|
คำถามนี้เป็นคำถามฮิตคำถามหนึ่งค่ะที่หมอได้ฟังเสมอมา บางรายมาเริ่มถามตั้งแต่ตัวเองเริ่มท้องด้วยความที่อยากให้ฟันของลูก
ที่อยู่ในท้องสวย บางรายมาถามตั้งแต่ลูกยังเล็กเลย เพื่อหวังผลในอนาคต
ฟันลูกจะได้สวย เอาละค่ะเห็นทีวันนี้หมอจะต้องเฉลยให้ทราบกันเลยดีกว่า
มาเริ่มกันตั้งแต่คุณแม่เริ่มตั้งครรภ์เลยค่ะ
ฟันของลูกในท้องนั้นจะเริ่มสร้างเป็นหน่อฟันเล็กๆ
ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้เพียง 6 สัปดาห์ ดังนั้นอาหารที่คุณแม่
ทานเข้าไปนั้นจึงไปมีผลช่วยให้ฟันของลูกดีด้วย
ระยะที่ลูกอยู่ในท้องนี้ถ้าคุณแม่ได้รับอาหาร แร่ธาตุ
และแครอรี่ไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดความผิดปกติขึ้นกับฟัน
และอวัยวะอื่นๆ ของลูกได้
คุณแม่จึงควรรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วนและเพียงพอ
ต่อความต้องการ โดยมีหลักการง่ายๆ ดังนี้
- อาหารพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่ และถั่ว ควรรับประทานมากขึ้น
จากที่เคยรับประทานอยู่
- วิตามิน แร่ธาตุจากผักใบเขียวและผลไม้ ควรรับประทานมากขึ้น
ที่สำคัญคือ แร่เหล็กที่มีมากในเนื้อและตับ
- อาหารพวกแป้ง น้ำตาล ข้าว ขนมหวานต่างๆ ให้รับประทานเท่าเดิม
- ไขมัน ควรลดลงในรายที่มีสะสมเพียงพอแล้ว
- น้ำควรได้รับเพิ่มขึ้น
- นมสดควรดื่มให้มาก อย่างน้อยต้องให้ได้วันละ 2 แก้ว
ทีนี้เราจะมากล่าวถึงเด็กที่คลอดออกมาแล้ว
โตพอที่จะทานอาหารต่างๆได้ เราจะให้ลูกทานอะไรดี
ฟันของลูกจะได้สวย ไม่ผุกร่อนไป
ก่อนอื่นคงต้องอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับการเกิดฟันผุว่าจริงๆ
แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไร ฟันผุเกิดจากการที่เราแปรงฟันไม่สะอาด
ทำให้มีแผ่นคราบฟัน (Plaque) ติดต่ออยู่บนตัวฟัน แผ่นคราบฟันนี้
จะมีเชื้อจุลินทรีย์อาศัยอยู่มากมาย ทีนี้ถ้าเรารับประทานอาหารพวกแป้ง
และน้ำตาลเข้าไป เชื้อโรคนี้ก็จะสร้างกรดได้จากแป้งและน้ำตาลเหล่านั้น และกรดนี้เองที่ไปกัดกร่อนฟัน ทำให้เกิดฟันผุขึ้น จะเห็นได้ชัดว่า ปัญหาฟันผุเกิดจากการที่เราทานแป้งและน้ำตาลเข้าไป
แต่อย่างที่ทราบอยู่แล้วว่า ในแต่ละวันเราก็ยังจำเป็นต้องทานแป้ง
และน้ำตาลบ้างเพื่อเป็นพลังงานแก่ร่างกาย
แล้วทำอย่างไรดีที่จะให้ทานแป้งและน้ำตาล
แล้วมีโทษต่อฟันน้อยที่สุด เรามาแยกพิจารณาเป็นข้อๆ ดีกว่าค่ะ เพื่อให้เข้าใจง่าย
- เกี่ยวกับลักษณะของอาหาร ถ้าเป็นชนิดที่เหนียวติดฟันนาน
ผลร้ายต่อฟันก็จะยิ่งหนัก เช่น พวกท้อฟฟี่, กะละแม, ตังเม
พวกนี้อันตรายต่อฟันมาก
- เกี่ยวกับการรับประทานในมื้อหรือนอกมื้อ การับประทานแป้ง
และน้ำตาลในมื้อนั้นมีผลเสียต่อฟันน้อยกว่าทานนอกมื้อ
พูดง่ายๆ คือถ้าทานในมื้ออาหารเรายังทานพร้อมกับข้าว, ผัก,
เนื้อสัตว์ต่างๆ ผสมคลุกเคล้า หรือบางครั้งทานกับน้ำแกงจืดเป็นต้น ก็จะทำให้ความเข้มข้นของกรดที่จะทำลายฟันลดลง
- เกี่ยวกับความบ่อยครั้งในการทานแป้งและน้ำตาล
มีผลร้ายยิ่งกว่าปริมาณของการทานแป้งและน้ำตาลเสียอีก
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น น้ำอัดลม ถ้าทานเพียง 1 ขวด
แต่นั่งจิบทีละนิดทีละหน่อยจะมีผลร้ายต่อฟันมากกว่า
การดื่มรวดเดียวให้หมด
ในเด็กนั้นอาหารที่ควรเลี่ยงที่สุดคือ ลูกอม ท้อฟฟี่ ช็อกโกแลต
น้ำอัดลม มีผลเสียต่อฟันมากจริงๆ ค่ะ พวกลูกอมต่างๆ นอกจากมีน้ำตาลมากแล้วยังอยู่ในปากของลูกนานด้วย
ส่วนน้ำอัดลมนั้นนอกจากมีน้ำตาลแล้วยังมีกรด (ที่เป็นเหตุให้น้ำอัดลมซ่า) ด้วย คุณพ่อคุณแม่คงเห็นภาพได้เลยว่าจะทำให้ฟันผุได้มากขนาดไหน ดังนั้นหากรักลูกก็คงต้องใจแข็งกับเรื่องเหล่านี้ หมอเองก็มีลูก 2 คนแล้ว
ทราบดีถึงความลำบากในข้อนี้ เพราะเด็กกับขนมหวาน
เป็นของที่แยกกันยาก แต่หากเราพยายามหลอกล่อบ้าง
หรือถ้าลูกโตจนหลอกยากแล้วก็ให้ทานน้อยที่สุด
(ตามด้วยการบ้วนปากหรือแปรงฟัน) ก็จะเป็นการดี
เมื่อลูกกินอาหารได้หลายชนิด สิ่งที่ควรให้ความสำคัญ
เพิ่มมากขึ้นก็คือการดูแลรักษาฟัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่
ที่จะติดตามเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด และสิ่งวิเศษที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่
จะทำให้กับฟันของลูกได้ไม่มีอะไรเกิน "การแปรงฟัน" ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาว่ากันถึงเรื่องการแปรงฟันให้ลูกดีกว่า
ตั้งแต่ฟันน้ำนมซี่แรกของลูกเริ่มขึ้นมา หมอได้แนะนำไปแล้วว่า
ให้ใช้วิธีเช็ดฟันด้วยน้ำต้มสุกอุ่นไปก่อน ทีนี้พอลูกอายุครบ 1 ขวบ เราจะต้องเริ่มแปรงฟันกันละค่ะ
เริ่มจากการหาซื้อแปรงสีฟันให้ลูก คุณพ่อคุณแม่
คงได้พบเห็นโฆษณาแปรงสีฟันเด็กกันมากมายหลายยี่ห้อ
แต่เราจะเลือกอย่างไรดีล่ะ ให้ได้แปรงที่ดีที่สุดสำหรับลูกของเรา
หลักเกณฑ์ง่ายๆ เริ่มจากด้ามแปรงก่อนนะคะ ด้ามแปรงของเด็ก
ควรมีขนาดใหญ่จับถนัดมือ และข้อสำคัญต้องเป็นแบบด้ามตรง ส่วนหัวแปรงนั้นบางยี่ห้อก็ค่อนข้างใหญ่บางยี่ห้อก็เล็ก เราควรเลือกโดยดูว่าความยาวของหัวแปรงควรจะขนาดประมาณฟัน 3 ซี่ของลูก และนอกจากนี้ที่เราต้องเลือกเป็นพิเศษคือ ขนแปรงต้องอ่อนนุ่มค่ะ
ส่วนยาสีฟันนั้นหมอคิดว่าเลือกดูที่เป็นยาสีฟันสำหรับเด็ก
รสชาติจะได้ไม่เผ็ดร้อนจนลูกทนไม่ได้ และควรมีส่วนผสม
ของฟลูออไรด์อยู่ด้วย
คราวนี้ก็มาเริ่มแปรงฟันให้ลูกกันนะคะ เริ่มจากบีบยาสีฟัน
เพียงเล็กน้อยขนาดประมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียวก็พอ
ส่วนท่าทางในการจะแปรงฟันให้ลูกก็คือ ให้ลูกนอนกับพื้น
ศีรษะหนุนตักคุณพ่อหรือคุณแม่ โดยหันหน้าไปทางเดียวกัน
ทั้งผู้แปรงและเด็ก ถ้าแปรงที่ฟันบนก็ให้เด็กเงยหน้ามากหน่อย ส่วนวิธีการในการขยับมือจะไม่เหมือนกับการแปรงฟันผู้ใหญ่
ในเด็กนั้นให้ขยับแปรงไปมาสั้น ๆ ในแนวนอน โดยให้ขนแปรง
ตั้งฉากกับตัวผิวฟัน ขยับมือไปมาประมาณ 20 ครั้งต่อฟันทุก 3 ซี่
การแปรงฟันถ้าจะให้ทั่วถึงควรทำเป็นระบบ คือเริ่มจากแปรง
ที่ด้านติดแก้มก่อนโดยให้เด็กกัดฟันไว้เพื่อที่มืออีกข้างของผู้แปรง
ที่ไม่ได้ถือแปรงอยู่จะได้ใช้ดันแก้มออกไปให้พ้นไม่ให้แปรงไปกระแทก เริ่มแปรงโดยไล่มาตั้งแต่ฟันด้านบน ด้านหลังสุดมาข้างหน้า
จนไปสิ้นสุดที่ฟันหลังอีกข้างหนึ่ง แล้วจึงแปรงด้านติดแก้ม
ของฟันล่างในลักษณะเดียวกัน
ต่อมาจึงแปรงด้านติดลิ้น ให้ลูกอ้าปากกว้างๆ ด้านติดลิ้นนี้
จะแปรงยากสักหน่อย ถ้าเป็นฟันกรามด้านในหากขยับแปรงไปมาไม่สะดวก
อาจใช้วิธีวางแปรงโดยให้ขนแปรงสัมผัสฟันในแนวตั้ง
แล้วดึงออกในทิศทางออกจากคอฟันไปปลายฟัน ถ้าเป็นฟันหน้าด้านติดลิ้น
ก็ให้ใช้วิธีลากแปรงออกจากปากโดยถูจากคอฟันไปยังปลายฟันเช่นกัน ส่วนการแปรงก็ควรเริ่มจากฟันบนแล้ววนไปฟันล่างเช่นกันเพื่อกันการหลงลืม ต่อมาจึงแปรงที่ด้านบดเคี้ยว โดยให้ขนแปรงตั้งฉากกับหน้าตัดของฟัน
ขยับมือไปมาสั้น ๆ
เมื่อแปรงเสร็จจึงให้เด็กบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด ถ้าจะให้สมบูรณ์แบบที่สุดควรตามด้วยการใช้เส้นใยขัดฟัน
(ไหมขัดฟัน หรือ Dental floss) ซึ่งวิธีการใช็ก็คือ ดึงเส้นใยมา 1 ฟุต
แล้วผูกเป็นวงกลมโดยเอาปลาย 2 ข้างมาผูกปมตายเข้าด้วยกัน
แล้วจึงค่อยๆ สอดเข้าไปด้านที่ฟัน 2 ซี่มาชิดกันเข้าไปจนผ่านขอบเหงือก
ลงไปเล็กน้อยให้รอบฟันซี่หนึ่งพร้อมทั้งขยับเส้นใยขึ้นไปด้านบดเคี้ยว แล้วทำซ้ำที่เดิมแต่โอบรอบฟันอีกซี่ที่ชิดกันอยู่
เท่านี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการทำความสะอาดฟันลูก ซึ่งวิธีการที่ว่านี้อาจจะเข้าใจได้ไม่แจ่มแจ้งเท่าสาธิตกับฟันจริง หากมีข้อสงสัยก็ปรึกษาทันตแพทย์อีกทีนะคะ
หมอขอย้ำว่า คุณพ่อคุณแม่ต้องแปรงฟันให้ลูกเอง หรือแปรงตามหลัง
จากที่ลูกแปรงเสมอ เพราะเด็กจะพร้อมที่จะแปรงเองได้สะอาดต่อเมื่อแกอายุ
7 ขวบขึ้นไป ซึ่งหลัง 7 ขวบนี้เราก็ยังคงต้องตรวจเป็นระยะว่า
ลูกแปรงได้สะอาดหรือไม่ดูๆ ก็คล้ายกับจะเป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นภาระสำหรับเรา แต่หมอรับรองค่ะว่าคุ้มมาก ๆ กับการที่ลูกจะได้มีฟันสวย แข็งแรงไม่ต้องผุ
ปวด เด็กจะทรมานมาก
ถ้าท่านผู้อ่านได้มาอยู่ในจุดที่หมอเป็นอยู่ซึ่งต้องพบเห็นเด็กมากมาย เจ็บปวดทรมานกับเรื่องฟันแล้วละก็ท่านคงเห็นว่าเรื่องแปรงฟันให้ลูกนี้
เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จำเป็นต้องทำให้ลูกจริงๆ ค่ะ
|