
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
นอกจากน้ำตาลเทียม ที่ผมได้พูดถึงเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่คู่กัน ซึ่งแพทย์หัวการค้าชอบสั่งให้คนไข้ ก็คือยาลดความอ้วน
ผมขออนุญาตพูดเรื่องความอ้วนต่อ เพราะปัจจุบันโรคความอ้วนและโรคกลัวความอ้วน กำลังระบาดรุนแรงในหมู่สังคมสมัยใหม่
โรคความอ้วนแบ่งออกเปนสองระดับ ระดับแรก ถ้าเพียงแต่เริ่มตุ้ยนุ้ย หุ่นออกจะท้วมๆ ก็คงจะเข้าประเภทน้ำหนักเกิน (Overweight) แต่ถ้าเกินตุ้ยนุ้ย แขนกาง ขากาง น้ำหนัก 80 กก. หรือเกินกว่านั้น ก็คงเข้าประเภทอ้วนจนยอมแพ้ (Obesity)
ทำไมถึงเรียกอ้วนจนยอมแพ้ เพราะท่านที่อ้วนขนาดนี้ (แขนโต ขาโต ท้องโต เวลาเดินแขนหุบไม่ลง ขากางเต็มที่) มักจะไม่ยอมทำอะไรแล้ว ปล่อยตัวปล่อยใจเต็มที่ มันจะอ้วนอย่างไรก็ช่างมัน ฉันขอกินตามใจอย่างเดียว
อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าห่วงมากที่สุดก็คือ พวกโรคกลัวอ้วน กลุ่มกลัวอ้วนนี่แหละครับที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะจะเหมือนกับคนหลงทางแล้วหาที่พึ่งไม่ได้ และผลสุดท้ายก็เลยกลายเป็นเหยื่อของพวกเแพทย์การค้า ที่หากินกับเรื่องน้ำหนักของคุณอยู่ถ่ายเดียว
ที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างหนึ่งก็คือ กลุ่มที่กลัวอ้วนเป็นกลุ่มที่การศึกษาดี มีหน้าตาอยู่ในสังคม ความเชื่อความกลัวของท่านเหล่านี้ จึงกลายเป็นตัวนำในเรื่องความกลัว และความกังวลของคนทั่วไปด้วย
ความคิดเช่นนี้เป็นการตามอย่างฝรั่ง ซึ่งยึดเอาเรื่องความสวยงามของรูปร่าง เป็นตัวแทนของความมีหน้ามีตาในสังคม เป็นสำคัญ และเป็นแนวความคิด ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศและทั่วสังคมไทย แม้แต่ตามบ้านนอก ซึ่งบ้านไหนมีไฟฟ้า มีทีวี ความคิดเรื่องกลัวความอ้วนนี้ ก็ยังแผ่ไปถึงไม่มีเว้น
ถ้าอยากจะสำรวจด้วยวิธีง่ายๆ ว่า คุณเป็นโรคกลัวความอ้วนหรือเปล่า ก็ลองดูห้องน้ำของคุณหรือในบ้านของคุณซิว่า มีเครื่องชั่งน้ำหนักตั้งอยู่บ้างหรือเปล่า
สมัยก่อน 40-50 ปีมานี้ เราไม่รู้จักเรื่องเครื่องชั่งน้ำหนักเหล่านี้เลย แต่พอโรคกลัวความอ้วน หรือว่าที่จริงกลัวว่าร่างกายจะดูไม่สวยงาม เกิดกระจายไปในหมู่คนไทย ชีวิตความเป็นอยู่ของเราก็เปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ
บริษัททำเครื่องชั่งน้ำหนักประจำบ้านก็ร่ำรวย พร้อมกันนั้น พวกนักการค้าที่หากินกับความอ้วน ก็ร่ำรวยกันไปตามๆ กัน โดยเฉพาะนักการค้า ที่มีสิทธิสั่งยาลดความอ้วนให้แก่คนไข้ได้
ยาลดความอ้วนเหล่านี้ กำลังเป็นที่นิยมขายดิบขายดี บริษัทยาหลายบริษัทปรับปรุงตำรับยา ออกมาแข่งขันกันมากมาย ความสำคัญของยาเหล่านี้ ก็คือทำให้เบื่ออาหาร ทำให้ต่อมต่างๆ ทำงานอย่างไม่มีวันพัก โดยเฉพาะต่อมไทรอยด์ จะทำงานเผาผลาญพลังงานออกมามากเป็นพิเศษ
คนที่อยากจะลดความอ้วนด้วยวิธีง่ายๆ นิยมใช้ยาพวกนี้ นักการค้าบางคนที่หากินกับความอ้วน ก็ชอบสั่งยาพวกนี้ให้คนไข้ เพราะไม่ต้องลงทุนลงแรง ไม่ต้องใช้ความสามารถ ใช้ความรู้อะไร คนไข้ต้องการรูปทรงที่สวยงามโดยทางลัด ไม่ต้องลงทุน พร้อมที่จะจ่ายเงินโดยไม่เสียดมเสียดาย นักค้าขายความอ้วนเหล่านี้ ก็ฉวยโอกาสเงินโอกาสทองเหล่านี้อย่างง่ายดาย เมื่อมีดีมานด์ก็ต้องมีซัพพลาย ใครเป็นผู้เคราะห์ร้าย ใครเป็นนักฉวยโอกาส มองแวบเดียว ไม่ต้องพินิจพิจารณาก็น่าจะมองออก
แต่มีใครหยุดคิดสักนิดหนึ่งไหมครับว่า ผลร้ายของมันนั้นกว้างขวางลึกซึ้งเพียงไร ตัวยาพื้นฐานของยาลดความอ้วนเหล่านี้ คือ แอมเฟตามีน ซึ่งเป็นตัวพื้นฐานประเภทเดียวกับยาบ้า ถึงแม้จำนวนโดสของยาลดความอ้วนเหล่านี้ จะไม่มากมายถึงกับเป็นอันตรายเหมือนยาบ้า แต่เมื่อกินไประยะยาว ก็ย่อมจะมีผลตกค้างอย่างมากมายแน่นอน
บริษัทยาหลายแห่ง ที่ไม่ได้ใช้แอมเฟตามีนโดยตรง แต่ได้ดัดแปลงยาให้ฟังดูแปลกออกไป แต่มันก็ยังเป็นพื้นฐานของแอมเฟตามีน อย่างเช่น ยายี่ห้อดังๆ หลายยี่ห้อได้ดัดแปลงออกเป็น SULFATE OF DEXTROAMPHETAMINE หรือ SULFATE OF AMPHETAMINE นั่นก็ยังเป็นตัวยาแอมเฟตามีน หรือบางส่วนของยาบ้าอยู่ดี
หรือบางรายอาจจะใช้ชื่อทางเคมีให้ดูขลังขึ้น แต่ก็จะหนีแอมเฟตามีนไปไม่พ้น อย่างเช่น ใช้ชื่อว่า DEXFENFLURAMINE หรือ ETHYLAMPHETAMINE หรือ DIETHYPROPION เหล่านี้ก็คือยาที่มีตัวแอมเฟตามีน เป็นตัวพื้นฐานอยู่ทั้งสิ้น
ชื่อที่ผมยกตัวอย่างมานี้ คือ ชื่อตัวยานะครับ ไม่ใช้ชื่อยี่ห้อยา บริษัทขายยาลดความอ้วน ย่อมจะใช้ชื่อยี่ห้อเฉพาะของตัว ซึ่งจะเป็นชื่อต่างกัน แต่ตัวยานั้นเป็นตัวยาเดียวกันหมด (GENERIC NAME)
และก็แน่นอนครับ ผมย่อมไม่สามารถระบุยี่ห้อของยาเหล่านี้ได้ เพราะหลายท่านคงทราบอยู่แล้ว มีช่องโหว่อยู่มากมายทางกฎหมาย ซึ่งนักค้าขายเหล่านี้ จะเอามาใช้เล่นงานผมได้ แต่ก่อนที่คุณทั้งหลายจะตัดสินใจใช้ยาเหล่านี้ ก็ขอให้ถามนักการค้าที่เขาสั่งยาให้คุณว่า มีตัวยาอะไรอยู่ในนั้น ถ้าเขาไม่ยอมบอก คุณก็อาจจะขอฉลากยามาดู ในฉลากนั้นเขาจะต้องระบุว่ามีตัวยาอะไร ถ้าหากมีตัวยาดังที่ผมระบุมานี้ ก็ขอให้ทราบไว้เถิดว่า ยาของคุณนี้มีแอมเฟตามีน หรือส่วนหนึ่งของยาบ้าผสมอยู่ด้วย
และถึงแม้ว่าโดสของยาเหล่านี้ จะไม่รุนแรงถึงยาบ้า แต่ก็ได้มีการศึกษากันมาตั้งนานแล้วว่า ยาเหล่านี้มีอันตรายในระยะยาวมากเพียงใด นายแพทย์แอลไอเซนเบิร์ก ได้รายงานไว้ในวารสารการแพทย์ PEDIATRICS เล่มที่ 19 ปี 1972 ว่ายาลดความอ้วนเหล่านี้ เมื่อแม่กินเข้าไป จะเป็นอันตรายถึงลูกในท้องด้วย นายแพทย์ อี.จี เอดิสัน และ บี.ลูคัส และ ซี.เจ.เซลส์ ได้รายงานไว้ใน ANNALS OF INTERNAL MEDICINE เล่มที่ 74 (1971) ไว้ถึงโทษของยาลดความอ้วน ที่มีแอมเฟตามีนอยู่นี้ไว้อย่างมากมาย
โทษของยาเหล่านี้มีตั้งแต่ความดันโลหิตสูง ความผิดปรกติของระบบเลือดและหัวใจ ต่อมไทรอยด์ก็จะทำงานผิดปรกติ เบาหวาน เส้นเลือดอุดตัน โรคตา โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก โรคเกี่ยวกับไต โรคชัก
ที่สำคัญที่สุดก็คือโรคทางจิต ทำให้การทำงานของสมอง และระบบประสาทฟั่นเฟือนผิดปรกติไปได้ และแน่นอน นี่คืออาการที่เกิดจากยาบ้าโดยตรง
โรคต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้น แล้วก็ถึงตายได้ทั้งสิ้น
อันที่จริง อันตรายที่เกิดจากการกินยาลดความอ้วนนั้น มีอีกมากมาย ซึ่งถ้าเขียนกันโดยละเอียด ก็จะกินเวลายาวหลายสัปดาห์ แต่เจตนาของผมที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการจะมาปาฐกถาเรื่องยา แต่มีความตั้งใจจะพูดถึงเรื่องความอ้วนนี้ 2 ประการคือ
1. เรื่องความอ้วนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร ไม่จำเป็นที่จะไปมองเรื่องความอ้วน แต่ในเรื่องความสวยงามแ ละหน้าตาในสังคม จุดสำคัญคือ สุขภาพของคุณและความสบายใจของคุณ ถ้าอ้วนแล้วคุณแข็งแรง สุขภาพดีและมีความสบายใจ จะไปห่วงอะไรหนักหนากับความอ้วน
อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะแนะนำวิธีดูแลตัวเองให้สุขภาพสมบูรณ์ (และรูปร่างก็จะดูดีตามไปด้วย) ด้วยวิธีง่ายๆ ขอแต่ให้คุณมีระเบียบวินัยของตัวเอง เสียหน่อยเท่านั้น กรุณารอคราวหน้านะครับ
2. เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ มีพวกจอมปลอม มาหากินเรื่องลดความอ้วนมากมายเหลือเกิน และคนไทยก็ไปเป็นเหยื่อ ของพวกจอมปลอมเหล่านี้มากมาย ผมอยากจะให้เรารู้จักหน้าคนเหล่านี้ไว้
อย่างน้อยก็คนหนึ่งละที่อ้างว่า เป็นศาสตราจารย์ทางโภชนาการ ที่ออกโรงโฆษณาโกหกพกลมเกี่ยวกับชีวจิต แล้วอ้างเรื่องชีวจิตหาเสียง เพื่อเรียกคะแนนเสียงที่จะให้ตัวเองได้ตำแหน่งสูงขึ้น เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัย
คนนี้และอีกหลายคนนี่แหละครับ ที่เอาเรื่องโภชนาการเป็นเครื่องหากินสำหรับตนเอง และไปฟาดฟันทำลายผู้อื่น
เฝ้ามองคนคนนี้ให้ดี แล้วจะรู้ว่าจอมปลอมในวงการแพทย์นั้น มีคนคนนี้ปนอยู่ด้วย.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|