มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

chivajit alternative medicine

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง


79 ประจำเดือนหมด ชีวิตหมด? [4]

าอีกแล้วครับ แฟนประจำ คราวนี้เกรียวกราวที่สุดก็ว่าได้ เพราะคำถามจะลงเอยสั้นๆ ว่า "แล้วคุณว่าฉันต้องกินฮอร์โมนหรือเปล่าเล่า"

ความจริงได้ตอบไว้แล้ว ตั้งแต่ตอนต้นนะครับ ว่าจะกินฮอร์โมนหรือไม่นั้น คุณควรจะตัดสินได้ด้วยตัวเอง เพราะฮอร์โมนไม่ใช่ยารักษาการหมดประจำเดือน หรือไม่ใช่ยารักษาวัยทอง

แต่จะเป็นยาช่วยแก้อาการต่างๆ ของการหมดประจำเดือน เช่น หน้าร้อนวูบวาบ ใจสั่น นอนไม่หลับ ปวดตามเนื้อ จิตใจหงุดหงิดเหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่าคุณได้ศึกษาเรื่องวัยหมดประจำเดือนมาก่อน ได้เตรียมตัวแก้ไขป้องกันล่วงหน้า อาการต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว จะทุเลาเบาบางกว่าสตรีวัยทองหลายๆ คน และถ้าคุณได้ปรับชีวิตประจำวันของคุณ มาแล้วเป็นอย่างดี คุณเป็นคนแจ่มใสเบิกบานตลอดเวลา อาการหงุดหงิดจากการหมดประจำเดือน ก็จะไม่มี แล้วคุณจะกินฮอร์โมนไปทำไม

แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนหงุดหงิด และวิตกกังวล อาการต่างๆ เหล่านั้นคุณจะทนไม่ได้ บางคนอาจจะรู้สึกอยากตาย เหมือนอย่างกรณีที่ได้เล่ามาแล้วในอาทิตย์ก่อน คุณก็อาจต้องใช้ฮอร์โมนมาช่วยระงับ หรือปรับสภาพร่างกายของคุณ เฉพาะความรู้สึกว่าควรจะกินฮอร์โมนหรือไม่ ผมว่าคุณควรจะรู้จักตัวเอง และตัดสินใจให้ตัวเองได้

จุดที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ในการตัดสินใจก็คือ อย่าวิตกกังวลจนเกินไป อย่าไปเชื่อคำโฆษณาของใครบางคน หรือของบริษัทยาที่ว่า ถ้าถึงวัยหมดประจำเดือนแล้ว คุณจะต้องกินฮอร์โมนแน่นอน

คนอื่นๆ ที่เขาไม่ต้องกินฮอร์โมนมีถมไป ลองคุยกับเขาบ้างซิครับ ว่าเขาอยู่ได้อย่างไร ลองนึกถึงคุณป้าคุณน้าของคุณบ้างซิครับ ว่าท่านและคนสมัยก่อนหน้า ท่านหลายยุคหลายสมัยนั้น เขาอยู่กันมาได้อย่างไร และอยู่อย่างมีความสุข มั่นคง และมั่นใจอย่างเหลือเกินด้วย

เอาล่ะ สมมติว่าคุณได้ตัดสินใจแล้วจะไม่ใช้ฮอร์โมน แล้วก็ถามผมว่าแล้วมีทางเลือกอย่างอื่น หรือไม่ที่จะช่วยให้ชีวิตมีความสุขความสบายขึ้นบ้าง

ตอนนี้แหละครับ ที่ผมพอจะคุยได้อย่างเต็มปากว่า มีทางเลือกซิครับ ทางเลือกนี้เป็นวิธีง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ก่อนจะพูดถึงทางเลือกอื่นๆ เหมือนอย่าง 3 ตอนที่ได้พูดมาก่อนแล้ว ผมขอพูดถึงความเครียด ที่ทิ้งท้ายไว้เมื่อครู่นี้เสียก่อน

ผู้หญิงสมัยใหม่มีเรื่องเครียด ในชีวิตบั้นปลายมากมายเหลือเกิน แม้แต่เมื่อเริ่มวัยทอง จะตัดสินใจเรื่องกินฮอร์โมนดีหรือไม่กินดี ก็เริ่มเครียดเสียแล้ว เห็นเพื่อนๆ เขากินกัน แต่ตัวเองไม่ได้กินก็เกิดกลัวขึ้นมา "ถ้าเราไม่กินฮอร์โมนเหมือนอย่างเพื่อนๆ น่ากลัวเราจะอายุสั้นเสียกระมัง" นี่ยิ่งเครียดไปใหญ่

ผมจำได้ว่าสมัยคุณแม่ของผม ถึงวันพระที แม่จะเตรียมจัดข้าวจัดของไปเลี้ยงพระ ไปฟังเทศน์ ฟังธรรม แม่จะแต่งตัวสวยงามและเรียบร้อย นุ่งผ้าลายใส่เสื้อขาว มีผ้าแถบห่มสไบเฉียง หน้าตาผ่องใส

ผมเคยตามแม่ไปวัด จะเห็นคุณป้า คุณน้า คุณอา รุ่นเดียวกับคุณแม่เต็มวัดไปหมด แต่ละคนหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และผ่องใส และแน่นอน คุณป้า คุณน้าหลายร้อยคน รวมทั้งแม่ผม ล้วนวัยทองกันแล้วทั้งนั้น แต่ดูช่างเป็นวัยทองที่แจ่มใส และมีความสุขเหลือเกิน

และก็แน่นอนอีกเหมือนกัน คุณแม่และคุณป้าวัยทองเหล่านั้น ไม่เครียดเลย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างนั้น จะเครียดไปได้อย่างไร

เป็นไปได้ไหมครับ ว่าชีวิตที่เรียบง่ายสบายๆ อย่างนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วัยทอง เป็นวัยที่มีความสุข ไม่มีปัญหาเรื่องหมดประจำเดือน ไม่เครียด ไม่รีบร้อน ชีวิตประจำวันผ่านไปอย่างสบายๆ

ลองมาดูเรื่องการกิน กับความเครียดของคนสมัยใหม่ เราจะได้ยินคุณพี่สมัยใหม่ชอบพูดว่า "พอเครียดขึ้นมา กินอะไรไม่ลงเลย"

แต่คุณพี่อีกคนหนึ่งกลับบอกว่า "อุ๊ย ของฉันตรงกันข้าม พอเครียดขึ้นมา ฉันกินเข้าไปยังกะม้า" แล้วยังแถมให้ข้อสังเกตไปถึงคุณพี่อีกคนหนึ่งว่า "แต่คุณแรมนั่นซียะ สามีไปมีเมียน้อย แกเครียดจัด หน้าตาแก่ไปสักสิบปีเห็นจะได้"

เรื่องของคุณพี่สามคนนี้ เป็นเรื่องของความเครียด ความเครียดเกี่ยวกับการทำงานของสมอง สมองเกี่ยวกับฮอร์โมน และการกิน รวมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงทางหน้าตา และร่างกาย (หน้าตาแก่ไปสักสิบปีเห็นจะได้)

และยิ่งถ้าความเครียดมาเกิดขึ้น ตรงกับระยะของการหมดประจำเดือนด้วย อาการทางกายและใจ ก็กลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัส คุณพี่หรือคุณน้าบางคนถึงกับคุมสติไม่อยู่

ลองมาดูกันสักนิดไหมครับ เรื่องของความเครียดก็ดี เรื่องขอการกินก็ดี มาเกี่ยวกับฮอร์โมนกันตอนไหน และฮอร์โมนโผล่เข้ามา มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตและวัยทองได้อย่างไร

ขอพูดถึงความเครียดทั่วๆ ไปเสียก่อน สมมติว่า คุณกำลังข้ามถนนอยู่ตรงทางม้าลาย จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งวิ่งมาเร็วจี๋ กดแตรลั่น ทำท่าจะมาบดขยี้ให้แบนแต๊ดแต๋กลางถนน

คุณย่อมตกใจ โกรธ ร่างกายของคุณตอนนั้นจะเขม็งเกร็งไปหมด แรกทีเดียวคุณอาจจะร้องกรีดด้วยความตกใจ แต่พร้อมกันนั้น เท้าของคุณก็เตรียมจะวิ่งข้ามถนนไปให้พ้น หรืออาจจะหลบถอยมาข้างถนนตามเดิม พอรถผ่านไปแล้ว คุณจะถอนหายใจโล่งอก แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเป็นคนเลือดร้อน คุณก็อาจจะด่าตามหลังรถคันนั้นไป 2-3 คำ หรือร้อยคำก็ได้ ตามอัธยาศัยดั้งเดิมของคุณ

ตอนนั้นภายในร่างกายของคุณอะไรเกิดขึ้น เริ่มต้นการตกใจของคุณ จะสั่งไปที่สมองส่วนสำคัญคือ ไฮโปทาลามัส และจากไฮโปทาลามัส จะสั่งไปที่ต่อมพิทูทารี่ จะต่อไปที่ต่อมหมวกไต จะต่อไปที่ตับอ่อน จะต่อไปที่ไตทั้งสองข้าง

ความตกใจของคุณ จะทำให้ร่างกายและสมอง อยู่ในสภาพเตรียมพร้อม จะหนีหรือจะสู้ (FIGHT OR FLIGHT)

ในตอนนั้น ม่านตาของคุณจะเบิกกว้างกว่าเดิม เป็นการเตรียมพร้อมของร่างกาย เพื่อที่ว่าคุณจะมองเห็นอะไรดีกว่าเดิม ต่อจากนั้น กล้ามเนื้อของคุณจะเกร็งตัว เพื่อว่าคุณจะวิ่ง-กระโดด หรือต่อสู้ได้ดีขึ้น

การหายใจของคุณจะถี่ขึ้น เพื่อนำออกซิเจนไปสู่ปอดได้ดีขึ้น หัวใจจะปั๊มเลือด ซึ่งมีออกซิเจนมากขึ้นนี้ไปยังกล้ามเนื้อ ตับจะขับกลูโคส ซึ่งเป็นพลังงานไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น กล้ามเนื้อ เพื่อเตรียมเก็บพลังงานไว้ใช้ กลุ่มก้อนเนื้อซึ่งเป็นโปรตีน ก็จะเตรียมแตกตัวเป็นแอมมิโนแอซิค เพื่อเตรียมหนุนให้พลังงานต่อจากกลูโคส

กลไกของร่างกายที่น่าสนใจ อีกอย่างหนึ่งก็คือ เส้นเลือดที่ไหลไปกล้ามเนื้อต่างๆ นั้นจะขยาย แต่ในขณะเดียวกันเส้นเลือด ซึ่งไปเลี้ยงระบบย่อย คือ กระเพาะลำไส้ กลับหดตัว ที่เป็นอย่างนี้ เพราะในขณะที่ร่างกายกำลังตื่นตัวนั้น กล้ามเนื้อแขนขาต้องใช้พลังงานมาก ร่างกายจึงขยายเส้นเลือด เพื่อที่จะได้ใช้พลังงานได้เต็มที่ แต่การกิน การย่อย ในขณะเกิดความตึงเครียดนั้น ร่างกายไม่ต้องการ จึงปิดระบบย่อยไม่ให้ทำงานทั้งหมด

นอกไปจากนั้น เลือดจะวิ่งไปที่ไตน้อยลง ร่างกายจะได้เก็บนํ้าไว้ได้มากขึ้น และเลือดก็จะไปที่ผิวหนังน้อยลงด้วย ในกรณีที่เกิดการต่อสู้ร่างกายมีบาดแผล เลือดจะออกน้อยลง และถ้าเราสังเกตให้ดี จะรู้สึกว่าประสาทหูของเราทำงานดีขึ้น นอกไปจากนั้นสมองก็เตรียมหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกมึนชา ถ้ามีแผลหรือการกระทบกระแทกเรา ก็จะเจ็บปวดน้อยลง

ที่น่าตลกก็คือ เราเคยดูหนังจีนจะเห็นว่า เวลาตัวเอกหรืออาจารย์เจ้าสำนักต่างๆ ต่อสู้กัน จะเห็นเส้นผมลุกตั้งชัน ดูเหมือนเป็นเรื่องโกหก แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น เวลาเครียดขนเราจะลุก เส้นผมจะตั้งชัน บางคนจะเล่ากันว่า เวลาถูกผีหลอกขนหัวลุก

เหล่านี้เป็นอาการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกายและจิตใจ เวลาเราเครียด ฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ หลายสิบตัวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วร่างกาย เมื่อเราหายเครียด ระบบฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ จะค่อยๆ คืนตัวสู่ระบบเดิม

แต่ถ้าเราเครียดแล้วเครียดอีกอยู่บ่อยๆ ระบบต่างๆ ของร่างกาย ทั้งภายนอกภายในจะเปลี่ยนแปลง ตื่นตัว และคืนตัวสลับกันอยู่ตลอดเวลา นั่นคือผลร้ายสำหรับร่างกายและจิตใจ เพราะเราจะไม่มีวันอยู่ในสภาพปรกติตลอดกาล แต่จะกลายเป็นผิดปรกติอยู่ตลอดเวลา

และถ้าการผิดปรกติเช่นนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการหมดประจำเดือน หรืออยู่ในระหว่างวัยทอง ความร้ายแรงย่อมเหลือคณานับ สุดที่หัวใจน้อยๆ ของคุณพี่จะทนทานได้

ทางเลือกอีกทางหนึ่งของวัยทอง ขณะนี้จึงอยู่ที่การผ่อนคลาย (RELAXATION) และสมาธิ

สมาธิในที่นี้ไม่ใช่สมาธิแบบไปเข้าวัด หรือไปเข้าพิธีบวชชีพราหมณ์ อย่างที่หลายๆ คนเคยทำ อย่าทำอย่างนั้นเลย เพราะถ้าคุณผ่อนคลายหรือ RELAX ไม่ได้ คุณจะทำสมาธิไม่ได้

พยายามหัด RELAX แบบง่ายๆ (ท่าคลายเกร็ง) ให้ได้แล้ว จึงหัดสมาธิแบบง่ายๆ ที่บ้านของตนเองจะดีกว่า

ตกลงเราก็ได้ทางเลือกใหม่ถึง 3 ทางแล้ว คือ 1. การออกกำลังกาย 2. อาหารและวิตามินแร่ธาตุ 3. การหย่อนคลายและสมาธิ

ยังมีอีกนะครับ คุยกันต่อคราวหน้า.

สาทิส อินทรกำแหง

อ่านต่อตอนที่80 วันพุธที่ 15 มีนาคม 2543

[กลับไปสารบัญชีวจิต]   [BACK TO LISTS - FOODS]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600