
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
การแพทย์แบบผสมผสานมีจริงหรือเปล่า
ขอตอบว่ามีจริง ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปมีมากว่า 30 ปีแล้ว มีแบบมีแผนแน่นอน ทางการรับรองแบบแผนการรักษา และกว่า 80% ของแพทย์ที่รักษาแนวนี้ เป็นแพทย์แผนปัจจุบันทั้งสิ้น
ในเมืองไทยเพิ่งจะมีการรับรองการแพทย์ แบบผสมผสานและการแพทย์ทางเลือก เมื่อปีที่แล้วนี้เอง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้เริ่มการแพทย์ทางเลือก ได้แต่งตั้งกรรมการผู้รู้การแพทย์ทางเลือก และการแพทย์แบบผสม ผสานกว่า 40 คน
คณะกรรมการได้ประชุมกันหลายครั้ง ได้วางแนวการปฏิบัติทางเลือกไว้แล้ว โรงพยาบาลรัฐบาล และโรงพยาบาลเอกชน ได้รับโครงการนี้ไปปฏิบัติ และสรุปผลการปฏิบัติภายในเดือนหน้า
เราคงจะรู้ผลการปฏิบัติว่า การแพทย์แบบผสมผสานนั้น ให้ประโยชน์แก่ประชาชนมากน้อยเพียงใด ในเร็วๆ นี้
ก่อนที่จะถึงวันนั้น ผมขอคุยเรื่องตัวอย่างโรคบางอย่าง ซึ่งรักษาด้วยวิธีการผสมผสาน ได้ผลชะงัดมาแล้ว
ตัวอย่างแรกคือ โรคงูสวัด (SHINGLES หรือ HERPES ZOSTER)
ปรากฏว่าจะเป็นเพราะอากาศเปลี่ยน ประกอบด้วยผู้ป่วยภูมิชีวิต หรือ IMMUNE SYSTEM ตํ่ามานาน งูสวัดก็เลยแผลงฤทธิ์
งูสวัด เกิดจากไวรัส VZV (VARICELLA ZOSTER) อาการขั้นแรกจะเกิดอาการไข้ ขึ้นสูง หนาวสั่นเป็นบางครั้ง คนไข้จะรู้สึกกระสับกระส่าย ไม่สบายเนื้อสบายตัว ต่อจากนั้น วันที่ 2 หรือ 3 จะมีอาการปวดตามตัว ปวดท้อง หรือท้องเดิน
ล่วงเข้าวันที่ 4 หรือ 5 เกิดตุ่มแดง และลามออกไปเป็นสาย ตามทางเดินของประสาทส่วนกลาง (คือส่วนสมองและไขสันหลัง ซึ่งรับทราบสัมผัสและส่งคำสั่ง ไปที่กล้ามเนื้อและส่วนต่างๆ ของร่างกาย)
โดยเหตุที่เส้นประสาทจากไขสันหลัง จะมีอยู่เป็นสายทั่วร่างกาย ตุ่มแดงที่ว่าน ี้จะออกเป็นตุ่มตามสายของเส้นประสาท ถ้าตุ่มแดงขึ้นมากๆ เราก็จะมองเห็นตุ่มแดงเป็นสาย ส่วนมากจากด้านหน้าอก แล้วก็ออกไปเป็นสายด้านข้าง ด้านซ้ายหรือขวาของร่างกาย
ลักษณะการเป็นสายเช่นนี้แหละ คนโบราณมองเห็นว่าเป็นสายเหมือนงู จึงเรียกกันว่า งูสวัด
คนโบราณเชื่อกันว่าเป็นโรคร้ายแรง ก็งูมันรัดอยู่ข้างในตัว จะไม่เชื่อกันว่าเป็นโรคร้ายแรงกระไรได้ ยังเชื่อกันต่อไปอีกว่า ถ้างูมันรัดรอบตัวเมื่อไหร่ คนไข้ก็ต้องตาย ไม่มีทางรอดแน่นอน
แต่โรคงูสวัดอย่างเดียวไม่เคยทำให้ใครตาย นอกเสียจากบางกรณีคนไข้เป็นโรคร้ายแรงอยู่แล้ว เช่น เป็นมะเร็งต่อมนํ้าเหลือง แล้วเกิดมาติดเชื้อไวรัสงูสวัดเข้าอีกเป็นต้น
และส่วนมากที่เป็นงูสวัด ก็จะเป็นอยู่ข้างเดียวของร่างกาย
ความร้ายแรงของงูสวัด จึงอยู่ที่อาการปวดและเป็นไข้ในระยะแรก และอาการปวดแสบปวดร้อน และปวดทั่วร่างกาย ก็จะมีมากขึ้นเมื่อตุ่มแดงได้เกิดขึ้นแล้วเป็นสายตามตัว
มีบางคนซึ่งเป็นผู้สูงอายุ อาการปวดตามเส้นประเภทอักเสบ มีมากมายจนทนความเจ็บปวดไม่ได้ และแม้แต่ตุ่มใสนั้นแตก และหายเป็นแผล ก็ยังมีอาการปวดจากประเภทอักเสบอยู่อีก ทางแก้ก็คือ ต้องผ่าตัดเอาเส้นประสาทส่วนนั้นออก แต่กรณีร้ายแรงขนาดนี้มีน้อยมาก
การแก้ไขทำได้อย่างไร การรักษาแบบแผนปัจจุบัน ต้องแก้ตามอาการ คือให้ยาลดไข้และให้ยาแก้ปวด เมื่อเกิดตุ่มแตกเป็นแผล ก็ต้องให้ยารักษาแผล ซึ่งส่วนมากจะเป็นยาทา
มีแพทย์บางคนให้ยาประเภทปฏิชีวนะร่วมด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นการรักษาแบบแผนปัจจุบัน คราวนี้เราลองหันมาดู การรักษาแบบผสมผสานกันบ้าง การผสมผสานเกี่ยวกับโรคงูสวัดนี้ นอกจากจะให้ยาตามอาการแล้ว ยังใช้การผสมผสาน ซึ่งตัวหลักใหญ่ก็คือพวกวิตามิน และแร่ธาตุเป็นตัวหลัก และแพทย์บางคนจะใช้การฝังเข็มร่วมด้วย
ด้านการให้วิตามินและแร่ธาตุนั้น แพทย์ทางด้านนี้เชื่อกันว่า ถ้าสภาพของร่างกายนั้น IMMUNE SYSTEM หรือภูมิชีวิตดีอยู่แล้ว ไวรัสงูสวัดนั้นจะออกมาอาละวาดไม่ได้
ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแพทย์แบบผสมผสาน ได้ค้นพบร่วมกันว่า เชื้อไวรัส VZV นั้น อยู่ในตัวคน คือกบดาน อยู่ที่ไขสันหลังของคนไข้อยู่เป็นเวลานานแล้ว ตราบใดที่คนไข้ยังแข็งแรงอยู่ VZV ก็ยังกบดานอยู่เงียบๆ แต่ถ้าอ่อนแอ ภูมิชีวิตตํ่าลงเมื่อใด VZV ก็จะออกมาอาละวาดทันที
จุดนี้เป็นจุดสำคัญและเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะทำให้แพทย์แผนปัจจุบันหันมาสนใจ การแพทย์แบบผสมผสานได้ เพราะภูมิชีวิตหรือ IMMUNE SYSTEM นั้นเป็นตัวคุ้มครอง ป้องกันตัวคนไข้ ให้แข็งแรงปราศจากโรคภัยมาตั้งแต่เกิด ความแข็งแรงนี้เมื่อคนไข้ เริ่มคลอดจากครรภ์มารดา ภูมิชีวิตจะเกิดขึ้นเอง แต่เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมา ผู้นั้นต้องสร้างภูมิชีวิตของเขาให้แข็งแรงขึ้น และรักษาระดับความแข็งแรงทนทานนั้น ให้อยู่ในระดับมั่นคงและสมํ่าเสมอตลอดไป ภูมิชีวิตตกตํ่าเมื่อใดก็ป่วยเมื่อนั้น
การใช้วิตามินและแร่ธาตุรวม ทั้งการฝังเข็มด้วยนั้น ก็มุ่งที่จะเพิ่มภูมิชีวิตอย่างเดียวเท่านั้น
นายแพทย์อบราม ซอฟเฟอร์ ได้รายงานไว้ในหนังสือ ORTHOMOLECULAR NUTRITION ว่าได้ใช้วิตามิน B1 (THIAMINE) โดยใช้ชนิดอย่างเป็นนํ้าฉีดให้คนไข้วันละ 200 มก. และได้ผลดี คนไข้หายจากโรคงูสวัดภายในเวลา 2 อาทิตย์ หรือระยะเวลาเพียงครึ่งเดียว ของการรักษาตามอาการ แบบแพทย์แผนปัจจุบัน (แผนปัจจุบันใช้เวลา 4-5 อาทิตย์)
นายแพทย์ เอ.แอล โอริส ได้รายงานการใช้ B1 รักษาคนไข้ 25 คน ได้ผลดีเช่นเดียวกัน
แต่กลุ่มของนายแพทย์วิฟริด ซี ชูต เห็นว่าควรจะรักษาด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ให้เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านั้น เขาเห็นว่าการรักษาตามอาการ โดยใช้วิตามิน B1 เป็นหลักนั้น แม้จะแก้อาการป่วยงูสวัดได้ดีก็จริง แต่การแก้ที่ดีกว่านั้น คือการแก้ทั้งตัว ซึ่งก็หมายความว่าให้ทำทุกอย่างพร้อมๆ กัน โดยมุ่งให้ภูมิชีวิตของคนไข้ดีขึ้นทันตาเห็น นายแพทย์ชูตแนะนำว่า ควรจะปรับปรุงการรับ ประทานอาหารที่แน่นอนว่า จะไม่สร้าง TOXIN ให้แก่ร่างกาย ควรจะจัดระบบชีวิตประจำวันให้ถูกต้อง (กินนอน-ทำงาน-พักผ่อน-ออกกำลังกาย)
นายแพทย์ชูตได้แนะนำสูตรวิตามิน และแร่ธาตุไว้ดังนี้
ยากิน วิตามิน A, B complex, วิตามิน B1 (ไม่ควรเกิน 300 มก.) วิตามิน B6 วิตามิน C วิตามิน D แร่ธาตุ (แคลเซียม แมกนีเซียม)
ในขณะเดียวกันให้เพิ่มโปรตีนชนิดเม็ด (AMINO ACID) อย่างรวม มื้อละ 1 เม็ด 3 เวลาด้วย
นอกจากนั้นให้เพิ่มยาฉีด วิตามิน B12 300 ไมโครแกรม ทุกวัน
สำหรับสูตรของผมเองนั้น จากประสบการณ์ ซึ่งใช้ได้ผลมาแล้ว ขอแนะนำเพิ่มเติมดังนี้
1. ขอให้ทำดีท็อกซ์ทุกวัน ระหว่างที่ยังมีอาการป่วยอยู่
2. ใช้อาหารตามสูตรชีวจิต
3. ใช้วิตามินและแร่ธาตุ ตามสูตร น.พ.ชูต
4. ใช้วิธีสร้างความหย่อนคลาย(RELAXATION) ให้แก่ร่างกาย และใช้การนั่งสมาธิช่วยคลายเครียด
5. ใช้การฝังเข็มเข้าช่วยร่วมด้วย
ตัวอย่างนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นได้ชัดว่า การผสมผสานที่ถูกต้อง ตามแบบแผนการแพทย์ที่ดีนั้นเป็นอย่างไร.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|