มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ จาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันอาทิตย์ เริ่ม อาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2541 ]

ปั้นชีวิตใหม่ด้วยชีวจิต

chivajit alternative medicine

โดย ดร. สาทิส อินทรกำแหง


83 โรคเราทำ

อาจารย์หมอประเวศ วะสี เคยพูดและเคยเขียนล้อๆ กันเล่นว่า มีโรคประหลาดอีกโรคหนึ่งคือ "โรคหมอทำ" หมายถึง การให้ยาตามอาการ โดยไม่ได้ตามไปแก้อาการป่วยที่สาเหตุโดยตรง ก็จะทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาโดยไม่มีที่สิ้นสุด อย่างเช่น คนไข้ไปหาหมอบอกว่า ปวดหัว หมอก็ให้ยาปวดหัว กินยาแก้ปวดหัวไปหลายๆ วัน เกิดปวดท้อง หมดก็ให้ยาแก้ปวดท้อง กินยาแก้ปวดท้องไปหลายๆ วัน เกิดระบบย่อยแปรปรวน ท้องอืดท้องเฟ้อบ้าง ท้องผูกบ้าง แล้วอาการจากระบบย่อยก็ลามไปถึงระบบประสาท เกิดอาการนอนไม่หลับปวดเนื้อปวดตัว เป็นอะไรต่อมิอะไรไปเสียจนไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรแน่

            โรคอย่างนี้อาจารย์หมอหลายท่านรวมทั้งอาจารย์ประเวศด้วย ท่านเรียกว่า "โรคหมอทำ"
           ผมไปพบโรคใหม่อีกโรคหนึ่ง ทำนองเดียวกันนี้ ไม่ใช่ "โรคหมอทำ" แต่เป็น "โรคเราทำ"
อาทิตย์ที่แล้วชมรมชีวิจิต ขอนแก่น จัดคอร์สการปรับปรุงสุขภาพขึ้นที่ภูเรือ จังหวัดเลย ผมไปเป็นผู้บรรยายและไปในฐานะที่ปรึกษาของชมรม

มีผู้เข้ารับการอบรม 50 คน อายุตั้งแต่ 20 กว่าจนถึง 83 ปี เป็นผู้ที่ป่วยมากก็มี ป่วยน้อยก็มี และมีผู้ที่สุขภาพดีที่สุด คือไม่ป่วยเลยเพียงคนเดียว นอกนั้นจะต้องมีอาการป่วยมากบ้างน้อยบ้างกันทุกคน

ซึ่งผมประหลาดใจมาก ท่านเหล่านี้แทบทุกคนมีการศึกษาดีและสูงๆ รู้เรื่องของสุขภาพของการรักษาตัวเอง รู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของตนเอง

แต่ท่านก็ป่วย และป่วยแบบสะสมมานานแล้วด้วย กว่าครึ่งหนึ่งของผู้เข้าคอร์สเป็นโรคเบาหวาน และเป็นโรคเกี่ยวกับระบบเส้นเลือดแข็ง (ATHEROSCLEROSIS) สองคนในจำนวนผู้ป่วยเบาหวาน 15 คน เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันหนึ่งในสองคนนี้ผ่าตัดบายพาสหัวใจมาแล้ว อีกคนหนึ่งกำลังลังเลใจว่าจะยอมทำบายพาสดีหรือไม่ดี ว่าที่จริงแพทย์หัวใจนัดวันผ่าตัดไว้เรียบร้อยแล้วสั่งด้วยว่าให้ผ่าตัดด้วย แต่คนไข้ยังลังเล ผัดขอคุยกับแพทย์คนอื่นๆ อีกหลายคนก่อน

คนไข้เบาหวานอื่นๆ นอกจากจะมีอาการน้ำตาลในเลือดสูงแล้ว ยังมีอาการอื่นๆ เกี่ยวกับระบบเลือดและเส้นเลือดด้วย เช่น คอเลสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง และยังมีอาการของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแข็ง ปวดเมื่อยขยับเนื้อขยับตัวไม่สะดวก เดินกระย่องกระแย่งอยู่ตลอดเวลา

ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แต่ละคนข้อที่เห็นได้ชัดกว่าอย่างอื่น ก็คือ กินไม่ถูก กินไม่ถูกนี้ไม่ได้หมายความว่ายากจนไม่มีจะกิน ตรงกันข้าม ท่านเหล่านี้เป็นคนมีฐานะดี และก็มีความเชื่อว่า ของที่เคยมีกินมาก่อนนั้นล้วนแต่เป็นของดีๆ ทั้งสิ้น ของดีๆ ก็คือของแพงๆ หมู เห็ด เป็ด ไก่ ของหวาน ของมัน และก็แน่นอน กินแล้วอร่อยถูกอกถูกใจ คนกินเหลือประมาณ

จะเห็นได้ง่ายๆ ว่า รูปร่างของท่านเหล่านี้ อายุเพิ่งจะใกล้ 50 หรือ 50 กว่าๆ ก็อยู่ในสภาพดูไม่ได้เสียแล้วที่เห็นว่าดูไม่ได้มากที่สุดคือ พุง ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย พุงย้อย หน้าอูมจนเหมือนบวม คางห้อยมีลอน 2-3 ชั้น

นั่นคือผลของการกินของอร่อยๆ ดีๆ แพงๆ นอกจากเรื่องกินแล้วก็ตามมาด้วยชีวิตประจำวันแบบคนขี้เกียจ ผมเคยพูดล้อเล่นๆ กับท่านเหล่านี้ว่า ถ้าชอบกินของอร่อยๆ แล้ว จะขี้เกียจไม่ได้ท่านก็บอกว่าไม่เคยขี้เกียจเลย ตรงกันข้าม อยู่เฉยไม่ได้ต้องทำงานทุกวัน ผมก็ถามว่าทำงานอะไร ท่านก็บอกว่า ทำงานบริษัท ต้องอยู่บริษัท แล้วก็เข้าประชุมทุกวัน นอกนั้นก็มีธุระต้องไปติดต่อข้างนอก ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ต้องวิ่งเต้นกับวงการราชการและเจ้าใหญ่นายโต ต้องทำงานทุกวัน แม้วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด

           "แล้วเวลาพักหรือตอนเลิกงานต้องทำอะไรล่ะ ?"
           "เลิกงานก็ไม่ได้เลิกแต่วัน เลิกห้าทุ่มสองยาม นอกจากมีงานสังคม"
           "สังคมชนิดไหน?"
           "สังคมใหญ่และเล็ก ถ้าเล็กก็ต้องออกไปกินข้าวกันในวงธุรกิจ ถ้าสังคมใหญ่ก็ต้องออกงานกุศลหรือมิฉะนั้นกินข้าวกับเจ้าใหญ่นายโต เพื่อให้กินการงานเดินไปด้วยความราบรื่น"
           "เวลาสังคมเล็กหรือสังคมใหญ่ คุณก็ต้องกินเหล้าด้วยใช่ไหม ?"
           "กินบ้างเพื่อสังคม"
           "กินบ้างนี้สักกี่วันต่ออาทิตย์ ?"
           "ขึ้นอยู่กับว่างานสังคมจะมีถี่หรือห่าง บางทีถี่ขนาดต้องออกงานทุกวัน คุณเห็นไหมว่า ผมไม่ได้ขี้เกียจ ผมทำงานหนัก"
           "อย่างนั้นไม่ใช่งานหรอกครับ เขาเรียกว่าบ้างาน หรืองานบ้าๆ งานหนักหรือที่ผมว่า อย่าเป็นคนขี้เกียจนั้น ผมหมายถึงว่า คุณต้องแบ่งเวลาให้ถูก และงานหนักซึ่งคุณจะต้องทำอย่างเคร่งครัดก็คือ การดูแลตัวเอง คุณต้องแบ่งเวลาให้พอดีสำหรับตัวเอง กิน-นอน ทำงาน-ออกกำลังกาย-พักผ่อน ต้องจัดให้ถูกต้องและพอดี"
           "ผมดูแลตัวเองดี เวลาเหนื่อยผมก็หาของกินดีๆ"
           "และก็กินเหล้าดีๆ ด้วย และก็แถมต้องเที่ยว ต้องไปหาอีหนู สำหรับตัวคุณเอง และสำหรับเจ้าใหญ่นายโตด้วย นั่นไม่ใช่การดูแลตัวเองดี ที่คุณกินดีๆ นั้น ที่จริงคือกินเลวต่างหาก คุณเลือกกินแต่ของแพงๆ และของอร่อยๆ แต่มันไม่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายคุณเลย"

ผมชี้แจงให้เห็นว่า ที่เขาเป็นเบาหวานและโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดและหัวใจนั้น แท้ที่จริงอาจจะเป็นจากเส้นเลือดและหัวใจก่อน แล้วจึงจะมาถึงขั้นเบาหวาน

เขายอมรับว่า คอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือดของเขาสูงมานานแล้ว ไทรกลีเซอไรด์ หรือไขมันอีกชนิดหนึ่งในตัวของเขาก็สูงตามไปด้วย และเช่นเดียวกัน ความดันโลหิตก็สูงมานานแล้วเช่นกัน

           "ผมว่างานหนักที่คุณทำสำหรับร่างกายคุณก็คือ การทำลายร่างกายลงทีละนิดๆ จนกระทั่งเป็นเบาหวานคุณต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยกว่าจะสร้างให้ร่างกายคุณเป็นเบาหวานได้ และก็ต้องทำงานหนักเหลือสติกำลังด้วยร่างกายจึงจะยอมแพ้เป็นเบาหวานได้"
           "เป็นเบาหวานแล้วคุณก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงทำงานบ้าๆ กินเลี้ยงกินเหล้าต่อไป ตอนนี้นั่นแหละโรคหัวใจจึงได้ถามหา จนกระทั่งคุณต้องไปผ่าตัดทำบายพลาส"
           "อ้าว เขาว่าเบาหวานเป็นกรรมพันธุ์ไม่ใช่รึ"
           "อย่าไปเห่อเรื่องทฤษฎีตามเขาเลยครับ มันเหมือนกับการเล่นสำนวนนั่นแหละ สมมติว่าคุณพ่อเป็นเบาหวาน เขาก็มักจะเหมาเอาง่ายๆ ว่าคุณก็ต้องมียีนเบาหวานจากคุณพ่อของคุณ แต่ความจริงนั้น คุณเป็นเบาหวานเพราะพฤติกรรมของคุณมากกว่า คุณกินอาหารดีๆ แพงๆ อย่างไม่บันยะบันยัง คุณกินเหล้าจะแบบสังคมหรือ ไม่สังคมก็ตาม แต่ก็กินมานาน จนกระทั่ง ทั้งตับใหญ่และตับอ่อนของคุณทนไม่ไหว คุณจึงต้องเป็นทั้งเบาหวานและโรคหัวใจ และที่พิสูจน์เห็นได้ชัดว่า คุณเป็นเบาหวานเพราะพฤติกรรมของคุณเอง ไม่ใช่พันธุกรรม ก็เห็นไหมล่ะเพียง 4-5 วันที่คุณเข้าคอร์สสุขภาพ คุณเลิกกินแบบเก่า คุณเลิกเครียด หยุดกินเหล้าและคุณตื่นตี่สี่ ลุกขึ้นมาออกกำลังกายกับเราทุกวัน คุณก็ดีขึ้นทันที เป็นคนละคน"

เป็นความจริงครับ สำหรับโรคเบาหวานและโรคหัวใจท่านนี้ ท่านกินอาหารที่ถูกต้อง หยุดกินเหล้าและออกกำลังกาย แก้พฤติกรรมเก่าๆ จากการที่ท่านทำลายตัวเองมาเป็นหยุดทำลาย ท่านก็ดีขึ้นทันที

คุณป้าอีกคนหนึ่งเป็นพยาบาลเก่า อายุ 67 ปี สมัยเป็นพยาบาลท่านก็ทำงานหนักมาก พอเกษียณท่านก็งานหนักเกี่ยวกับครอบครัว ท่านเป็นเบาหวาน ต่อจากนั้นเส้นเลือดในสมองแตก เป็นอัมพาตทั้งตัวเดินไม่ได้ระบบขับถ่ายบังคับไม่ได้เลย เวลามาที่คอร์ส ท่านนั่งรถเข็นมา

เข้าคอร์สได้ 6 วัน ท่านเปลี่ยนพฤติกรรมเก่าๆ หมด กินอาหารตามสูตร แม้ว่าจะเดินออกกำลังไม่ได้แต่ท่านก็นั่งออกกำลังกาย และท่านก็เลิกเครียด

แล้วท่านก็เดินได้ แม้จะกะโผลกกะเผลกแต่ท่านก็ใช้ไม้เท้ายันพอเดินได้ หัวเราะได้หน้าเริ่มมีสี แถมยังร้องเพลงให้เพื่อนๆ ฟังได้เสียด้วย

ท่านหายจาก "โรคเราทำ"

สาทิส อินทรกำแหง

อ่านต่อตอนที่84

[กลับไปสารบัญชีวจิต]   [BACK TO LISTS - FOODS]

main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600