...เมื่อร้อยปีก่อน ไม่มีใครรู้จักเครื่องดื่มประเภทโคล่า
ตรงกันข้ามกับสมัยนี้ ไม่มีผู้ใดไม่เคยกินโคล่า...
ถ้าเล่าให้คนสมัยก่อนฟัง ว่าเครื่องดื่มดำๆ นี้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก
ผู้ผลิตมียอดจำหน่ายสูงถึงปีละหลายหมื่นล้านเหรียญ เกินงบประมาณ
รายจ่ายทั้งปีของบางประเทศ คงไม่มีใครเชื่อ นายเพม เบอร์ตัน ซึ่งเป็นคนคิดสูตรผสมของโคล่าเมื่อพ.ศ.2452 ก็คงคาดไม่ถึงเหมือนกัน
เพมเบอร์ตัน เป็นนักผสมยาชาวอเมริกัน หากใช้คำว่าเภสัชกร
อาจให้ภาพผิดไป คนขายยาสมัยนั้นผสมยาเองถ้าไม่เร่ร่อนขาย
ก็มักประจำอยู่ในร้านขายยา ซึ่งขายของสารพัดอย่าง รวมทั้งไอศกรีม
โซดา และเครื่องดื่ม คนที่ผสมยาและผสมเครื่องดื่มเป็นคนเดียวกัน
จึงไม่น่าประหลาดใจเลย ที่นายเพมเบอร์ตันเก่งทั้งผสมยาและเครื่องดื่ม แต่แหล่งผลิตโคล่าถ้วยแรกของโลกกลับเป็นครัวของเขา
ใช้น้ำสกัดจากใบโกโก้ที่มาจากแถบภูเขาเอนดีส
และน้ำสกัดจากลูกโกโก้จากแอฟริกา ผสมกับน้ำโซดา
หมายให้เป็นยา ผลพลอยได้เป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า
โคคาโคล่า แพร่หลายไปทั่วสหรัฐอเมริกาภายในเวลาไม่ถึงสิบปี ต่อมาไม่นานมีเภสัชกรอเมริกันอีกผู้หนึ่งผลิตเป๊ปซี่โคล่าขึ้นจำหน่าย ส่วนอาร์ซีโคล่านั้นเพิ่งเริ่มต้นผลิตขึ้นเมื่อ 50 ปีมาแล้วนี่เอง
โคล่าไม่ใช่เครื่องดื่มสำหรับบำรุงสุขภาพ ผู้ผลิตจำหน่าย
ก็ไม่เคยโฆษณาในแนวนั้น เน้นโฆษณาในแง่รสชาติ และความรู้สึกพึงพอใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเมื่อได้ดื่ม
ผู้บริโภคที่ดื่มโคล่าเป็นประจำคงไม่ได้หวังพึ่งในด้านคุณประโยชน์
ทางโภชนาการ นอกจากช่วยดับกระหายแล้วคงอยากได้รสที่ถูกใจ ถึงกระนั้นก็ควรรู้ว่าในเครื่องดื่มนี้มีส่วนผสมของอะไรบ้าง
ในสหรัฐอเมริกา เครื่องดื่มประเภทโคล่าเป็นผลิตภัณฑ์
์ที่ต้องมีคุณภาพมาตรฐาน ใครจะผลิตก็ได้ เมื่อมีส่วนประกอบ
หรือคุณลักษณะครบที่กำหนดในมาตราฐาน ก็เรียกว่าโคล่า ปิดสลาก
นำออกจำหน่ายได้ แต่จะเรียกว่า โคคาโคล่า เป๊ปซี่โคล่า หรืออาร์ซีโคล่าไม่ได้ เพราะนั่นเป็นเครื่องหมายการค้า เจ้าของสงวนลิขสิทธิ์
แต่ละเครื่องหมายการค้ามีสูตรลับเฉพาะ ทำให้มีกลิ่นรสต่างกันไป แม้ไม่รู้สูตรลับดูจากส่วนประกอบในมาตรฐานก็พอจะรู้ว่า
มีส่วนผสมของอะไรบ้าง
โคล่าที่มีจำหน่ายในประเทศต่างๆ มีรสคล้ายกัน ผิดแผกกันไปเล็กน้อย
ตามความนิยมในท้องถิ่น ที่มีขายในประเทศไทยไม่หวานเท่ากับ
ที่มีขายในสหรัฐอเมริกา น้ำเชื่อมที่ใช้อาจมีส่วนผสมอย่างเดียวกัน
แต่เมื่อผสมกับน้ำในท้องถิ่นที่ใช้บรรจุขวดอาจทำให้รสชาติต่างกันได้อีก
รสซาบซ่า มาจาก ลมหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่อัดลงในขวด
เปิดขวดทิ้งไว้นานฟองอากาศหนีออกหมดอาจถึงกับหมดอร่อย
ได้รสค่อนข้างด้านของเครื่องดื่มที่เหลือ แต่อาจเป็นประโยชน์
กับคนที่ท้องอึดเพราะแก๊ส
รสหวานเป็นรสเด่นของโคล่า รองลงมาเป็นกลิ่นรสของเครื่องเทศ
เช่น วนิลา อบเชย กานพลู และมีรสส้มหรือมะนาวแฝงอยู่เล็กน้อย
รสรองนี่เองคือ รสที่ปกปิดกันหนักหนา ถือเป็นความลับสุดยอด
ผู้บริโภคไม่มีโอกาสรู้ รู้แต่เพียงว่า เพื่อให้กลิ่นรสเหล่านั้นคงทน
จำเป็นต้องใสสารปรุงแต่งบางอย่าง ส่วนจะได้รับอันตราย
จากสารปรุงแต่งหรือไม่นั่น ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่เลือกใช้
รสหวานนั้น พอบอกได้ว่ามาจาก น้ำตาล
ผู้ผลิตอาจเติมน้ำตาลเทียมลงไปบ้างเพื่อลดต้นทุนการผลิต หากใช้น้ำตาลเป็นสารทำให้หวานเพียงอย่างเดียว
เครื่องดื่มประเภทโคล่า 1 แก้ว ขนาด 8 ออนซ์หรือ 240 มิลลิลิตร
ให้น้ำตาลประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ซึ่งให้พลังงานประมาณ 120 คาลอรี่
นับว่าเป็นพลังงานว่างเปล่า เพราะให้คาร์โบไฮเดรตเพียงอย่างเดียว
ไม่ให้สารอาหารอื่นเลย ยกเว้นน้ำ
สำหรับคนที่ต้องการพลังงานอีกย่อมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่สำหรับบางคนอาจเป็นพลังงานที่เหลือใช้ถูกนำไปเปลี่ยนเป็นไขมัน
เพิ่มน้ำหนักตัว น้ำตาลในน้ำอัดลมก็เหมือนน้ำตาลในอาหารอื่น หากติดฟันอยู่นานย่อมเป็นเหตุให้ฟันผุ ถึงน้ำตาลในเครื่องดื่ม
จะไม่ติดฟันง่ายเท่าน้ำตาลในทอฟฟี่หรือช็อกโกแลต พ่อบ้านแม่เรือนควรหมั่นดูแลให้ลูกหลานทำความสะอาดฟัน
จึงจะไม่ต้องเสี่ยงกับฟันผุ
สิ่งที่ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเมื่อดื่มน้ำอัดลมประเภทนี้คือ
คาเฟอีน รู้สึกเหมือนได้ดื่มกาแฟ เครื่องดื่มประเภทโคล่า 1 แก้ว
ใหญ่ขนาด 12 ออนซ์ มีคาเฟอีนประมาณ 35-50 มิลลิกรัมเท่ากับกินกาแฟ
1/3 ถ้วย เพื่อหลีกเลี่ยงโทษของคาเฟอีนที่มีต่อสุขภาพ หญิงมีครรภ์
แม่ลูกอ่อนหรือเด็กเล็กๆ จึงไม่ควรดื่มน้ำอัดสมที่มีส่วนผสมของโคล่ามาก เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคในอเมริกา มีโคล่าที่สกัดคาเฟอีน
ออกแล้วจำหน่าย
น้ำโคล่ามีฤทธิ์เป็นกรด เท่าๆ กับน้ำส้ม (มี pH เท่ากับ 2.5-3) ส่วนใหญ่ใช้ กรดฟอสฟอริค ผสมเพื่อให้ออกรสเปรี้ยวน้อยๆ บางบริษัท
อาจใช้กรดซิตริค และกรดมาลิคผสมด้วย กรดในเครื่องดื่มประเภทนี้
ละลายแร่ธาตุในฟันได้ จึงทำให้บางคนรู้สึกเข็ดฟัน
คนที่ห่วงเรื่องโซเดียมในอาหารวางใจได้เมื่อดื่มโคล่า
เพราะมีโซเดียมน้อยมาก ยกเว้นโซเดียมในเกลือที่คนช่างดัดแปลง
เติมลงไปให้ออกรสหวานเค็ม
สีดำของโคล่า เป็นสีของน้ำตาลไหม้ที่เรียกว่า คาราเมล เป็นสีธรรมชาติที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลายอย่าง ที่มีสีใกล้เคียงกันมากที่สุด
เห็นจะได้แก่ น้ำซีอิ้ว หากวางโคล่าเทียบกับน้ำซีอิ้วอย่างดีอาจดูไม่ออก
ว่าถ้วยไหนใส่อะไร ต้องสังเกตจากฟองอากาศในน้ำอัดสม
สรุปได้ว่า เมื่อดื่มเครื่องดื่มประเภทโคล่าเพื่อดับกระหาย
จะได้น้ำตาล คาเฟอีน กรดและสารปรุงแต่งบางอย่าง
แถมมากับน้ำด้วย
|