ช่วงนี้ข่าวเกี่ยวกับปัญหาของเรื่องกุ้งๆ มีออกมากันบ่อยมาก โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาการทำนากุ้งแบบเดิมๆ ที่ทำกันอยู่
ซึ่งมีผู้ศึกษาพบว่า มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ดินเค็มปลูกพืชผักไม่ได้ เวลานี้จึงเป็นเรื่องของนักวิชาการที่เกี่ยวข้องจะต้องออกมาชี้แจง
แถลงไขกันให้กระจ่างและหาระบบการจัดการที่เหมาะสม
ในการทำนากุ้งเพื่อไม่ให้มีปัญหากับสิ่งแวดล้อม
เพราะยังไงเสีย เราคงจะเลิกเลี้ยงกุ้งกันไปหมดไม่ได้แน่ เพราะกุ้งนั้นเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยเลยทีเดียว
ออกนอกประเด็นไปเล็กน้อยแต่ก็ยังอยู่ในเรื่องของกุ้ง
ซึ่งเป็นสัตว์ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งเนื้อและเปลือก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำเปลือกกุ้งมาใช้ประโยชน์นั้น ถือว่าเป็นเรื่องควรค่าแก่การศึกษาวิจัยเป็นอย่างยิ่ง
เพราะในกุ้งแต่ละตัวนั้น สัดส่วนของส่วนที่เป็นเนื้อ
และส่วนที่เป็นเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งก็สูสีกัน ขนาดแบ่งน้ำหนักกัน
ไปคนละเกือบ 50-50
ดังนั้น หากพิจารณาดูอุตสาหกรรมกุ้งแช่แข็ง
ในปัจจุบันที่มีกุ้งป้อนเข้าโรงงานถึงปีละ 180,000 ตัน
แล้วส่วนที่เป็นเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งก็มีถึง 90,000 ตัน เลยทีเดียว
ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนเนื้อกุ้งนั้นเราเอามาใช้บริโภคกันเห็นๆ
แต่ส่วนเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งที่เป็นวัสดุเหลือใช้จากกระบวนแปรรูปกุ้งนั้น คนทั่วไปอาจยังมองไม่เห็นการใช้ประโยชน์ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ
ปริมาณเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งที่มากมายจากโรงงานดังกล่าว หากทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ก็คงน่าเสียดายอย่างยิ่ง
ปัจจุบัน การนำเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งไปใช้ประโยชน์ โดยมากก็จะเป็นการนำไปป่นบดทำเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์
ซึ่งการใช้ประโยชน์จากเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งแบบนี้ก็เป็นการใช้ประโยชน์
โดยทั่วๆ ไป อย่างไรก็ตาม หากมองลึกลงไปให้ถึงองค์ประกอบทางเคมี
ของเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งแล้ว มันสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากกว่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนของสารพอลิแซ็กคาไรด์
ซึ่งเป็นไบโอพอลิเมอร์ที่เรียกว่า ไคทิน อันเป็นองค์ประกอบหลัก
ที่มีอยู่ไม่น้อยในเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งนั้น หากมีการสกัดออกมา
และนำมาแปรรูปใช้งานแล้วก็เรียกได้ว่า
มันเป็นสารพัดประโยชน์ตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ในต่างประเทศมีการนำสารไคทินมาแปรสภาพ
ให้อยู่ในรูปของสารที่สามารถละลายได้ง่ายในสารละลายทั่วไปเพื่อใช้งาน โดยแปรสภาพไคทินเป็นไคโทซานหรือเป็นสารอนุพันธ์อื่นๆ ของไคทิน
และไคโทซานสำหรับนำไปใช้ประโยชน์กันในอุตสาหกรรมต่างๆ
อาทิ อุตสาหกรรมยา เคมี เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม
ตลอดจนการใช้ในการบำบัด น้ำเสีย
สำหรับในบ้านเราที่ผ่านมาก็ได้มีการศึกษาการสกัดไคทิน
จากเปลือกกุ้ง-หัวกุ้ง โดยหน่วยงานต่างๆ กันอยู่บ้าง และในหน่วยงานบางแห่งเริ่มมีความก้าวหน้าไปถึงระดับ
ศึกษาการใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ไคทินที่ได้จากเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งด้วย
ดังเช่น ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย หรือ วท. ที่สามารถนำไคทินจากเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งกุลาดำมาแปรสภาพ
เพื่อใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ อันได้แก่
- แปรเป็นไคโทซานและสารอนุพันธ์ของไคโทซาน
เพื่อใช้เป็นสารดูดซับโลหะอย่างเช่น ทองแดง นิเกิล และสังกะสีในน้ำทิ้งของโรงงานชุบโลหะด้วยไฟฟ้า
- การนำสารอนุพันธ์ของไคทินมาใช้เป็นสารผสมในแชมพู
เพื่อช่วยทำให้เส้นผมเงางาม
- และการนำไคโทซานมาใช้เป็นสารช่วยในการผลิตวัสดุ
ป้องกันการรบกวนของกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า
ดังเช่นอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่
การศึกษาวิจัยการนำเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งมาใช้ผลิตไคทิน ไคโทซาน และสารอนุพันธ์ที่เป็นประโยชน์อื่นๆ ดำเนินงานโดย อาจารย์สุมาลัย ศรีกำไลทอง และคณะซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยทั้งชาวไทยและญี่ปุ่น โดยในงานวิจัยบางส่วน
ที่ได้ร่วมงานกับนักวิจัยชาวญี่ปุ่นนั้นจะร่วมกับตัวแทนจากสถาบันวิจัยญี่ปุ่น
อันได้แก่ National Institute of Materials and Chemical Research
และ Osaka National Research Institute ซึ่งการร่วมมือกับญี่ปุ่นนั้น ทำให้นักวิจัยชาวไทยได้มีโอกาสใช้เครื่องมือ
และเทคโนโลยีบางอย่างที่ทันสมัยมากขึ้น
กระบวนการสกัดไคทินจากเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งโดยคร่าวๆ
นั้นทำได้โดยการนำเปลือกกุ้ง- หัวกุ้งมาล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วอบให้แห้ง
จากนั้นจึงบดให้ละเอียดแล้วร่อนผ่านตะแกรงให้ได้ขนาดที่เหมาะสม
สำหรับนำผ่านกระบวนการแยกโปรตีนและลดปริมาณแร่บางชนิด
ที่มีอยู่ในเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งออก โดยการแยกโปรตีนออก
ทำได้ด้วยการใช้สารละลายโซดาไฟ (NaOH) แยกออกภายใต้
สภาวะที่เหมาะสม จากนั้นจึงล้างทำความสะอาดและทิ้งไว้ให้แห้ง และทำการลดปริมาณแร่ด้วยการใช้สารละลายกรดเกลือ (HCI)
ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม หลังจากนั้นจึงนำส่วนที่ได้มาล้างน้ำให้สะอาด
แล้วอบให้แห้งอีกครั้ง โดยส่วนที่ได้นี้จะเป็นสารไคทินซึ่งคิดแล้ว
เป็นปริมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ของเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งที่นำมาใช้ในการสกัด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไคทินที่ได้จะเป็นสารที่ละลายได้ยาก
ในสารละลายทั่วๆ ไป ดังนั้น ในการใช้งานให้สะดวก
จึงจำเป็นต้องแปรสภาพไคทินให้เป็นไคโทซานหรือสารอนุพันธ์อื่นๆ ของไคทินและไคโทซานซึ่งมีความสามารถในการละลายที่ดีขึ้นกว่าเดิม
สำหรับการแปรสภาพไคทินเป็นไคโทซานนั้น
ทำได้โดยการแยกหมู่อะเซทิลซึ่งเป็น องค์ประกอบตัวหนึ่ง
ในโครงสร้างของไคทินออก โดยนำไคทินไปทำปฏิกิริยา
กับสารละลายโซดาไฟภายใต้สภาวะที่เหมาะสม
ส่วนการเตรียมสารอนุพันธ์อื่นๆ ของไคทินและไคโทซานนั้น ก็ทำได้โดยใช้สารเคมีและสภาวะในการแปรสภาพไคทินและไคโทซาน
ที่แตกต่างกันออกไป เช่น การเตรียมสารอนุพันธ์ของไคทินที่ชื่อ
คาร์บอกซิลเมทิล ไคทิน (CM-chitin) สำหรับนำไปใช้เป็นสารผสมในแชมพู ก็ทำได้โดยการนำไคทินมาทำปฏิกิริยากับสารละลายกรดโมโนคลอโร
แอซิติก ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม เป็นต้น
ส่วนของการใช้งานสารพัดประโยชน์ที่ได้จากเปลือกกุ้ง-หัวกุ้งนี้
ทาง วท. ก็ได้มีการศึกษาใน 3 แนวทาง คือ
แนวทางที่หนึ่ง เป็นการนำไคโทซานมาใช้ดูดซับโลหะหนัก
ในน้ำทิ้งของโรงงานชุบโลหะด้วยไฟฟ้า ซึ่งก็พบว่า
ไคโทซานที่เตรียมได้สามารถดูดซับทองแดง นิเกิล และสังกะสีในน้ำทิ้งได้ดีอีก
ทั้งยังให้ผลดีกว่าไคโทซานที่นำเข้าจากต่างประเทศด้วย โดยเมื่อปรับสภาพของน้ำทิ้งให้เหมาะสมแล้ว
ประสิทธิภาพในการดูดซับทองแดง นิเกิลและสังกะสีของไคโทซาน
จะเป็น 58, 13 และ 25 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
แนวทางที่สอง เป็นการใช้สารอนุพันธ์ของไคทิน
(ในที่นี้ คือ CM-chitin) มาใช้เป็นสารผสมในแชมพูในปริมาณ
0.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็พบว่าในการใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ
CM-chitin จะช่วยให้เส้นผมมีความนุ่ม เงางามมากขึ้น และช่วยลดการแตกปลายของเส้นผมมากกว่าแชมพูที่ไม่มีส่วนผสม
ของ CM-chitin โดยผู้ใช้จะเริ่มเห็นผลเมื่อใช้แชมพูที่มี CM-chitin
สระผมตั้งแต่หนที่สามเป็นต้นไป
สำหรับใน แนวทางที่สาม นั้น เป็นงานวิจัย
การเตรียมวัสดุป้องกันการรบกวนกระแส แม่เหล็กไฟฟ้า ดังเช่นอุปกรณ์บางชนิดที่ใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้
ไคโทซานเป็นสารเตรียม พื้นผิวแผ่นพลาสติกพวกพอลิเอสเทอร์ก่อน
การชุบด้วยนิเกิล เพื่อใช้เป็นวัสดุป้องกันการรบกวน
กระแสแม่เหล็กไฟฟ้าในอุปกรณ์ ซึ่งก็พบว่า
ไคโทซานสามารถใช้งานได้ดีเช่นกัน
จากการศึกษาวิจัยการนำเปลือกกุ้งมาใช้ผลิตไคทิน
ไคโทซาน และสารอนุพันธ์ที่เป็นประโยชน์อื่นๆ
ของนักวิจัยไทยดังที่กล่าวไปบางส่วนนี้ หากในอนาคตงานวิจัยมีความก้าวหน้า
จนสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นงานในระดับอุตสาหกรรมแล้ว
ก็จะมีผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้ประเทศไทยเราสามารถลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ไคทิน
และไคโทซานจากต่างประเทศได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม
ให้แก่เปลือกกุ้ง-หัวกุ้ง ซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูปกุ้ง
ที่บ้านเรามีอยู่เป็นจำนวนมากด้วยนั่นเอง
|