาเจ่า วิธีทำก็ทำกันอย่างลวกๆ ทำความสะอาดปลาเพียงเล็กน้อย หรือไม่ทำเลย แล้วโยนใส่โอ่ง ฝาโอ่งฝากะละมังก็ไม่ต้องปิด ปล่อยให้แมลงวันตอมหึ่ง หนอนยั้วเยี้ยตามโอ่งปลาร้า ปลาเจ่า แต่ชาวบ้านและคนกินรู้สึกจะไม่เดือดร้อน เพราะเขาถือว่าปลาร้าต้องมีหนอนจึงจะอร่อย

แต่เมื่อมีเจ้าหน้าที่บางท่าน มาเตือนเรื่องความสะอาด เตือนแรกๆ ก็ไม่มีการปรับปรุงอะไร แต่พอพูดหลายๆ ครั้งเข้า ชาวบ้านทนไม่ได้ก็ใช้ วิธีง่ายๆ คือใช้ปลาชุบน้ำผสมดีดีทีใส่โอ่ง แมลงวันไม่มี หนอนไม่มี แต่สารดีดีทีและยาฆ่าแมลงอยู่ในนั้นจม

หลายประเทศห้ามผลิตดีดีที และนำดีดีทีเข้ามาขายในประเทศ ไม่ทราบว่าของเราห้ามหรือยัง หรือว่าห้ามแล้ว ไม่ทราบว่ามีการตรวจตรากันอย่างเข้มงวดหรือเปล่า

นี่ก็เป็นเรื่องการใส่สารพิษกันอย่างมักง่าย หรือจงใจโดยตรง และเดี๋ยวนี้ปลาทะเล อาหารทะเล ก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นเรื่องสารพิษ โดยเฉพาะฟอร์มาลิน ยาดองศพ ซึ่งแทบทุกครั้งใส่กันมาตั้งแต่ต้นตอ คือจากเรือประมงโดยตรง เมื่อมาถึงแม่ค้าย่อยก็ยังใส่กันอีก เพราะเขากลัวว่าปลาจะสีซีดเกินไป ลองสังเกตดูเถอะครับว่า แม่ค้าปลีกขายปลาเขาจะมีถังอยู่อย่างน้อยสองถัง ถังแรกใส่ปลา ถังที่สองใส่ฟอร์มาลิน ซึ่งถ้าดูเผินๆ ก็จะนึกว่าเป็นถังน้ำเปล่า เวลาเขาจะเอาปลามาวางบนแผง เขาก็ต้องเอาปลาแช่ฟอร์มาลินเสียก่อน แล้วจึงจะเอาวางบนถาดหรือแผงปลา

คนซื้อทั้งๆ ที่รู้ก็ยังซื้อกันอยู่ นี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ เขาอาจจะนึกง่ายๆ ว่ากินไปครั้งสองครั้งนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป แต่คุณรู้หรือเปล่าผลจากสารพิษและโลหะหนัก ที่ตกค้างในอาหาร น้ำและอากาศนั้น ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย จากเอกสารในวงการแพทย์อเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประสบการณ์ของผมเอง ที่ได้พบกับกรณีของคนไข้ต่างๆ นั้น ผลร้ายจากการเจ็บป่วยไม่ใช่น้อยๆ นะครับ มีทั้งระยะสั้น และระยะยาว ระยะสั้นก็อย่างเช่น ปวดหัว ตัวร้อน คลื่นไส้อาเจียน ปวดตามข้อ ตามตัว เหมือนร่างกายจะหักออกเป็นท่อนๆ

ที่ในระยะยาวก็ถึงร่างกายบิดเบี้ยวไปหมด ทั้งเจ็บปวดและร่างกายพิกลพิการ เป็นอัมพาต และบางรายก็ถึงกับเป็นมะเร็ง

จำเหตุการณ์ร้ายแรงของญี่ปุ่น ที่เมืองมินามาตะได้ไหมครับ ชาวบ้านแถวมินามาตะกินอาหารทะเล กินปลาและกินสาหร่าย ซึ่งขึ้นอยู่แถวอ่าวในทะเลมินามาตะ แถบนั้นมีโรงงานซึ่งปล่อยปรอทและสารพิษลงทะเล ชาวบ้านกินปลาและอาหารทะเลจากมินามาตะ ก็เกิดป่วยร้ายแรง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ก็แท้งลูก คนอื่นๆ ก็จะเริ่มอาการชาตามแขนขาและตามตัว ต่อจากนั้นเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ ไม่มีความรู้สึก เกิดความเจ็บปวด จนต้องตะโกน ITAI-ITAI ออกมา ชาวบ้านเลยเรียกว่าโรค อิตาย-อิตาย

นั่นเป็นผลจากการกินปลา และอาหารทะเลที่มีสารพิษ แต่ญี่ปุ่นเขาดีนะครับ พอจับสาเหตุได้ คนก็พิถีพิถันในเรื่องสารพิษ กฎหมายออกมาคุมอย่างเข้มงวด เจ้าหน้าที่ก็ออกปฏิบัติการเอาจริงเอาจัง ไม่เห็นแก่หน้าของใคร ความร่วมมือของทุกฝ่าย ทำให้โรคจากมลพิษและสารพิษ เกือบจะหมดไปจากญี่ปุ่น

ของไทยเราเล่าครับ?

สาทิส อินทรกำแหง

อ่านต่อตอนที่54 วันพุธที่ 15 กันยายน 2542

[กลับไปสารบัญชีวจิต]   [BACK TO LISTS - FOODS]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600