|
มีรายงานจากระทรวงสาธารณสุขว่าในแต่ละปี
มีคนไทยตายเพราะโรคหัวใจเกือบครึ่งแสนคน โรคหัวใจและหลอดเลือดที่เกิดในคนไทยไม่ต่างจากโรคหัวใจ
ที่พบในกลุ่มประชากรของประเทศพัฒนา แล้วกลุ่มใหญ่เป็น
โรคที่เกี่ยวข้องกับการกินการอยู่ นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่า โรคหัวใจเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากความร่ำรวย กินดีอยู่ดี
ปล่อยเนื้อปล่อยตัวกันมากไป เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง
ในที่สุดก็เลี่ยงโรคหัวใจไม่พ้น
โรคหัวใจและหลอดเลือดเกี่ยวข้องกับโรคในกลุ่มเดียวกันหลายโรค
ตามอาการที่ปรากฏ ดังเช่น โรคหัวใจขาดเลือด (ischemic heart disease)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) โรคหลอดเลือดแดงโคโรนารี
(coronary artery disease) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (atherosclerosis)
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (cardiovascular disease) โรคหลอดเลือดแขนขาตีบ
(peripheral vascular disease) โรคลมปัจจุบันหรือสมองวาย
จากเส้นโลหิตในสมองตีบ (stroke) เส้นโลหิตในสมองแตก
(hemorrhagic stroke) รวมถึงความดันโลหิตสูง (hypertension)
เมื่อ 40 ปีมาแล้วแพทย์พบว่า โรคหัวใจมักจะเกี่ยวข้องกับการมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาโรคหัวใจจึงได้รับคำแนะนำให้ลดการรับประทานไขมัน เลิกรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง บางครั้งอาจมีการแนะนำ
ให้เลิกรับประทานไข่ ปัจจุบันนักวิชาการทราบแล้วว่า
คอเลสเตอรอลในเลือดไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดของโรคหัวใจ
ยังมีสาเหตุอื่นร่วมด้วยอีกมาก
ปัญหาความไม่สมดุลของสารกึ่งฮอร์โมนตัวเล็กๆ ที่เรียกว่าสาร
"ไอโคซานอยด์" (eicosanoid) ซึ่งสร้างขึ้นที่เนื้อเยื่อต่างๆ รวมถึงที่เกล็ดเลือดนับเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง
สารไอโคซานอยด์ในร่างกายมีอยู่หลายชนิด ทำหน้าที่ต่างๆ กัน บางชนิดทำงานหักล้างฤทธิ์กันและกัน บางชนิดทำหน้าที่ดูแล
การทำงานของเซลล์เม็ดเลือด ช่วยทำให้กล้ามเนื้อของหลอดเลือด
หดตัวขยายตัว บางชนิดทำงานสร้างอาการอักเสบต่างๆ เพื่อใช้เป็นกลไก
ป้องกันร่างกาย
กรณีของโรคหัวใจที่มีปัญหามาจากหลอดเลือดตีบนั้น กลไกที่ทำให้หลอดเลือดที่เคยกลวงเรียบเกิดอาการตีบตันขึ้นมา
ก็เพราะมีสารพวกคอเลสเตอรอลและเศษซากของเซลล์ต่างๆ เข้าไปสะสม และการสะสมเช่นนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากกลไกการแข็งตัวเป็นลิ่มเลือด
ทำงานเร็วเกินไป แทนที่จะทำหน้าที่นอกร่างกายในกรณีการเกิดบาดแผล
และทำให้เลือดแข็งตัวปิดปากแผลก็กลับแข็งตัวเป็นลิ่มในหลอดเลือดแทน
การเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดบ่อยครั้งทำให้หลอดเลือด
ที่ตีบตันอยู่แล้วเกิดอาการอุดตันอย่างกะทันหัน เกิดอาการหัวใจวาย
เส้นโลหิตในสมองอุดตัน ทำให้ผู้ป่วยต้องตายหรือเป็นอัมพาต ดังนั้นการหาหนทางลดการเกิดลิ่มเลือดได้ น่าจะเป็นหนทาง
ลดปัญหาของโรคหัวใจได้
ประมาณปี พ.ศ. 2510 มีแพทย์ชาวอังกฤษหลายคน
ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องยาแอสไพรินโดยอยากทราบสาเหตุใด
แอสไพรินจึงแก้อาการปวดและแก้ไข้ได้ดี มีรายงานทางการแพทย์
ออกมา 2 ฉบับในปี พ.ศ. 2514 สรุปผลออกมาตรงกันว่า
เหตุที่แอสไพรินทำงานได้ดีเพราะมันเข้าไปยับยั้ง
การสร้างสารไอโคซานอยด์กลุ่มที่เรียกว่า พรอสทาแกลนดินอนุกรม 2
(serie-2 prostaglandin)
เมื่อพรอสทาแกลนดินกลุ่มดังกล่าวไม่ถูกสร้างขึ้น
หรือถูกสร้างขึ้นน้อยลงอาการไข้ต่างๆ จะหายไป พรอสทาแกลนดิน
ที่ลดลงนอกจากจะช่วยลดไข้แล้วยังมีผลทำให้เกล็ดเลือดจับตัวกันช้าลง ผลเช่นนี้ทำให้ผู้ที่รับประทานแอสไพรินเป็นประจำเกิดอาการที่เรียกว่า
เลือดเหลว แข็งตัวได้ช้า
เมื่อประมวลจากเรื่องแอสไพรินกับระบบเลือดแล้ว แพทย์ 2 คน
ในโรงพยาบาลอาลบอร์ก (Aalborg) ประเทศเดนมารก์ ชื่อนายแพทย์แบง (Bang) และนายแพทย์ไดเออเบิร์ก (Dyerberg) จึงได้อธิบายเรื่องที่ชาวเอสกิโม
มีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า โดยตั้งสมมติฐานไว้ว่า อาจจะมาจากไขมันสัตว์ทะเล
และปลาทะเลที่ชาวเอสกิโมชอบรับประทานนั่นเอง
ในปลาทะเลอาจมีสารบางอย่างที่ทำงานได้คล้ายแอสไพริน สิ่งที่แพทย์ทั้งสองพบคือ ชาวเอสกิโมรับประทานไขมันสูง
แต่กลับไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ ทั้งนี้ก็เพราะเลือดในร่างกาย
เกิดเป็นลิ่มเลือดได้ยาก ทำให้ไม่เกิดปัญหาหลอดเลือดอุดตัน ในปลาทะเลมีสารอาหารบางชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ
การสร้างสารพรอสทาแกลนดินกลุ่มที่ช่วยลดการจับตัวเป็นลิ่มเลือด
สารอาหารชนิดนั้นคือ "กรดไขมันไม่อิ่มตัวอีพีเอ" (EPA หรือ eicosapentaenoic acid)
และ
"กรดไขมันดีเอชเอ" (DHA หรือ docosahexaenoic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันกลุ่มโอเมกา 3 นั่นเอง
บทสรุปก็คือ แอสไพรินและกรดไขมันโอเมกา 3 ต่างส่งผลต่อการทำงานของพรอสทาแกลนดินคนละกลุ่ม แต่ในที่สุด
ให้ผลออกมาตรงกันคือ เกล็ดเลือดจับตัวกันเป็นลิ่มเลือดได้ช้าลง
อันเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้
ในปัจจุบันมีแพทย์บางคนแนะนำให้ผู้ป่วย
ที่เคยเกิดอาการหัวใจกำเริบมาแล้วรับประทานยาแอสไพรินวันละ
250-275 มิลลิกรัมหรือ 1 เม็ด เพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรคหัวใจ ขณะเดียวกันนักโภชนาการก็แนะนำให้คนทั่วไปรับประทานปลาทะเล
อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 มื้อ เพื่อป้องกันโรคหัวใจ จะเห็นว่า
ไม่มีแพทย์และนักโภชนาการคนใดที่แนะนำให้โหมรับประทาน
ทั้งแอสไพรินและปลาทะเลเข้าไปมากๆ เพราะการกระทำเช่นนั้น
นอกจากจะไม่ให้ผลดีแล้วยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพด้วย
แอสไพรินสร้างปัญหาให้แก่กระเพาะได้ อีกทั้งเคยมีรายงานมาว่า
อาการเลอืดเหลวจากการรับประทานแอสไพรินหรือปลาทะเลมากเกินไป
จะทำให้เสียเลือดได้มากในกรณีที่เกิดบาดแผล เรื่องอย่างนี้เคยเป็นปัญหา
กับชาวเอสกิโมมาแล้ว ชาวเอสกิโมที่เกิดบาดแผลอาจเสียเลือดมาก
จนถึงตายทั้งที่บาดแผลไม่สาหัสนัก
ปัจจุบันมีผู้นำผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา
เข้ามาวางขายกันค่อนข้างมาก น้ำมันปลาเหล่านี้สกัดมาจากเนื้อปลา
ที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 ในปริมาณสูง ผู้ขายมักจะแนะนำกันว่า
หากรับประทานน้ำมันปลาเป็นประจำจะป้องกันโรคหัวใจ ลดไขมันในเลือด รวมถึงช่วยรักษาโรคข้อและโรคผิวหนังบางชนิดได้
อันที่จริงหากต้องการกรดไขมันโอเมกา 3 ไม่จำเป็นต้องซื้อน้ำมันปลาราคาแพงมารับประทานเลย หมั่นรับประทานปลาทะเลให้บ่อยขึ้นอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 หรือ 3 มื้อ
ตามที่กล่าวแล้ว และไม่จำเป็นจะต้องเป็นปลาทะเลชื่อฝรั่ง
ปลาทะเลของไทยก็ใช้ได้
ผู้เขียนทำการวิจัยพบว่า ปลาทะเลไทย เช่น ปลาทู ปลารัง
ปลากะพง ปลาเกา ปลาสำลี ปลาอินทรี ปลาโอ ฯลฯ มีกรดไขมันโอเมกา 3 ในปริมาณที่ไม่น้อยหน้าปลาฝรั่งอย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า
ปลาแมกเคอเรล ปลาเมนฮาเดน ปลาค้อด หากไม่มีปลาทะเล
จะเลือกรับประทานปลาน้ำจืดบางชนิด เช่น ปลาช่อน ปลาบู่
หรือปลานวลจันทร์ ฯลฯ ก็ยังได้ |