เรื่องของอาหารจากพืชตัดต่อยีนหรือจีเอ็มฟู้ด (GM Food )
หรือจีเอ็มโอ ( GMO จาก Geneti cally Modified Organism )
กำลังเป็นประเด็นใหญ่บนเวทีโลก และลามเข้าสู่ประเทศไทยด้วย
อีกเรื่องหนึ่ง ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการผลิตอาหารจากฟาร์มเลี้ยงชาวโลก
และกำลังเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความวิตกกับวงการวิทยาศาสตร์
การแพทย์มากอีกด้วย คือ ปัญหาการดื้อยาปฏิชีวนะของแบคทีเรีย ที่มีแนวโน้มจะมีความแกร่งกล้าในการดื้อยาปฏิชีวนะมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งกลายเป็น ซูเปอร์เชื้อโรค
หรือ ซูเปอร์บัก ( Superbug )
ซูเปอร์บักในอนาคต ถ้าไม่ถูกจัดการให้ได้เสียก่อน
ก็จะดื้อยาปฏิชีวนะทุกชนิดที่มีอยู่ กลายเป็นซูเปอร์แบคทีเรีย
ที่ไม่มียาปฏิชีวนะชนิดใดจะปราบได้
ที่มาของปัญหาพัฒนาการของเชื้อแบคทีเรียเป็นซูเปอร์แบคทีเรีย
มีส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญคล้ายคลึงกับกรณีของอาหารจีเอ็ม คือ ความพยายามในการเพิ่มผลผลิตของอาหารให้ได้มากที่สุด
โดยจะให้มีคุณภาพดีที่สุดแต่กลับมีผลข้างเคียงอย่างที่ไม่คาดกันมาก่อน
ว่าจะเป็นผลร้ายที่รุนแรง
ในกรณีของอาหารจีเอ็ม มีการตัดต่อยีนโดยอาศัยสื่อ
ดังเช่น แบคทีเรียในการนำยีนจากสิ่งแปลกปลอม
ตัดต่อเข้าไปกับยีนของพืช ทำให้ได้พืชที่มีผลผลิตดีขึ้น
มีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืชสูง
และมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร
เรื่องของอาหารจีเอ็ม เป็นประเด็นเรื่องใหญ่ระดับโลก
มีกลุ่มประเทศที่ส่งเสริม (ดังเช่น สหรัฐอเมริกา จีน ออสเตรเลีย)
กลุ่มประเทศที่คัดค้าน (ดังเช่น กลุ่มประเทศยุโรป)
และกลุ่มประเทศที่สามที่กำลังสับสน (ดังเช่น ประเทศไทย)
สำหรับกรณีของพัฒนาการเชื้อแบคทีเรีย เป็นซูเปอร์แบคทีเรีย มีความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะสูง ที่คล้ายคลึงกับกรณีของอาหารจีเอ็ม คือ กรณีที่กำลังเกิดขึ้นในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โดยมีฟาร์มจำพวกพืชประดับ
เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
ปัญหาของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ที่นำไปสู่เรื่องของซูเปอร์แบคทีเรีย คือ กรณีของการผสมยาปฏิชีวนะใส่เข้าไปในอาหาร หรือในน้ำเลี้ยงสัตว์
มิใช่เฉพาะฟาร์มเลี้ยงสัตว์เท่านั้น ฟาร์มผลิตพืชพันธุ์บางชนิด ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้แบคทีเรียเพิ่มขีดความสามารถ
ในการต้านยาปฏิชีวนะด้วย ดังเช่น ฟาร์มกล้วยไม้
ปัญหาแบคทีเรียกำลังมีความสามารถในการดื้อยาปฏิชีวนะสูงขึ้น เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวงการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพทั่วโลก แต่เป็นปัญหาที่ไม่เด่นไม่ดังเท่ากรณีของอาหารจีเอ็ม
หรือโรคเอดส์มาก่อน จนกระทั่งถึงกลางปี ค.ศ. 1999
จึงมีกลุ่มประเทศที่ออกมาแสดงจุดยืน คัดค้านการใช้ยาปฏิชีวนะ
กับอาหารเลี้ยงสัตว์อย่างชัดเจน ซึ่งก็เป็นกลุ่มประเทศที่กำลังต่อต้าน
เรื่องของอาหารจีเอ็มในปัจจุบันอยู่ คือ กลุ่มประเทศในยุโรปนั่นเอง
ในประวัติศาสตร์วงการแพทย์ของโลก ก้าวสำคัญที่สุดก้าวหนึ่ง
ของการทำสงครามต่อสู้กับเชื้อโรคของมนุษยชาติ คือ
การค้นพบเพนิซิลลินอย่างบังเอิญโดย อเล็กซานเดอร์ เฟลมิง
ในปี ค.ศ. 1928 เพราะทำให้มนุษย์มียาวิเศษ คือ
ยาปฏิชีวนะรักษาโรคอันเกิดจากเชื้อแบคทีเรียได้
หลังจากที่มนุษย์ได้มีการพัฒนายาปฏิชีวนะขึ้นมา
อย่างมากมายหลากหลายชนิด และสามารถปราบเชื้อแบคทีเรียได้อย่างดี
ทว่า ต่อๆ มาแบคทีเรียเอง ก็ได้พัฒนาการต่อต้านยาปฏิชีวนะเรื่อยมา
มีเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้มากขึ้น
จนกระทั่งเป็นที่หวั่นวิตกกันในปัจจุบันว่าสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติแล้ว และมีการเรียกร้องโดยวงการแพทย์ทั่วโลกให้ร่วมมือกันอย่างจริงจัง
กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันหลายเท่า ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ต้นเหตุใหญ่ของการดื้อยาปฏิชีวนะ
มีทั้งจากการใช้ยาปฏิชีวนะกันอย่างแพร่หลายเกินไป
คนป่วยที่ละเลยคำสั่งของแพทย์ที่ให้ใช้ยาปฏิชีวนะจนครบสูตรหรือชุด
และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เกี่ยวกับการเก็บยาปฏิชีวนะ แล้วก็การใช้ยาปฏิชีวนะทางด้านกสิกรรม
มีตัวอย่างข้อมูลที่ชัดเจนว่า เฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว
ในแต่ละปีทุกวันนี้ เจ้าของฟาร์มใช้ยาปฏิชีวนะมากถึง 50 ล้านปอนด์
ใส่เข้าไปในอาหารเลี้ยงสัตว์ ในน้ำ ในบ่อเลี้ยงปลา
และในยาฉีดฟาร์มกล้วยไม้
สำหรับสัดส่วนของสัตว์เลี้ยงที่ได้รับยาปฏิชีวนะ สรุปได้ว่า
อย่างน้อยร้อยละ 60 ของสัตว์เลี้ยงจำพวก โค แกะ หมู และไก่
ในสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันได้ถูกป้อนด้วยยาปฏิชีวนะ
เพื่อการเพิ่มผลผลิตและป้องกันการระบาดของเชื้อโรค
สภาพการณ์หนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น คือ การให้ยาปฏิชีวนะแก่สัตว์
ในปัจจุบันจะให้ไม่ว่าสัตว์กำลังป่วยหรือไม่ วงการวิทยาศาสตร์
เชื่อว่า จากการให้ยาปฏิชีวนะแก่สัตว์อย่างกว้างขวาง และอย่างไม่เลือกว่าสัตว์จะป่วยหรือไม่เป็นสาเหตุใหญ่ทำให้
แบคทีเรียพัฒนาการดื้อยาของแบคทีเรียเอง
เมื่อมีการให้ยาแก่สัตว์ในฟาร์มอย่างมาก
ก็เป็นไปได้ว่าแบคทีเรียที่เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะขึ้นมาได้แล้ว
ก็จะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยทางอาหารได้
และก็เริ่มมีการตรวจพบกรณีที่แบคทีเรียดื้อยาจากเนื้อสัตว์
ที่ระบาดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์บ้างแล้ว
ยาปฏิชีวนะหลายชนิด ที่มีการอนุญาตให้ใช้กับสัตว์
ก็เป็นชนิดเดียวกับที่ใช้รักษาคนป่วยด้วย ซึ่งก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่แบคทีเรียจะดื้อยาที่ใช้รักษาคนป่วย และก็มีผลการวิจัยล่าสุดที่ชี้แสดงว่า ยาปฏิชีวนะบางชนิด ซึ่งเคยใช้รักษาโรคจากแบคทีเรียอย่างได้ผลมาก่อนในมนุษย์ แต่หลังจากที่ได้มีการใช้ยาปฏิชีวนะกับสัตว์ในฟาร์มไม่ช้านานต่อมา ก็เริ่มมีการดื้อยาปฏิชีวนะชนิดนั้นๆ ในโรงพยาบาลเกิดขึ้น
สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับจุดยืนประเทศต่างๆ
ในเรื่องของอาหารสัตว์เสริมยาปฏิชีวนะ คือ เมื่อเดือนมิถุนายน
ค.ศ. 1999 กลุ่มประเทศในยุโรปได้ห้ามการใช้ยาปฏิชีวนะทุกชนิด
ในอาหารสัตว์แล้ว และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาก็กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์
ว่า ไม่แสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาเรื่องการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียเท่าที่ควร
ตัวอย่างชัดเจน คือ รัฐบาลสหรัฐลงทุนในเรื่องของการติดตาม
เฝ้าระวังปัญหาการดื้อยาของแบคทีเรียน้อยกว่าการลงทุน
เรื่องของโรคเอดส์ ถึงประมาณหกร้อยเท่าทีเดียว
ทั้งๆ ที่ปัญหาจากเรื่องการดื้อยาของแบคทีเรียยังมีผลต่อคนเป็นจำนวนมาก ในขณะที่ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคเอดส์ เป็นปัญหาเกี่ยวกับคน
เป็นจำนวนเพียงส่วนน้อยกว่าอย่างมาก
สำหรับวงการวิทยาศาสตร์ ในระยะไม่กี่ปีมานี้ เริ่มมีการก่อตั้งกลุ่มหรือเครือข่ายระดับนานาประเทศ โดยความสนับสนุนขององค์การระหว่างประเทศดังเช่น สหประชาชาติ และบริษัทยาผู้ผลิตยาปฏิชีวนะเองบางบริษัท เพื่อทำงานเฝ้าระวัง และหาวิธีต่อสู้ปัญหาเรื่องแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะที่กำลังเกิดขึ้น
ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ดังเช่น โครงการชื่อ " SENTRY " ( ยามเฝ้าระวัง ) ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน มีศูนย์กลางอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ผู้สนับสนุนหลักคือ บริษัทยาแห่งหนึ่ง มีโรงพยาบาลอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกร่วมในเครือข่ายนี้ด้วยจำนวนมากกว่า 80 แห่ง
สงครามระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ มีแนวโน้มจะเป็นสงครามที่ยาวนานในสภาพที่เป็นอยู่
ฝ่ายแบคทีเรียดูจะเป็นฝ่ายกำลังได้เปรียบ
งานนี้ เป็นงานของนักวิทยาศาสตร์โดยตรงแต่ผู้คนทั่วไปสามารถมีส่วนช่วยได้ ด้วยหลักปฏิบัติสามประการดังต่อไปนี้ :
หนึ่ง : เมื่อได้รับยาปฏิชีวนะตามใบสั่งแพทย์
ให้กินยาจนครบชุด อย่าหยุดเพียงเมื่ออาการดีขึ้น
เพราะจะเป็นโอกาสให้แบคทีเรียพัฒนาการต่อต้านยาปฏิชีวนะได้
สอง : อย่าใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ
ให้ใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น
สาม : อย่าเก็บยาปฏิชีวนะเอาไว้เอง ถ้ามีอยู่ก็ให้ทิ้งไปเสีย
แพทย์เท่านั้นที่ทราบว่า เมื่อเกิดอาการป่วยจะต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่
อย่างไร แค่ไหน !
|