มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง


54 ตัวเรานั่นแหละคือหมอ เป็นตะคริวบ่อย ๆ ลองใช้วิตามินช่วย

เชื่อไหมครับว่า หมอที่เก่งที่สุดในโลกก็คือตัวคุณเอง ไม่มีใครในโลกนี้จะรู้จักตัวคุณเองดียิ่งไปกว่าตัวคุณเอง คุณไม่ใช่หมอที่ศึกษาเล่าเรียนมาในเรื่องการแพทย์ แต่คุณก็จะรู้ว่าคุณป่วยหรือคุณจะป่วยได้เป็นอย่างดีถ้าคุณหัดศึกษาเอาใจใส่ตัวคุณเองและหัดสังเกตตัวคุณเองมาตั้งแต่ต้น

นายแพทย์เอ็ม เอลสิส และ ดร.เบ็ตตี ลี มอเรลส์ แห่ง INTERNATIONAL COLLEGE OF APPLIED NUTRITION แห่งแคลิฟอร์เนีย และ PRTHOMOLECULAR MEDICAL SOCIETY แห่งแคลีฟอร์เนีย ได้กล่าวถึงการสังเกตตัวเองไว้ว่า ถ้าใครก็ตามได้ศึกษาตัวเองอย่างจริงจัง หัดสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติของตนเองอย่างใกล้ชิด เขาจะรู้ได้ถึงความเจ็บป่วยและสามารถแก้ความเจ็บป่วยของตนเองได้

จอห์น เอ็ม เอลลิส ได้ยกตัวอย่างของเรื่องอาหารกับความเจ็บป่วยไว้ว่า เรากินอาหารมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย เราย่อมรู้ว่าที่เป็นตัวเป็นตนมาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะอาหาร ถ้าเราหัดสังเกตเรื่องอาหารเราก็จะรู้ว่า อาหารมีทั้งคุณและโทษ ไม่ใช่ทุกอย่างที่เรากินเข้าไปได้นั้นจะเป็นประโยชน์ทั้งหมด ตรงกันข้าม อาหารบางอย่างกลับให้โทษอย่างมหันต์ กันเข้าไปถึงแก่ชีวิตได้

ดร.เอิล เม็นเดลส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารและ ORTHOMOLECULAR ได้กล่าวถึงการสังเกตตัวเองและการเจ็บป่วยทำนองเดียวกับ นายแพทย์จอห์น เอลลิส ดร.เม็นเดลส์ พูดถึงวิตามินและแร่ธาตุว่า ที่เรามาแบ่งเป็นวิชาการด้าน ORTHOMOLECULAR และวิตามินกับแร่ธาตุนั้น ความจริงไม่จำเป็น เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารทั้งสิ้น วิตามินและและแร่ธาตุก็คืออาหารทั้งสิ้น แต่เราไม่รู้เมื่อตอนที่เป็นอาหาร เพราะส่วนต่าง ๆ ของอาหารนั้นรวมกันอยู่ ต่อเมื่อกินเข้าไปแล้ว มันจึงจะแยกออกไปเป็นตัว ๆ ว่า สิ่งนี้ไปเป็นพลังงาน สิ่งนี้ไปเป็นวิตามิน และแร่ธาตุ

เมื่ออาหารแยกออกเป็นส่วนต่าง ๆ แล้ว เราก็จะเห็นว่าบางส่วน เช่น วิตามินและแร่ธาตุนั้นมีคุณภาพเป็นยาอยู่ในตัวของมันเอง และเมื่อเราสังเกตต่อไป เราก็จะเห็นว่าคุณลักษณะในการเป็นยาของอาหารนั้นไม่เหมือนกัน

อย่างเช่นเวลาเราเป็นหวัด มีอาการไอ หรือเจ็บคอ เราใช้ของเปรี้ยว ๆ เช่น มะนาว มะขามเปียกล้างคอ หรืออม ก็พอจะบรรเทาอาการเจ็บคอได้บ้าง หรือเวลาเราท้องผูก เราก็ใช้อาหารหรือผลไม้เปรี้ยว ๆ ก็ย่อมจะช่วยเป็นยาระบายธรรมชาติ บรรเทาอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี

อาหารผักหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มักจะมีวิตามินซีอยู่มาก นี่ก็เป็นบันไดขั้นต้นที่เราจะเรียนรู้เรื่องวิตามินตามประสาชาวบ้าน เมื่อเราศึกษาต่อไปอีก เราก็จะพบว่าผลไม้บางอย่างที่ถึงแม้จะไม่เปรี้ยวจี๊ด แต่อมหวานอมเปรี้ยวก็มีวิตามินซีเช่นกัน อย่างเช่น ลูกกีวี ซึ่งรูปร่างเหมือนละมุด ซึ่งมีขนสั้น ๆ ตามเปลือก หรือเสาวรส ซึ่งเราเคยนิยมปลูกกันอยู่พักหนึ่ง เป็นต้น

แต่จุดหมายซึ่ง ดร.เม็นเดลส์ ต้องการจะเน้นให้เห็นก็คือ

เราสามารถจะรู้จักตัวเอราเองเป็นอย่างดี จากการที่เราสังเกตตัวเอง สังเกตสิ่งรอบตัวเราอย่างเอาจริงเอาจัง นั่นก็คือการฝึกตัวเองให้เป็นหมอประจำตัวเราเอง

ยังมีวิธีทดสอบตัวเองง่าย ๆ ซึ่งนายแพทย์เอลลิสได้สอนไว้ เป็นต้นว่า ถ้าคุณเป็นตะคริวบ่อย ๆ ให้สำรวจเรื่องอาหารเสียก่อนว่า คุณกินถูกต้องแล้วหรือยัง การขาดวิตามิน โดยเฉพาะวิตามิน B6 จะเป็นสาเหตุหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้คุณเป็นตะคริว

นอกจากจะเป็นตะคริวบ่อย ๆ แล้ว ให้ลองสังเกตดูด้วยว่า ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าของคุณมีอาการชาบ่อย ๆ ประกอบกับเป็นตะคริวหรือไม่

วิธีเช็กง่าย ๆ อย่างหนึ่งว่า คุณขาดวิตามิน B6 หรือ PYRIDOXINE หรือไม่ หมอเอลลิสบอกว่า ให้ยื่นมือทั้งสองข้างออกไป หงายฝ่ามือขึ้นและงอนิ้วมือทั้งหมดให้ปลายนิ้วทั้งหมดให้ปลายนิ้วจดฝ่ามือ (ไม่ต้องงอหัวแม่มือ งอเพียงสี่นิ้วก็พอ) แล้วสังเกตดูว่า เวลาคุณงอนิ้วมือ งอได้สะดวกหรือไม่ เวลางอเจ็บข้อนิ้วที่งอหรือไม่และที่สำคัญก็คือ ปลายนิ้วแตะฝ่ามือได้หรือไม่

ถ้าเจ็บ จะเจ็บมากหรือน้อยก็ตามที คุณคงจะขาดวิตามิน B6 (PYRIDOXINE) หรือถ้ายิ่งคุณแตะนิ้วมือกับฝ่ามือไม่ได้เลย แสดงว่าขาดวิตามิน B6 แน่นอน

นี่เป็นการเช็กง่าย ๆ ตามแบบของหมอเอลลิส และจากประสบการณ์และความชำนาญของหมอเอลลิส ปรากฏว่าการเช็กง่าย ๆ แบบนี้มักจะไม่มีการผิดพลาด

เราลองมาดูจากตัวอย่างวิตามิน B6 ตามแนวของ ดร.เม็นเดลส์ และหมอเอลลิสดู แล้วเราจะเข้าใจถึงวิธีสังเกตตัวเองได้ดีขึ้น

วิตามิน B6 เป็นวิตามินประเภทละลายได้ในน้ำ (WATER SOLUBLE) ดังนั้น เมื่อเรากินหรือได้จากอาหารหรือแม้แต่จะกินชนิดที่สกัดเป็นเม็ด ๆ มันจะอยู่ในตัวเราได้ประเดี๋ยวเดียว และมันก็จะออกมากับปัสสาวะเป็นสีเหลือง ส่วนหนึ่งที่ทำให้ปัสสาวะเป็นสีเหลืองก็คือ วิตามิน B6 นี่เอง หมอเอลลิสว่าไว้อย่างนั้น

ความสำคัญประการหนึ่งของ B6 ก็คือ คนที่ชอบกินอาหารไม่เลือก โดยเฉพาะพวกหวาน ๆ มัน ๆ นั้น ถ้าเราไม่มี B6 เราก็จะอ้วนเอา ๆ จนเหมืนกับลูกโป่งพองตัวจนระเบิดได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ B6 มีหน้าที่เป็นตัวช่วยย่อยโปรตีนและไขมัน ถ้าหากไม่มีตัวนี้ช่วย ทั้งไขมันและโปรตีนก็จะสะสมอยู่ในตัวเราจนกระทั่งอ้วน อืดยิ่งกว่าหมูตอนเสียอีก

นอกจากนั้น B6 ยังเป็นตัวช่วยในการเปลี่ยนโปรตีนให้เป็นวิตามิน B3 ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการขยายหลอดเลือด

ทั้งยังช่วยในด้านระบบประสาทและผิวหนังให้ดูเปล่งปลั่งเต่งตึงอีก ซึ่งเท่ากับชะลอความแก่โดยตรง และช่วยในด้านคลื่นไส้ อาเจียน โดยเฉพาะคุณแม่ที่เพิ่งตั้งท้อง และเอิ๊กอ๊ากบ่อย ๆ ตอนเช้า ยาแก้อาเจียนขนาดที่ดีก็มักจะมี B6 ผสมอยู่ด้วย

หรือถ้ามีอาการคอแห้ง ปากแห้ง หรือปัสสาวะกะปริดกะปรอย ซึ่งแสดงว่า ร่างกายขาดน้ำ นั่นก็เป็นหน้าที่ของ B6 อีกเหมือนกัน

และก็อย่างที่ผมพูดไว้ในตอนต้น ถ้าหากว่าเป็นตะคริวบ่อย ๆ ก็อาจจะเกี่ยวกับการขาด B6 และยิ่งทดสอบด้วยวิธีของหมอเอลลิสแล้วก็แสดงว่าขาด B6 แน่ๆ

วิธีแก้ไขไม่ต้องวิ่งแจ้นไปแย่งซื้อวิตามิน B6 ซึ่งตามร้านต่าง ๆ ขายกันราคาแพงเหลือเกิน ไม่ต้องเห่อตามเขาก็ได้ เพราะ ดร.เม็นเดลส์ บอกไว้แล้วว่า วิตามิน B6 มีอยู่ในอาหารมากมาย อย่างเช่น พวกข้าวต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้ขัดขาว รำข้าว จมูกข้าว แคนตาลูป กะหล่ำปลี คะน้า โมลาส ยีส ผักใบเขียวจัด และในเนื้อสัตว์ (ซึ่งถ้าใช้สูตรชีวิจิต เราจะใช้เพียงเนื้อปลา อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้นคือ)

เรื่องเนื้อสัตว์นี้อาจจะเป็นปัญหาสำหรับผู้ที่กินมังสวิรัติอยู่บ้าง เพราะ B6 เป็นตัวช่วยสร้างเลือดและ ANTIBODY ซึ่งเป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งของภูมิชีวจิต หรือ IMMUNE SYSTEM

เราเคยเจาะเลือดของผู้ที่กินมังสวิรัติ หรือแม้แต่ผู้ที่กินชีวจิตอย่างเคร่งครัดหลายคน ปรากฏว่าตัวเลขที่เกี่ยวกับเลือดบางตัว เช่น DEMATOCRIT หรือเฮโมโกลบิน และตัวอื่น ๆ ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งตัวเลขนี้ว่ากันที่จริงไม่น่ามีปัญหา ถ้าหากว่าผู้ถูกตรวจเลือดนั้นแข็งแรงและสดใสทุกอย่าง

และเมื่อถามผู้กินมังสวิรัติและชีวจิตอย่างเคร่งครัด เขาก็จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาไม่สนใจ เพราะเขารู้สึกว่าร่างกายไม่มีอะไรบกพร่อง แข็งแรงสดชื่น และมีชีวิตชีวาสมบูรณ์ทุกอย่าง

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็อยากจะบอกว่าปล่อยไว้ให้เป็นวิจารณญาณของเจ้าตัวแต่ละคนจะดีกว่าความเชื่อและสงสารสัตว์ที่จะถูกเบียดเบียนเอามาใช้เป็นอาหารนั้น สำหรับบางคนเป็นทั้งคุณธรรมและเป็นพลังทางใจเป็นอย่างดี ในเมื่อร่างกายแข็งแรงและจิตใจก็แจ่มใสเป็นสุขเช่นนี้ เราจะไปทำให้ชีวิตของท่านเหล่านี้ยุ่งเหยิงไปทำไม อยู่อย่างมีความสุขนั่นแหละดีที่สุด

สนใจฟังสัมมนาเรื่อง "เดี้ยงก็ต้องฟังไม่เดี้ยงก็ต้องฟัง" โดยอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง และนักวิจารณ์หลายท่าน ณ โรงแรมอิมพีเรียลควีนปาร์ค (สุขุมวิท 22) วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 42 เวลา 08.45-16.00 น. สนมจรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 434-0286 ต่อ 4500 และ 225-3274-6 (คุณจินตนา)

สาทิส อินทรกำแหง

อ่านต่อตอนที่55 วันพุธที่ 22 กันยายน 2542

[กลับไปสารบัญชีวจิต]   [BACK TO LISTS - FOODS]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600