มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือhey.to/yimyam

[ คัดลอกจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2542]

น้ำมันปรุงอาหาร

กับโรคหัวใจและหลอดเลือด

ภ.ญ.วนิดา ชัยเฉลิมมงคล


ปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าโรคหัวใจและหลอดเลือด ยังคงครองแชมป์อันดับหนึ่งและยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต อย่างปัจจุบันทันด่วน หรืออัมพาตจากการอุดตันของหลอดเลือดอีกด้วย (หากไม่นับรวมถึงการตายจากอุบัติเหตุ)

สาเหตุของการเกิดโรคดังกล่าวอาจจะจำแนกได้ 2 สาเหตุ คือ
  • สาเหตุทางพันธุกรรมทางครอบครัว (ซึ่งจะไม่ขอกล่าวถึง)
  • และสาเหตุจากการบริโภคอาหารในชีวิตประจำวันของเราเอง

ซึ่งสาเหตุหลังนี้มักจะพบได้มากกว่า ดังนั้นเป็นการดีกว่า หากเราจะเริ่มดูแลตัวเองด้วยวิธีง่ายๆ เพื่อลดความเสี่ยง กับการเป็นโรคของหลอดเลือดและหัวใจ โดยการเลือกใช้น้ำมัน ที่เหมาะสมในการประกอบอาหาร

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับส่วนประกอบสำคัญของน้ำมัน ที่เรารับประทานกันทุกวันว่ามีอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันที่ได้จากสัตว์ หรือพืชก็ตาม จะมีส่วนประกอบสำคัญซึ่งแบ่งเป็นกรดไขมันอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
  1. กรดไขมันไม่อิ่มตัวชิดโมโน
  2. กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่
  3. กรดไขมันไม่อิ่มตัว

โดยน้ำมันทุกชนิดจะมีส่วนประกอบของกรดไขมันทั้ง 3 ตัว แตกต่างกันไป เราจะดูว่ากรดไขมันชนิดไหนที่ให้คุณต่อสุขภาพเรา และชนิดไหนที่ให้โทษต่อสุขภาพเรา

พระเอกของเราได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน เช่น กรดโอเลอิค ซึ่งมีการศึกษาในคนปกติที่มีสุขภาพดี พบว่า
การรับประทานน้ำมันที่มีกรดไขมันชนิดนี้ในปริมาณพอเหมาะ จะช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดคงที่ (เป็นการควบคุมไปในตัว) และยังมีผลช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ น้ำมันที่มีกรดไขมันชนิดนี้ ในอัตราส่วนที่สูงได้แก่น้ำมันมะกอก (75%), น้ำมันถั่วเหลือง (23%), น้ำมันข้าวโพด (26%) และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน (22%) เป็นต้น

พระรองของเราได้แก่ กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่ ได้แก่ กรดไลโนเลอิค และกรดไลโนเลนิค ซึ่งมีคุณสมบัติดีพอใช้ คือ
หากรับประทานในปริมาณพอเหมาะจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ในเลือดได้ แต่ถ้าร่างกายได้รับกรดไขมันชนิดนี้มากเกิน จะมีผลทำให้ระดับไขมันที่ดีในเลือด (HDL-cholesterol) ลดลงด้วย ข้อเสียของน้ำมันที่มีอัตราส่วนของกรดไขมันชนิดนี้สูงคือ อาหารที่ใช้น้ำมันดังกล่าวจะมีกลิ่นเหม็นหืนง่าย เราจะพบกรดไขมันชนิดนี้ ในอัตราส่วนที่สูงในน้ำมันเมล็ดทานตะวัน (66%), น้ำมันถั่วเหลือง (63%) และน้ำมันข้าวโพด (61%) เป็นต้น

คราวนี้มาดูกรดไขมันที่เป็นผู้ร้ายซึ่งแฝงมากับน้ำมัน ที่ใช้ประกอบอาหาร อาหารประเภททอดด้วยน้ำมันท่วมกะทะ ที่เราซื้อมารับประทานกันนอบบ้าน ได้แก่ กรดไขมันอิ่มตัว
ผลเสียจากการรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมัน ที่อัตราส่วนของกรดไขมันอิ่มตัวสูง คือ ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เราจะพบกรดไขมันชนิดนี้ในอัตราส่วนที่สูงในน้ำมัน หรือไขมันที่ได้จากพืชบางชนิด และสัตว์ เช่น น้ำมันหมู (43%) น้ำมันปาล์ม (45%) น้ำมันมะพร้าว (92%) เป็นต้น

สรุปคุณสมบัติของน้ำมันที่เราควรเลือกใช้ได้ คือ น้ำมันดังกล่าวจะต้องมีอัตราส่วนของกรดไขมันทั้ง 3 ชนิด ดังนี้ กรดไขมันไม่อิ่มตัวโมโนสูง มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่ปานกลาง และควรมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ

จากการทดลอง เปรียบเทียบอัตราส่วนของกรดไขมันทั้ง 3 ชนิด ในน้ำมันต่างๆ โดยเรียงจาก กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโน กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่และกรดไขมันไม่อิ่มตัว ได้ดังนี้

น้ำมันมะกอก (75%, 11%, 14%), น้ำมันถั่วเหลือง (23%, 63%, 13%), น้ำมันข้าวโพด (26%, 61%, 13%), น้ำมันเมล็ดทานตะวัน (22%, 66%, 7%), น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย (13%, 76%, 9%), น้ำมันรำข้าว (42%, 37%, 21%), น้ำมันเมล็ดฝ้าย (19%, 53%, 26%), น้ำมันมะพร้าว (6%, 2%, 92%), น้ำมันปาล์ม (39%, 12%, 45%) และน้ำมันหมู (45%, 11%, 43%)

จะเห็นได้ว่า น้ำมันที่ควรนำมาประกอบอาหารมากที่สุด คือ น้ำมันมะกอก เนื่องจากมีอัตราส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมโนสูง มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโพลี่บ้าง และมีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำ ข้อด้อยของน้ำมันมะกอกคือ มีคาราค่อนข้างแพง (เนื่องจากไม่มีการผลิต ในประเทศไทย) ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นน้ำมันที่แนะนำ ให้เลือกใช้ คือ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน ด้วยสมบัติตามที่ได้บรรยายมาแล้วข้างต้น และยังหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดบ้านเรา มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ

ส่วนน้ำมันที่ไม่ควรนำมาประกอบอาหาร เนื่องจากมีอัตราส่วน ของกรดไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม

แต่ในความเป็นจริงน้ำมันที่พ่อค้าแม่ขายนิยมใช้ในร้านอาหารทั่วไป รวมถึงอาหารทอดตามรถเข็นหรือแผงลอย เช่น ปาท๋องโก๋ กล้วยแขก หรือไก่ทอด หมูทอดทั้งหลาย ที่เราซื้อมารับประทานกันนอกบ้านนั้น จะเป็นน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันหมูมากกว่า เนื่องจากมีราคาถูกและเมื่อนำมาประกอบอาหารจะให้กลิ่นหอม และเข้าถึงรสชาติของอาหารมากกว่า ดังนั้นเราควรจะหลีกเลี่ยง การซื้ออาหาร หรืออาหารทอด หรืออาหารทอดจากนอกบ้าน เพราะเราไม่สามารถจะเลือกน้ำมันใช้ประกอบอาหารเองได้ แต่ไม่ใช่ว่าอ่านจบแล้ว คุณจะเลิกอุดหนุนร้านประจำเสียเลยล่ะ เพียงแต่คุณลดความถี่และปริมาณในการบริโภคลงเท่านั้น

ลองหันมาทำอาหารจานโปรดด้วยน้ำมันที่คุณเลือกได้เองที่บ้าน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในการบริโภค แล้วอย่าลืมการออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นระบบการเผาผลาญน้ำมันในร่างกายของเราอย่างมีประสิทธิภาพด้วย เพียงเท่านี้ชีวิตของเราก็ห่างไกลโรคหัวใจและหลอดเลือดอุดตันได้อย่างง่า ๆ ดีกว่าละเลยสุขภาพจนวันหนึ่งต้องหันไปพึ่งยาแผนปัจจุบัน ที่มีราคาค่อนข้างแพง คงไม่คุ้มกันเท่าไหร่

ภ.ญ.วนิดา ชัยเฉลิมมงคล


ขอบคุณหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือhey.to/yimyam

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600