มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ คัดลอกจากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 22 ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ 2541]

โรคหืด…รักษาหายได้จริงหรือ ?


เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา ศ.นพ.ชัยเวช นุชประยูร นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย และประธานชมรมผู้ป่วยโรคหืด เป็นประธานเปิดงาน "วันนัดพบผู้ป่วยโรคหืดครั้งที่ 4" ประจำปี 2540 จัดโดยชมรมผู้ป่วยโรคหืด สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย และบริษัท แกล็กโซเวลคัม (ประเทศไทย) จำกัด เน้นหัวข้อหลัก

"โรคหืด…รักษาหายได้จริงหรือ"

ตั้งแต่เวลา 12.30-16.00 น. ณ ห้องมยุรา โรงแรมเมอริเดียน เพรสิเด้นท์ ถนนเพลินจิต โดยมีวิทยากร คือ ศ.นพ.วิศิษฏ์ อุดมพาณิชย์, ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล, ผศ.นพ.วัชรา บุญสวัสดิ์, นพ.อภิรักษ์ ปาลวัฒน์วิไชย, ดร.เกริกชัย เจริญรัชต์ภาคย์ และดำเนินรายการโดย นายชัชวาลย์ อยู่คงศักดิ์ สมาชิกชมรมผู้ป่วยโรคหืด มีกิจกรรมความรู้ต่าง ๆ อาทิ การสนทนาเรื่องโรคหืด, การสาธิตการใช้ยาพ่น, เครื่องกรองตัวไร และปรึกษาแพทย์เฉพาะโรคหืด รวมทั้งให้บริการตรวจสมรรถภาพปอด

ศ.นพ.ชัยเวช นุชประยูร ได้กล่าวถึง การจัดงานวันนัดพบผู้ป่วยโรคหืด ครั้งที่ 4 ว่า
เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหืดประมาณ 2 ล้านคน และมีผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคนี้ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ร้อยละ 70 ของผู้ป่วยโรคหืดที่เสียชีวิตเพราะมาถึงโรงพยาบาลช้าไป เนื่องจากผู้ป่วยประเมินความรุนแรงของโรคต่ำกว่าที่เป็นจริง เข้าใจว่าเมื่อสูดยาที่เคยสูดแล้ว การจับหืดก็ยุติลงได้เอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนั้นจริง แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายเมื่อเกิดจับหืด แล้วสูดยาขยาดหลอดลมที่เคยสูดกลับไม่ได้ผลดีเหมือนเคย หรือดีขึ้นชั่วระยะเวลาสั้นๆ หรือรุนแรงขึ้น และในที่สุดก็เสียชีวิต

หลักสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคหืดคือ ต้องควบคุมสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ให้สะอาดปราศจากฝุ่นละออง และใช้ยารักษาโรคหืด ดังนั้นผู้ป่วยโรคหืดจึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องได้รับความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลรักษาตนเอง และปฏิบัติ ตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษา จึงได้มีการจัดตั้ง ชมรมผู้ป่วยโรคหืดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2537 โดยดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกมากกว่า 900 คน ทุกปีจะมีการจัดงานนัดพบผู้ป่วยโรคหืดขึ้น เพื่อเป็นการประสานความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ศ.นพ.วิศิษฏ์ อุดมพาณิชย์ หน่วยโรคปอด ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
โรคหืดเกิดจากหลอดลมผู้ป่วยมีความไวต่อสิ่งแพ้มากกว่าคนปกติ เช่น ตัวไรฝุ่น ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ อาหารบางชนิด ฯลฯ ทำให้หลอดลมอักเสบและตีบ มีเสมหะออกมาอุดตัน หายใจไม่สะดวกและอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

ศ.นพ.วิศิษฏ์ ยังได้กล่าวถึงคำถามยอดฮิต ที่ผู้ป่วยมักถามเป็นประจำว่า "โรคหืดรักษาหายขาดได้หรือไม่ ?" เรื่องนี้ ศ.นพ.วิศิษฏ์ ชี้แจงว่า
โรคหืดจะรักษาหายได้ในผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง ที่ไม่มีอาการรุนแรงนักและหายไประยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่จะกลับมามีอาการใหม่อีก ดังนั้นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ แพทย์และคนไข้ต้องร่วมมือกัน เพื่อให้โรคหืดหายยาวนานที่สุด นอกจากนี้สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ได้จัดทำคู่มือการรักษาโรคหืด สำหรับแพทย์ขึ้น เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยโรคนี้ได้มาตรฐาน และเป็นไปในแนวเดียวกัน

ผศ.นพ.วัชรา บุญสวัสดิ์ จากโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า
ตนก็เป็นโรคหืดเหมือนกัน เนื่องจากได้รับการถ่ายทอดจากบิดา ที่เป็นโรคดังกล่าว แต่ปัจจุบันแทบจะไม่มีอาการแล้ว

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืด สามารถหายขาดได้หรือไม่ มีการสำรวจในประเทศออสเตรเลีย โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ต่อเนื่องเป็นเวลา 25 ปี พบว่า เมื่อเก็บข้อมูลหลังจากนั้นผู้ป่วยประมาณ 11% ไม่เป็นโรคนี้อีกเลย แต่เมื่อวัดสมรรถภาพปอดแล้ว มีผู้ที่สมรรถภาพต่ำกว่าเกณฑ์ของคนปกติ ถ้าจะสรุปว่า ถ้าหาย หมายถึง ว่าไม่มีอาการของโรคเป็นเวลานาน อาจจะเป็นสิบๆ ปี และไม่ต้องใช้ยาเลย โรคหืดก็อาจจะหายได้ นพ.วัชรากล่าว

ส่วนผู้ป่วยโรคหืดที่ตั้งครรภ์ ควรทำอย่างไรนั้น ศ.นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล เลขาธิการชมรมผู้ป่วยโรคหืดอธิบายให้ฟังว่า
การตั้งครรภ์ในภาวะปกตินั้น มดลูกจะใหญ่ขึ้น ทำให้ปริมาตรความจุของปอดเล็กลง การทำงานของปอดจึงน้อยลงตามไปด้วย รวมถึงระดับฮอร์โมนในเลือดบางชนิดเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการหายใจถี่ขึ้น และเส้นเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้นด้วย ดังนั้นจึงทำให้ผู้ป่วยหืดมีอาการทรุดลง ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคหืด 30% จะมีอาการทรุดลง 30% ไม่มีความแตกต่าง อีก 30% จะมีอาการดีขึ้น จึงสรุปได้ว่า การตั้งครรภ์ไม่ทำให้ผู้ป่วยโรคหืด มีอาการแย่ลงทั้งหมด

นอกจากนี้ ศ.นพ.สุชัย ยังได้แนะนำว่า
การปฏิบัติตนสำหรับผู้ป่วยโรคหืดที่ตั้งครรภ์ว่า ควรหลีกเลี่ยงจากสารภูมิแพ้ ไม่ควรนำ สัตว์เลี้ยงไว้ในห้องนอน ให้ระมัดระวังการใช้ยา ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง เช่น ยากันชัก ยาแก้ปวด เป็นต้น หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ ส่วนยาอื่นๆ ที่ใช้รักษาโรคหืด ที่ผู้ป่วยใช้เป็นประจำ เมื่อตั้งครรภ์ก็สามารถใช้ได้ตามปกติ

สำหรับการรักษาโรคหืดในทศวรรษหน้านั้น นพ.อภิรักษ์ ปาลวัฒน์วิไชย จากโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า
นอกจากผู้ป่วยจะต้องป้องกันตนเองไม่ให้ได้รับสารภูมิแพ้ มลพิษหรือควันบุหรี่ พร้อมกับให้ยาต้านการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นยาสเตียรอยด์ และยารักษาอาการหอบเหนื่อย จากอาการบวมและหลอดลมตีบแล้ว ผู้ป่วยควรศึกษาเกี่ยวกับโรคด้วยตนเอง และสามารถปรับเปลี่ยนยาได้เองอย่างเหมาะสม

"เทคโนโลยีและยาในการรักษาเปลี่ยนแปลงบ่อยและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น ปีหน้าจะมียาตัวใหม่ที่ลดการอักเสบของหลอดเลือด เป็นยากินนำเข้ามาในประเทศไทย ที่อเมริกายอมให้ใช้แล้ว แต่ที่อังกฤษไม่ให้ใช้เพราะเห็นว่าราคาแพง แต่ผลไม่ได้ต่างจาก ยาพวกสเตียรอยด์ หรือเพรดนิโซโลนที่ใช้อยู่ การที่ผู้ป่วยมารวมตัวกันเป็นชมรม ซึ่งชมรมผู้ป่วยโรคหืดในเอเซียมีไม่กี่ประเทศ มีสิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน และไทย มีผลดีในการรักษา เพราะช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล และที่สำคัญต้องให้ผู้ป่วยรู้จักว่าตัวเองเป็นโรคอะไร จะรักษาตัวเองได้อย่างไร" นพ.อภิรักษ์กล่าว

ส่วน ดร.เกริกชัย เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ โรงแรมเมอริเดียนเพรสิเดนท์ เล่าถึงประสบการณ์ส่วนตัว ในการรักษาโรคหืดด้วยวิธีธรรมชาติว่า
เมื่อวัยเยาว์ตนเป็นโรคหอบหืด หลังจากไปเรียนต่อที่อเมริกา ได้รับคำแนะนำให้ ฝึกจิตด้วยเทคนิค ที.เอ็ม. (Transcendental Meditation) ซึ่งเป็นเทคนิคการฝึกจิตอย่างง่ายๆ เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องใช้ความพยายาม การบังคับ หรือการเพ่งใดๆ และที่สำคัญเป็นการฝึกจิตแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อให้มีสมาธิในการเรียนดีขึ้น ขณะเดียวกันการฝึกสมาธิ กลับช่วยให้อาการป่วยด้วยโรคหืดดีขึ้นด้วย เพราะเป็นการหายใจที่ถูกวิธี คือ หายใจลึกให้เต็มปอด กลั้นลมหายใจครู่หนึ่ง และหายใจออก

"สมุนไพรหลายชนิด อาทิ พริก พริกไทย ขิง กระวาน กานพลู ชะเอม ดีปลี ช่วยบรรเทาอาการหอบหืด หวัด ขับเสมหะได้ดี เพราะฉะนั้นควรรับประทานสมุนไพรดังกล่าวเป็นประจำ อาจรับประทานกับอาหารหรือแยกกับอาหารก็ได้ นอกจากนี้ ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค จากการดื่มน้ำเย็นมาดื่มน้ำร้อน หรือขิงร้อนจิบทุก 30 นาที ประมาณ 1 ใน 4 แก้ว วันละหลายๆ ครั้ง เพราะการดื่มน้ำเย็นมีส่วนทำให้หลอดเลือดตีบได้ง่าย" ดร.เกริกชัย แนะนำ

จากการบรรยายความรู้ครั้งนี้ปรากฏว่า สมาชิกชมรมฯ ต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการซักถามปัญหาวิทยากรตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องวิธีการธรรมชาติในการรักษาโรคหืดหากผู้ป่วยโรคหืด ใส่ใจต่อสุขภาพ มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลรักษาตนเอง คาดว่าอาการจับหืดคงหายไปได้อย่างแน่นอน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และสมัครเป็นสมาชิกชมรมผู้ป่วยโรคหืด ได้ที่โทรศัพท์ 2524106-9 ต่อ 168 ในวัน เวลาราชการ


ขอบคุณนิตยสารใกล้หมอ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600