
โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง
เกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องเจอกับโรค หรืออาการที่หนีไม่พ้น ก็คือ ปวดเอว ปวดหลัง ปวดขา
ว่ากันว่า เราคงจะต้องโทษบรรพบุรุษของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยยังไม่เป็นคนกว่า 200 ล้านปีมาแล้ว สมัยนั้นบรรดาสัตว์ต่างๆ ในโลก เพิ่งจะขึ้นพ้นน้ำ และอยู่ในสภาพสัตว์เลื้อยคลาน (REPTILE) อยู่
ต่อมาเราก็รู้จักคลานสี่ขา ต้นตระกูลดึกดำบรรพ์ ของเราก็รวมอยู่กับพวกนั้น
ความเจริญทางสมองของเรามากขึ้น เราก็เริ่มมีความทะเยอทะยานที่จะเคลื่อนไหว แตกต่างไปจากคลานสี่เท้า จนกระทั่งเกิดกลุ่มพวกลิง (APE) นั่นแหละ คือการเริ่มต้นตระกูลของมนุษย์
เราเริ่มหัดเดินสองขา!!
และเราก็เริ่มรู้จักกับโรคปวดหลัง มาตั้งแต่เกือบ 200 ล้านปีมาแล้ว
ต้นเหตุก็เพราะ เรามีความทะเยอทะยาน อยากจะพ้นจากการคลานสี่ขา มาเป็นเดินสองขานั่นเอง
ที่พูดมานี้ขอให้ถือว่า เป็นการคุยกันเรื่องเบาๆ น่ะครับ โปรดอย่าคิดว่า ผมกำลังพยายามชักชวนให้กลับไปคลานสี่ขา อย่างสมัยดึกดำบรรพ์ เป็นอันขาด เพราะต่อให้มีเหตุผลดีอย่างไร ผมเป็นคนหนึ่งละที่ไม่ยอมกลับไปคลานสี่ขา
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าโรคปวดหลัง ปวดเอวนั้น คงจะเป็นโรคประจำตัวมนุษย์ อย่างหนึ่งเป็นแน่แท้ เพราะท่าเดินสองขาของเรานั้น ค่อนข้างจะผิดธรรมชาติ
ลองนึกดูสภาพเท้าของเรา ซึ่งยาวเพียงประมาณ 25 ซม. แต่ต้องรับน้ำหนักทั้งหมดของตัวเรา ตั้งแต่ 50 ถึง 80 กิโลกรัม
นอกไปจากนี้ สองเท้านี้ยังต้องคานกับ ส่วนสูงของร่างกาย ซึ่งยาวกว่าส่วนเท้าถึง 6 เท่า (150-180 ซม.)
เท้าต้องทำงานหนักสักเพียงไหน ที่จะต้องคุมร่างกายให้เดินให้วิ่ง ให้ก้มให้งอ โดยไม่ล้มคว่ำหน้าลงไป
สัดส่วนของเท้า และขาของเรา กับส่วนสูงและน้ำหนักของร่างกายนั้น ผิดหลักของสรีรศาสตร์อย่างช่วยไม่ได้
เท้าของมนุษย์เล็กและสั้นเกินไป ที่จะรับหน้าที่ยึดและดึง ร่างกายอันสูงใหญ่ของมนุษย์ ให้ยืนและตรงได้ตลอดเวลา
ท่ายืน และเดินของเราต้องใช้แรง และพลังมหาศาล โดยเหตุนี้เมื่อเราป่วย หรือหมดแรง เราจึงต้องนอนท่าเดียว ยังไม่เคยปรากฏว่าใครยืนป่วย หรือนั่งป่วยได้
นอกจากจะใช้แรงยึด และพลังมหาศาลของเท้าแล้ว เรายังต้องใช้พลังมหาศาลของขา ของกล้ามเนื้อของเส้นเอ็น ของหลัง ของเอว ของกระดูก และข้อต่อแทบทุกข้อของร่างกาย
น้ำหนักและพลังที่เราใช้ สำหรับเท้า ขา หลัง และกระดูกสันหลังนั้น หนักหนาสาหัสนัก
โรคปวดขา ปวดเอว ปวดหลัง จึงเป็นโรคประจำตัวของมนุษย์ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้ หมายความว่า จะให้ยอมรับว่าโรคปวดหลัง ปวดเอวนั้นจะเป็นโรคกรรม โรคเวร ซึ่งเราจะไม่ต้องแก้ไขอะไรเลย
เพราะโรคนี้เป็นโรคซึ่งป้องกันและแก้ไขได้
ขั้นต้นเราควรจะรู้ว่า จุดอ่อนของร่างกายที่ทำให้ปวดขา ปวดเอว ปวดหลังนั้นอยู่ที่ไหน
จุดแรกก็คือที่เท้า ลองพิจารณาดูรูปร่าง และลักษณะของเท้าแล้วจะเห็นว่า ค่อนข้างจะแปลก และดูไม่เหมาะสมกับสภาพของร่างกาย
ฝ่าเท้าของเราเว้าตรงกลาง แทนที่จะแบนราบเรียบ เพื่อรับน้ำหนักจากร่างกายได้เต็มที่ นิ้วเท้า 5 นิ้วนั้นก็สั้นม่อต้อ และกางเป็นแผ่นเหมือนพัดได้
ที่เป็นดังนี้ แพทย์ทางเท้า (PODIATRIST) อธิบายว่า สมัยดึกดำบรรพ์นั้น เราเดินเท้าเปล่าและอยู่ในป่าในดง ฝ่าเท้าซึ่งเว้าตรงกลาง และนิ้ว 5 นิ้ว ซึ่งแผ่ออกไปได้นั้น ช่วยให้เราย่ำเดินดินเหลว ดินทรายได้ดี และทรงตัวได้ดี ฝ่าเท้าซึ่งเว้าขึ้นตรงกลางเท้านั้น เมื่อเหยียบบนโคลนทรายหรือดินเหลว มีสภาพเหมือนสูญญากาศ ทำให้หนังขายึดพื้นดินไว้ได้เป็นอย่างดี
จะเห็นว่า ส่วนที่รับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกายไว้นั้น อยู่ด้านสันเท้า จากข้อเท้านั้น จะมีกระดูก ท่อนขาใหญ่สองท่อน (TIBIA และ FEMUR) ต่อสูงขึ้นไปถึงกระดูกเชิงกราน
และจากกระดูกเชิงกราน เราก็มีกระดูกสันหลัง ซึ่งเป็นแกนหลักใหญ่ของร่างกาย เพราะกระดูกสันหลังนั้น นอกจากจะเป็นตัวยึดแกนกลาง ของร่างกายแล้ว ยังเป็นส่วนสำคัญของสมอง มีประสาทจากสมอง ต่อมาที่ไขสันหลัง บังคับทุกส่วนของร่างกายได้ด้วย
ลองมาดูที่เท้าใหม่ จุดอ่อนของหลายๆ คน อยู่ที่ข้อเท้า หลายคนที่ว่านี้ข้อเท้าแพลงบ่อยๆ ครั้งแรกที่ข้อเท้าแพลง จะดูเหมือนอุบัติเหตุสะดุดก้อนหินบ้าง ตกจากขอบถนนบ้าง หกล้มที่บันไดเลื่อนบ้าง
ก็อาจจะโทษอุบัติเหตุได้ครั้งแรก แต่ทำไมเล่า มันถึงได้ข้อเท้าแพลงแล้วแพลงอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และบางครั้งก็ไม่เพียงแต ่ข้อเท้าแพลงอย่างเดียว แต่จะพานไปจนถึงกระดูกเท้าแตก หรือหักอีก ก็เป็นได้ง่ายๆ เหมือนกัน
ถ้าอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุเสียแล้ว ลองดูซิว่า ที่ข้อเท้าของคุณนั้น มีอะไรอ่อนแอมากหรือเปล่า เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อด้านนอก และด้านในของข้อเท้าแข็งแรงดีอยู่หรือ
ด้านหน้าของข้อเท้าของคุณ มีเส้นเอ็นหนายึดเป็นรูปตัววายด้านขวาง แล้วจะยึดกับเส้นเอ็นด้านข้าง และด้านยาวอีกหลายเส้น จากเส้นเอ็นนี้ จะไปต่อกับกล้ามเนื้ออีกหลายมัดเช่นกัน กล้ามเนื้อหลายมัดนี้ จะต่อยาวขึ้นไปถึงหัวเข่าของคุณ
หลายคนกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นที่ข้อเท้าไม่แข็งแรง อาจจะเป็นว่าตั้งแต่เล็กๆ มาคุณไม่เคยใช้งานเท้าอย่างเต็มที่ ไม่เคยออกกำลังกาย ไม่เคยเดินมากๆ และไม่ค่อยได้วิ่งกับเขาเลย
กล้ามเนื้อด้านนอก และด้านในของคุณ อาจจะไม่เท่ากัน ส่วนมากเมื่อเท้าแพลง ข้อเท้าของคุณ จะตะแคงพลิกเข้าด้านใน ส่วนเป็นเพราะกล้ามเนื้อด้านนอกไม่แข็งแรง หย่อนเกินไป และเพราะไม่ได้ออกกำลังขาเพียงพอ
สาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็อย่าลืม เรื่องรองเท้าของคุณด้วย โดยเฉพาะคุณผู้หญิงนั้น ระวังเรื่องรองเท้าส้นสูง ส้นแหลมเล็กให้มากๆ พลิกแผล็บเดียว ขาแพลงโดยไม่รู้ตัว
และมันจะไม่แพลงอย่างเดียว กล้ามเนื้อข้อเท้าอาจจะฉีก หรือเส้นเอ็นอาจจะขาด กลายเป็นเรื่องร้ายแรงได้
เพราะฉะนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องรองเท้าแล้ว ก็ให้นึกถึงเรื่องการออกกำลังกายด้วย
เราคงจะต้องคุยกันเรื่องปวดขา ปวดเอว ปวดหลังกันอีก 2-3 ตอนน่ะครับ
แล้วเราจะพูดถึงวิธีแก้ และยาแก้ รวมทั้งวิธีบำบัด วิธีต่างๆ ด้วย เป็นเรื่องเบาๆง่ายๆ ซึ่งคุณจะแก้ได้ด้วยตนเอง.
สาทิส อินทรกำแหง
| main | ![]() |
![]() |
|
|
![]() |
|