สูตรการจ่ายยาต้านไวรัสสูตรค็อกเทล ที่มียาประเภทโพรทีเอส อินฮิบิเตอร์ ร่วมด้วย
(คือตัวยาที่ 1 ของทุกสูตร) มีดังนี้
สูตร 1 นี้ใช้ยา 3 ชนิด 21 เม็ดทานบางเวลาต่างกัน
บางเวลาร่วมกันได้ ดังนี้
1.1 ริโทนาเวีย RITONAVIR 100 มก. 6 เม็ด 2 เวลาต่อวัน พร้อมอาหาร
และจะต้องค่อยๆ เพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 6 เม็ดต่อวันใน 14 วัน
(วันที่ 1-2 ทาน 3 เม็ด, 3-5 ทาน 4 เม็ด, 6-13 ทาน 5 เม็ด, วันที่ 14 ไปแล้วทาน 6 เม็ด)
1.2 เอแซดที (AZT) หรือซิโดวูดีน ZIDOVUDINE 100 มก. 3 เม็ด 2 เวลาต่อวัน
1.3 ดีดีซี (ddC) ZALCUTABINE 0.75 มก. 1 เม็ด 3 เวลาต่อวัน
สูตร 2 ยา 4 ชนิด วันละ 29 เม็ด
ทานร่วมกันบ้างแยกกันบ้างในบางเวลาของแต่ละวัน
2.1 ริโทนาเวียร์ RITONAVIR 100 มก. 6 เม็ด 2 เวลาต่อวัน พร้อมอาหาร
และจะต้องค่อยๆ เพิ่มปริมาณยาขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 6 เม็ดต่อวันใน 14 วัน
(วันที่ 1-2 ทาน 3 เม็ด, 3-5 ทาน 4 เม็ด, 6-13 ทาน 5 เม็ด, วันที่ 14 ไปแล้วทาน 6 เม็ด)
2.2 สะควินาเวียร์ ZAQUINAVIR 200 มก. 3 เม็ด 3 เวลาต่อวัน
กินภายใน 2 ชั่วโมงหลังอาหารหนัก
2.3 เอแซดที (AZT) ZIDOVUDINE 100 มก. 3 เม็ด 2 เวลาต่อวัน
2.4 3 ทีซี (3TC) หรือแลมไมวูดีน LAMIVUDINE 150 มก. 1 เม็ด 2 เวลาต่อวัน
สูตร 3 ยา 3 ชนิดมี
3.1 อินดีนาเวียร์ INDINAVIR 400 มก. 2 เม็ด 3 เวลาต่อวัน-ทานในขณะท้องว่าง 1-2 ชม.
หลังอาหารและต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5 ลิตรต่อวัน
3.2 เอแซดที ZIDOVUDINE 100 มก. 3 เม็ด 2 เวลาต่อวัน
3.3 ดีดีไอ DIDANOSINE 100 มก. 2 เม็ด 2 เวลาต่อวัน-ทานในขณะท้องว่าง
ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์, ถ้าคนไข้น้ำหนัก 60 กก. ลงมา ลดปริมาณยา
เป็นขนาด 125 มก. 2 เวลาต่อวัน
สูตร 4 ยา 3 ชนิด
4.1 เนลฟินาเวีย (Nelfinavir) 250 มก. กินครั้งละ 3 เม็ด 3 เวลา
จะต้องกินพร้อมอาหาร หรืออาหารว่าง
4.2 ดี 4 ที (d4T) หรือสตาวูดีน (Stavudine) ขนาด 40 มก. ครั้งละ 1 เม็ด 2 ครั้งต่อวัน
(แต่สำหรับผู้ที่มีน้ำหนัก 60 กก. กินขนาด 30 มก. 2 ครั้งต่อวัน)
4.3 ดีดีไอ (ddi) ขนาด 100 มก. 2 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 เวลา กินเวลาท้องว่าง
และถ้าเป็นผู้ที่น้ำหนัก 60 กก. ลงมาทาน ขนาด 125 มก. 2 ครั้งต่อวัน
สูตร 5 มียา 3 ชนิด
5.1 สะควินาเวีย (Squinavir) ขนาด 200 มก. กินครั้งละ 3 เม็ด วันละ 3 เวลา
ควรกินหลังจากทานอาหารภายในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง ถ้ากินตอนท้องว่าง
ยาจะไม่ได้ผลต้านไวรัส
5.2 ดี 4 ที (d4T) ขนาด 40 มก. ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง (สำหรับผู้ที่มีน้ำหนัก 60 กก.
ให้กินขนาด 30 มก. 2 ครั้งต่อวัน)
5.3 3 ทีซี (3TC) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แลมไมวูดีน (Lamivudine) ขนาด 150 มก.
ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
ทุ่มทั้งตัวให้ค็อกเทลยาต้านไวรัส คุ้มหรือไม่
จากตัวอย่าง 5 สูตรนี้ แม้จะรู้ดีว่ามีราคาแพง ซึ่งถือว่าเป็นยาคนรวย
แต่ก็มีผู้ติดเชื้อฯ ในเมืองไทยไม่น้อยที่ร่วมโครงการโพรทีเอส อินฮิบิเตอร์ นี้
การเอาสูตรมาให้ดูทั้งหมดก็เพราะโดยทั่วไป หมอจะให้กินสูตรต่างๆ สลับกันไป
เมื่อทานสูตรใดสูตรหนึ่งไประยะหนึ่ง ตามแต่หมอจะเห็นสมควร เพื่อไม่ให้เกิดการดื้อยา
แต่เมื่ออ่านดูโดยละเอียดแล้ว ก็เข้าใจถึงความยุ่งยากของผู้เลือกวิธีสู้ไว้รัสแบบนี้อย่างดี
ผู้ทานยาสูตรรายหนึ่งเปิดเผยถึงกลวิธีที่เขาใช้ เพื่อให้ตัวเองกินยาได้ครบถ้วน
ไม่ขาดตกบกพร่องว่า "มีนาฬิกาปลุกไว้คอยเตือนไม่ให้ลืม และบ่อยครั้งต้องตื่นขึ้นมากลางดึก
เพื่อจะกินยาให้ครบ"
อีกคนหนึ่งบอกว่าใช้เวลาแวะเวียนไปคุยกับหมออยู่เป็นเดือนกว่าจะตัดสินใจ
กินยาสูตรค็อกเทล "ผมต้องการเวลาที่จะทำตัวให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง
วิธีชีวิตตนเองให้เข้ากับยา"
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่จะมีคนที่ปฏิบัติตัวได้ดีอย่างไม่มีบกพร่องมากนัก
เพราะรายงานติดตามการใช้ยาสูตรค็อกเทลบอกว่า
ใน 100 คน 43 คน ไม่ได้ทานยาตามที่หมอสั่งเคร่งครัดนัก
18 คน บอกว่าเฉลี่ยสองวันลืมกินยาไปมื้อหนึ่ง
25 คน ไม่รู้ว่ามียาที่จะต้องกินในเวลาที่กำหนดให้เป็นพิเศษ เช่น
ต้องกินในขณะที่ท้องว่าง หรือบางชนิดกินในขณะที่ท้องอิ่ม เป็นต้น
หมออาจจะบอกว่า เป็นความผิดของคนไข้ ที่ไม่ปฏิบัติตามใบสั่งยาเคร่งครัด
แต่ถ้าเราจะต้องกินยาถึงวันละประมาณ 20-30 เม็ดต่อวันในเวลาที่แตกต่างกัน
และเงื่อนไขสารพัด ก็คงจะอดลืมไม่ได้
อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ที่ทำให้การติดตามผลพบว่า มีอาการดื้อยา 6 ชนิด
ในจำนวนยาต้านไวรัสทั้งหมด 11 ชนิดที่ใช้กันอยู่
ข้อถกเถียงจึงมีต่อไปว่า จะลดความยุ่งยากในการกินยาพวกนี้ได้อย่างไร
บางคนบอกว่าจะต้องลดมื้อการกินยาลงให้เหลือแค่ 2 มื้อ หรือ ลดจำนวนยา
ลงเป็น 15 เม็ดแทน 30 เม็ด
ดร.มากาเร็ต เชสนีย์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แห่งซานฟรานซิสโก
กล่าวว่า "แม้เราจะพยายามลดจำนวนยาลงเป็น 15 เม็ดต่อวัน แทน 30 เม็ด
ก็ใช่ว่าความไม่เคร่งครัดในการกินยาจะหมดไป"
"...ถึงแม้เราจะคิดว่ามันช่วยได้บ้าง แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการปรับวิถีชีวิตให้ขึ้นต่อการกินยา
เช่นปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ยังไม่เปิดเผยตัวว่าติดเชื้อฯ และจะต้องกินยาในที่ๆ มีคนอื่นอยู่
เช่นในที่ทำงาน ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้"
ดูเหมือนว่าเรื่องที่กล่าวมานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสรรพคุณยา แต่ทุกฝ่ายก็ยอมรับว่า
เป็นปัญหาทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว จะมีประโยชน์อะไร ที่คนไข้ไม่สามารถกินยาอย่างเคร่งครัด
เพราะจะไม่เกิดผลทางการรักษาแต่อย่างใดทั้งยังไม่สามารถติดตามผลการรักษาได้อีกด้วย
"การลืมกินยาไปบ้าง หรือกินยาในเวลาที่ไม่สมควร ทำให้ยาไม่แสดงผล
หรืออีกทีหนึ่งก็อาจจะเกิดผลร้ายแต่ร่างกายด้วยซ้ำไป"
ดร.มากาเร็ต เชสนีย์ แสดงความเห็นตอนหนึ่งว่า การที่วงการแพทย์ละเลยความสำคัญ
ในเรื่องความขี้ลืมกินยานี้ สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของการสาธารณสุขด้วย
ความเห็นเรื่องแนวคิดการแพทย์แผนใหม่ ที่คนไข้จะต้องปรับวิถีชีวิตตนเองอย่างฉับพลัน
และมอบชีวิตทั้งหมดให้กับการกินยา การลืมกินยาครั้งหนึ่ง ให้ผลร้ายเสียยิ่งกว่าการทำบาป
และจะสร้างความยุ่งยากให้กับทั้งแพทย์ และรบกวนจิตใจคนไข้จนกระทั่งการรักษาพยาบาล
กลายเป็นภาระที่หนักหน่วง และบัดนี้ก็กลายเป็นปัญหาที่กระทบกระเทือนถึงสังคม
และระบบการแพทย์ทั้งระบบเลยทีเดียว
การละเลยจุดที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ เกิดจากอะไร
ส่งผลร้ายต่อการรักษาเยียวยามากจนกระทั่งเป็นกฎเหล็กที่ละเมิดมิได้
หรือว่ามันกำลังแสดงให้เห็นว่าระบบการแพทย์ปัจจุบันกำลังมีความต้องการครอบงำ
ชีวิตจิตใจผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อมิให้คนถอนตัวจากความเชื่อ
และการขึ้นต่อการพึ่งแพทย์
เหตุที่ก่อให้เกิดข้อสังเกตและคำถามที่น่ารังเกียจเหล่านี้ เริ่มมีเสียงดังมากขึ้น
พร้อมๆ กับมีความสำคัญเพิ่มขึ้นทุกทีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อการทานยาอย่างเคร่งครัด
แล้วก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่หมอที่จ่ายยาเองก็ไม่รู้ว่า จะทำอย่างไรกับมันนั้น
สำหรับชีวิตคนแล้วมันเป็นเรื่องโหดร้ายทีเดียว
(จากวารสาร "นามชีวิต")
|