|
ยารักษาโรคเอดส์ ได้มีการพัฒนาไปค่อนข้างรวดเร็วมาก โดยเฉลี่ยจะมียาใหม่เกิดขึ้นในท้องตลาด (สหรัฐอเมริกา) ประมาณปีละ
1-2 ขนานตลอด ในปัจจุบันมียาต้านเอดส์ที่จำหน่ายอยู่ในอเมริกา 11 ขนาน ในขณะที่ขึ้นทะเบียนอยู่ในประเทศไทยเพียง 8 ขนาน และยังมียาที่อยู่ในขั้นการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพในคน
ที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดภายใน 1-2 ปี อีกราว 4-5 ขนาน
อย่างไรก็ตามยาต่าง ๆ ที่มีอยู่ก็ยังอยู่ใน 3 กลุ่มเดิม คือ
กลุ่มที่เรียกว่า
- "Nucleoside reverse transcriptase inhibitors"
- "Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors" และ
- "Protease inhibitors"
ซึ่งยาหลายตัวมีการดื้อยาเหมือนๆ กัน ถ้าเป็นตัวยาที่อยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน
กล่าวคือ ถ้าดื้อยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มนั้นอาจไม่ได้ผล ที่จะใช้ยาตัวอื่น
ในกลุ่มเดียวกัน ต้องข้ามไปใช้ยากลุ่มอื่น ซึ่งก็ไม่มีให้เลือกมากนัก
นอกจากจะมีการพัฒนาทางด้านปริมาณดังที่กล่าวแล้ว ยังมีการพัฒนา
ทางด้านคุณภาพด้วยค่อนข้างมาก กล่าวคือ ยาต้านเอดส์ตัวใหม่ๆ
จะมีประสิทธิภาพแรงขึ้น ฆ่าเชื้อไวรัสเอดส์ได้มากขึ้น
บางตัวก็มีการพัฒนาขึ้นให้ใช้ได้เพียงวันละครั้ง เพราะออกฤทธิ์ในร่างกาย
ได้ยาวนาน เช่น ยาดีดีไอ ที่รู้จักกันมานาน โดยเดิมทานวันละ 2 ครั้ง ตอนนี้พบว่าสามารถรวบทานเป็นวันละมื้อเดียว ก็ได้ผลดีเท่ากัน
ทำให้สะดวกมากขึ้นในการใช้ยา
ระยะเวลาในการเริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ ก็ได้มีการพัฒนาแนวคิดไปมาก ในปัจจุบันแนะนำให้ใช้ยิ่งเร็วยิ่งได้ผลในระยะยาวที่ดี เพื่อความคุ้มค่า
ในการใช้ยา ปัจจุบันแนะนำว่า ให้เริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสเอดส์
ถ้าระดับภูมิคุ้มกันเริ่มจะต่ำลง โดยดูจากระดับ CD4+cell ถ้าต่ำกว่า
500 ตัวก็เริ่มให้ยาได้ แม้จะยังไม่มีอาการอะไร ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการนำการวัดปริมาณไวรัสเอดส์ในเลือดมาร่วมเป็นเกณฑ์ตัดสิน
การเริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มี
CD4+cell เกิน 500 ถ้าระดับไวรัสในเลือดเกิน 10,000 ตัวขึ้นไป
ก็ควรเริ่มให้ยาแล้ว เหตุผลที่แนะนำให้เริ่มการรักษาแต่เนิ่นๆ
เพราะถ้ายิ่งรอนาน เชื้อเอดส์จะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้ยาก
ต่อการลดจำนวนลง และเชื้อที่ยังหลงเหลืออยู่ เมื่อมีการแบ่งตัว
ก็อาจเกิดการแปลงพันธุ์ ทำให้ได้เชื้อที่ดื้อยาเร็ว
นอกจากนี้ ปริมาณหรือจำนวนตัวยาที่จะใช้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
ก็ต้องเป็น 2-3 ตัวพร้อมกัน เป็นอย่างน้อย ห้ามใช้เพียงตัวเดียวโดดๆ
เพราะจะเกิดการดื้อยาง่าย เนื่องจากยาโดดๆ ตัวเดียวลดปริมาณเชื้อได้ไม่มาก
ต้องใช้ยา 2-3 ตัวขึ้นไปจึงสามารถลดปริมาณเชื้อลงมาจนตรวจไม่พบได้
หลายๆ ท่านอาจเคยได้อ่านพบข่าวคราวของ Dr.David Ho จากกรุงนิวยอร์กว่า
ใช้ยา 3-4 ตัวร่วมกันในคนไข้ จะทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ในเลือดลดลงมา
จนถึงระดับที่ตรวจไม่พบในคนไข้ส่วนใหญ่ จึงหวังว่าถ้าให้ยาสูตรแรงๆ
แบบนี้ไปสัก 3 ปี ไวรัสใหม่ไม่แบ่งตัว เพราะถูกยากดไว้ ขณะเดียวกัน
ไวรัสเดิมในร่างกาย รวมทั้งที่อยู่ตามเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ก็จะค่อยๆ
ตายไปตามอายุขัยของมัน ในที่สุดคนไข้นั้นอาจกำจัดเชื้อเอดส์
ออกจากร่างกายได้จริงๆ คือ สามารถรักษาให้หายขาดได้
คาดว่าภายใน 1-2 ปี จากนี้ นักวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ทฤษฎีที่ท้าทายนี้ได้ว่า
เป็นจริงหรือไม่ โดยการหยุดยาในคนไข้ที่กินยามานานพอ แล้วค้นหา
โดยวิธีการทุกรูปแบบว่า ยังมีเชื้อเอดส์หลงเหลืออยู่ในร่างกายหรือไม่ ?
ดังนั้น ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า อาจมีข่าวดีสำหรับชาวโลก ว่า
โรคเอดส์สามารถรักษาให้หายขาดได้
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านไวรัสเอดส์เดียวๆ เช่น AZT ก็ยังเป็นมาตรฐานทั่วโลกในการป้องกันไม่ให้ลูกที่เกิดมาใหม่ติดเอดส์จากแม่ได้ ทั้งนี้เป็นผลการศึกษาที่ถูกเปิดเผยออกมา เมื่อต้นปี 2537 ว่า
หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์ ถ้าได้รับยา AZT ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 14 สัปดาห์
เป็นต้นไป จนถึงครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยให้ยา AZT จนเด็กคลอดจึงหยุด
และให้ยา AZT แก่ทารกต่ออีก 6 สัปดาห์หลังคลอด จะสามารถลดอัตรา
การติดเอดส์จากแม่สู่ลูกลงได้จาก 25% ลงเหลือเพียง 8.3% ลดลงได้
2 ใน 3 แสดงว่า AZT สามารถช่วยลดชีวิตทารกไม่ให้ติดเอดส์ได้
จากผลการติดตามโครงการ "ช่วยลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก" ของสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นโครงการที่รับบริจาคเพื่อซื้อยา AZT ให้กับหญิงตั้งครรภ์ที่ยากจนทั่วประเทศ โครงการนี้เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าโสมสวรี พระวรราชาทินัดดามาตุ และได้รับการสนับสนุนจาก
กระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่า การให้ยา AZT แก่หญิงตั้งครรภ์ไทยที่ติดเอดส์
ก็ได้ผลในการลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก ได้ในระดับที่ใกล้เคียง
กับการศึกษาในสหรัฐอเมริกา คือ ลดลงในราว 2 ใน 3 จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์
ส่วนเรื่องวัคซีนเอดส์นั้นก็ได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ เช่นกัน แม้ว่าช่วงหนึ่ง
อาจจะชะลอตัวไปบ้าง เพราะผลไม่สู้ดี แต่เนื่องจากยายังไม่รู้ว่า
จะรักษาหายขาดได้หรือไม่ และยังมีราคาแพงมาก ยากที่ประเทศจนๆ
ซึ่งมีคนที่ติดเอดส์มากๆ จะสามารถนำไปใช้ได้ ประกอบกับการประกาศนโยบายของประธานาธิบดีคลินตัน ของสหรัฐอเมริกาว่าจะต้องคิดค้นวัคซีนเอดส์ให้ได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า
(นับตั้งแต่ 2540 ที่ประกาศ) จึงทำให้เกิดความสนใจในการพัฒนาวัคซีนเอดส์
ขึ้นมาใหม่อีกรอบ โดยมีการคิดค้นวิธีการทำวัคซีนใหม่ ๆ เช่น DNA
หรือมีสายพันธุ์ไวรัสเอดส์ ที่เป็นปัญหาในประเทศกำลังพัฒนาผสมอยู่
ในวัคซีนเอดส์ที่ทดลองด้วย เป็นต้น
การศึกษาส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นที่ทดสอบความปลอดภัย และดูการตอบสนอง
ทางภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทยเองก็มีการทดสอบในลักษณะนี้อยู่หลายราย
เป็นที่หวังว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะมีวัคซีนที่พร้อมจะก้าวสู่ขั้นตอนการทดสอบ
ประสิทธิภาพ คือ ทดสอบในประชากรกลุ่มเสี่ยง เพื่อดูว่าจะป้องกันได้ผลจริงหรือไม่ ถ้าโชคดีพบว่าป้องกันได้จริง ทั่วโลกก็คงจะมีโอกาสได้ใช้วัคซีนนั้นในอีก
3-4 ปีหลังเริ่มขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพ ถ้าทดสอบแล้วไม่ได้ผล
ก็ต้องนอนรอคอยออกไปอีก |