มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง


58 อย่านึกว่าความอ้วนเป็นความเลว

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ทำไมจึงคิดว่า ความอ้วนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย วัยรุ่นหรือหนุ่มสาวเดินมาเป็นกลุ่ม พอเจอะใครจะต้องทักทาย คนที่น้ำหนักมากๆ ก็จะแอบอยู่ข้างหลัง

ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เพราะความเชื่อแบบสมัยใหม่ใช่ไหมว่า ความอ้วนเป็นเรื่องน่าอับอาย คนอ้วนเป็นตัวตลกของเพื่อนๆ ให้ได้ล้อเลียน และเสียดสีกันอย่างมันปากมันมือ

คนอ้วนเลยกลายเป็นคนมีปมด้อย กลายเป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนผิดปรกติ

นี่เป็นความเชื่ออย่างผิดๆ เป็นความเชื่อซึ่งชอบเน้นกันมากเหลือเกิน ในวงการนางแบบและดารา

ความผอมกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสวยงาม และความอ้วนก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของความน่าเกลียด และของการกลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเล่น

ดังนั้น เราซึ่งมองดูความอ้วน ในลักษณะที่เป็นศัตรูของความสวยงาม

แต่เรามองข้ามความสำคัญของความอ้วน ที่เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บไปเสียสิ้น

ลองมาคุยกันถึงความอ้วน ตามทรรศนะของชีวจิตดูบ้างดีไหมครับ

ข้อแรกซึ่งน่าจะถือว่า เป็นหัวใจของปัญหาเรื่องความอ้วน ก็คือ อย่าไปสนใจว่า คุณอ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป แต่ให้คุณดูเรื่องสุขภาพของคุณเป็นใหญ่ ถ้าอ้วนเกินไปแต่สุขภาพแข็งแรง ใจของคุณก็สบายมีความสุข ถ้าอย่างนั้นมันจะอ้วนสักแค่ไหนก็ช่าง (หัว) มันเป็นไร

แต่ถ้าอ้วนแล้ว คุณรู้สึกไม่สบาย จะไปไหนมาไหนก็เหนื่อยง่าย หายใจก็ไม่ได้เต็มที่ จะเดินจะเหินไม่ว่องไว อุ้ยอ้าย เจ็บปวดตามข้อ ตามเนื้อตามตัวตลอดเวลา

ถ้าอย่างนั้น ความอ้วนเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณแล้ว ลองมาแก้ไขหรือลดความอ้วนดูสักหน่อยถ้าจะดี และเราจะลดความอ้วนเพื่อให้สุขภาพของเราดีขึ้น จะรูปหล่อเอวบางร่างน้อย สวยงามหรือไม่เราไม่สนใจ เราจะเอาแต่เรื่องสุขภาพเท่านั้น

แรกทีเดียวก็ลองดูว่า เราอยู่ในประเภทน้ำหนักเกิน (OVER WEIGHT) หรือว่าเราอ้วนตุ๊ต๊ะ (OBESE) เพราะในเรื่องของความอ้วนสองอย่างนี้ อ้วนตุ๊ต๊ะเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ มากกว่าพวกน้ำหนักเกิน

วิธีนี้จะดูว่าอย่างไหนน้ำหนักเกิน อย่างไหนอ้วนตุ๊ต๊ะก็ให้เพิ่มอีก 10% และ 20% ของน้ำหนักมาตรฐาน

สมมติว่าน้ำหนักของคุณควรจะเป็น 60 กก. แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูปรากฏว่า 66 กก. ก็แปลว่าคุณน้ำหนักเกินแล้ว หรืออีก 3 เดือนต่อมาคุณชั่งน้ำหนักอีกที กลายเป็น 72 กก. นั่นก็แปลว่าคุณอ้วนตุ๊ต๊ะ

ถ้าเอาสูตรง่ายๆ อย่างนี้ เราก็จะได้เป็นดังนี้

60 กก. น้ำหนักพอดี-มาตรฐาน

60-65 กก. ยังใช้ได้

66-71 กก. น้ำหนักเกิน

72-ขึ้นไป อ้วนตุ๊ต๊ะ

ในลักษณะอย่างนี้ จะเห็นว่าเรามีช่องว่าง สำหรับจะยืดหยุ่นได้มากมายพอสมควร และจะทำให้เราสบายใจขึ้นด้วย นั่นก็คือ ถ้าน้ำหนักมาตรฐานของเรา 60 กก. เราก็มีช่องว่างที่ยืดหยุ่นได้ถึง 5 กก. แต่ถ้าเลย 65 กก.ขึ้นไป ตั้งแต่ 66-71 กก. เราก็ต้องดูว่าอัตราน้ำหนักที่เกินไปนั้น เรายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ เรายังกระฉับกระเฉงไม่เหนื่อย ไม่อุ้ยอ้ายหรือไม่ ถ้าเรายังรู้สึกดีอยู่ แม้กระทั่งว่าน้ำหนักของเราเกิน จนจะชนเพดานความอ้วนตุ๊ต๊ะแล้ว ก็พยายามรักษาระดับน้ำหนักไว้ อย่าให้มันเกิดเพดาน และก็สังเกตดูตลอดเวลาว่า เรารู้สึกสบาย รู้สึกแข็งแรงทั้งกายและใจหรือเปล่า

ถ้าทำได้อย่างนี้ คุณจะรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก คุณมีน้ำหนักซึ่งคุณจะเล่นด้วยได้ หรือยืดหยุ่นได้ตั้ง 11 กก.

คุณจะกินหรือจะนอนแบบคนขี้เกียจ สักพักก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่น้ำหนักที่คุณแบกไว้ตั้ง 6-11 กก. นั้นไม่ทำให้คุณป่วย

เห็นไหมว่า ถ้าเรามองเรื่องความอ้วน โดยยืดเอาสุขภาพเป็นตัวสำคัญ โดยเลิกยึดเอาความสวยงามเป็นสรณะแล้ว คุณก็จะมีความสบายใจ จะกินมากไปบ้าง จะนอนมากบ้าง หรือจะขี้เกียจบ้าง คุณก็จะไม่ต้องรู้สึกผิด หรือคิดว่าตัวกำลังสร้างบาปสร้างกรรมอะไรสักอย่าง

ชีวิตมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย

สำหรับเรื่องน้ำหนักมาตรฐานนั้น คุณไม่ต้องไปเครียดกับมัน ไม่ต้องไปนั่งนับถือเรื่องสูตร การคิดคำนวณเรื่องน้ำหนัก หรือสูตรของความสูงเท่านั้น ต้องหนักเท่านี้ เหมือนอย่างศาสตราจารย์โภชนาการบางคน เขายกขึ้นมาเหมือนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์กระไรอย่างนั้น

ถ้าเทียบสูตรต่างๆ กันแล้ว ผมไม่ค่อยเลื่อมใสสูตรใดๆ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ พวกค้าขายเรื่องลดความอ้วน ชอบอ้างสูตรต่างๆ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อขายสินค้ามากกว่า

ขอพูดเรื่องประวัติน้ำหนักมาตรฐานว่า จะเป็นเท่านั้นเท่านี้เสียก่อน จริงๆนั้นน้ำหนักมาตรฐาน ซึ่งในวงการแพทย์หรือวงการวิชาการ ได้คำนวณไว้นั้นไม่มี ที่ว่าไม่มีก็เพราะไม่สามารถจะวางน้ำหนักได้แน่นอนว่า แค่นั้นแปลว่าอ้วน แค่นี้แปลว่าเป็นอันตราย น้ำหนักแน่นอนอย่างนี้ เรากำหนดกันไม่ได้ เพราะแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละอายุนั้น สภาพของร่างกายผิดกัน สภาพของกรรมพันธุ์ผิดกัน สภาพของพื้นฐาน พฤติกรรมในชีวิตประจำวันผิดกัน จะให้แต่ละคนมีน้ำหนักมาตรฐานเหมือนกันก็ได้

แต่ก็มีบริษัทธุรกิจการค้าบางบริษัท ที่จะต้องมีน้ำหนักมาตรฐานให้ได้ อย่างเช่นบริษัทประกันชีวิต เป็นต้น

บริษัทรับประกันชีวิต จำเป็นต้องมีความมั่นใจถึงสุขภาพของผู้รับประกันว่า เมื่อรับประกันแล้ว คนไข้ต้องอยู่ในสภาพแข็งแรง ไม่ใช่รับประกันวันนี้ พรุ่งนี้ผู้รับประกันตาย บริษัทรับประกันก็ขาดทุนย่อยยับ

เพราะฉะนั้น จึงต้องทำมาตรฐานวัดเรื่องสุขภาพ ที่บริษัทรับประกันเป็นห่วงมากในสมัยก่อนๆ ก็คือโรคหัวใจ มีความเชื่อในสมัยนั้นว่า คนอ้วนมักจะตายด้วยโรคหัวใจ

บริษัทรับประกันชีวิต จึงต้องทำมาตรฐานทั่วๆ ไปให้ได้ว่า อ้วนแค่ไหนจะปลอดภัย ไม่เป็นโรคหัวใจ จึงได้คิดสูตรต่างๆ คำนวณหาน้ำหนักคนอ้วน จึงเกิดสูตรหลายๆ สูตรขึ้นมา

อย่าลืมว่าสูตรเหล่านี้ เป็นสูตรเกิดมาจากบริษัทธุรกิจทางพาณิชย์ การรับประกันชีวิตจึงใช้มาตรฐาน ที่จะช่วยให้บริษัทต้องจ่ายเงินค่าประกันชีวิต โดยเสี่ยงกับความตายจากโรคหัวใจ

สูตรเรื่องน้ำหนักความอ้วน จึงต้องตั้งน้ำหนักต่ำๆ ไว้ก่อน ยิ่งต่ำเท่าไหร่ บริษัทก็มีความเสี่ยงน้อยเท่านั้น

มาตรฐานของสูตรเรื่องน้ำหนัก ซึ่งมาจากบริษัทรับประกันชีวิตนี้ จึงเกิดขึ้นจากพื้นฐานธุรกิจ ไม่ใช่พื้นฐานทางวิชาการแพทย์

ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโภชนา จึงไม่ควรยึดเอามาหลอกประชาชน

มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป จึงควรเป็นตัวเลขโดยประมาณ ไม่ใช่ตัวเลขตายตัว และตัวเลขโดยประมาณที่นิยมใช้กันขณะนี้ เป็นของบริษัท METROPOLITAN LIFE INSURANCE CO ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งผมเห็นว่า เป็นที่นิยมกันมาก โดยเอาส่วนสูงเป็นตัวตั้ง และมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยของแต่ละส่วนสูงเป็นตัวเทียบ คือ สูงเท่านั้น ควรจะหนักเท่านั้น

ส่วนสูตรอื่นๆ เช่น มีการวัดข้อมือ แล้วเอาส่วนสูงตั้งแล้วหารด้วยรอบข้อมือ หรือน้ำหนักเดี๋ยวนี้หารด้วยน้ำหนักเฉลี่ย แล้วคูณด้วย 100 หรือสูตรอื่นๆ ทำนองนี้ ซึ่งบางคนอ้างดูให้เห็นขลังนั้นอย่าไปสนใจเลย

หลักง่ายๆ แบบของผมสูงเท่าไหร่ และควรหนักเท่าไหร่ ถ้าเกินน้ำหนักนี้ไปถึง 20% ก็ต้องพิจารณาตัวเองแล้ว อย่างนี้จะง่ายกว่า

ข้อต่อไปก็คือ ถ้าคิดว่าไม่ต้องสนใจว่าอ้วนแล้ว จะสวยหรือไม่สวย แต่ให้ดูเรื่องสุขภาพเป็นใหญ่ ตอนที่คุณกำลังสบายนั้น ก็อย่าให้เผลอตัว ต้องควบคุมตัวเองเรื่องออกกำลังกายด้วย

หลักง่ายๆ ก็คือ เข้าไปเท่าไหร่ ต้องออกมาเท่านั้น เข้า ก็คือกิน ออก ก็คือออกกำลังกาย และถ่าย

กินเข้าไป แล้วก็เอาแต่นอน ย่อมไม่ได้ ป่วยแน่นอน

ข้อที่สาม คือเรื่องอาหาร อาหารที่ปลอดภัยกันอ้วนได้ดีที่สุด คือ สูตรอาหารชีวจิต ข้อนี้ขอยืนยันได้ และที่จะให้ประกอบอยู่ในเรื่องอาหารก็คือ น้ำมัน น้ำมันที่ดีที่สุดคือ น้ำมันกลุ่ม LINOLEIC ACID เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันงา น้ำมันมะกอก เป็นต้น

สรุปแล้ว สูตรแก้โรคอ้วนง่ายๆ คือ

1.ทัศนคติในการมองความอ้วน

2.เรื่องการออกกำลังกาย ขับถ่าย

3.เรื่องอาหารและน้ำมัน

ขอต่อรายละเอียดฉบับหน้าครับ.[ตอนที่59 วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2542]

สาทิส อินทรกำแหง

อ่านต่อตอนที่59 วันพุธที่ 20 ตุลาคม 2542

[กลับไปสารบัญชีวจิต]   [BACK TO LISTS - FOODS]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600