|
นักกีฬายุคใหม่ขอชนะอย่างเดียว |
ระยะหลังนี้เรื่องของการกีฬากลายเป็นยาเสพย์ติดมากขึ้นทุกวัน
หากไม่ได้เล่นก็ขอให้ได้ดู ยิ่งยุคการพนันกีฬากำลังสิงคนไทยอยู่ด้วย
แล้วหลายคนบอกว่า ดูกีฬาอย่างเดียวไม่สนุกต้องมีการพนันขันต่อ
ติดปลายนวมด้วย พนันกันเล่นๆ คงไม่มีใครเขาว่า แต่เท่าที่เป็นข่าวคือ พนันกันจนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว หากเป็นอย่างนั้นก็ออกจะมากไปหน่อย
กีฬาทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการออกกำลังกายโดยเฉพาะอีกต่อไป
แต่มีเรื่องศักดิ์ศรีของชาติ ของสังคม รวมทั้งของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย การแข่งขันในระดับชาติหรือนานาชาติแต่ละครั้งตัวเลขจำนวนเหรียญรางวัล
จึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจติดตามมากที่สุด เมื่อค่านิยมเปลี่ยนไป
ได้จนถึงขนาดนี้เรื่องอัดฉีดนักกีฬาที่ได้เหรียญจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ใครชนะก็รวยกันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือกันไปเลย
ในเมื่อนักกีฬาเน้นเรื่องของการแข่งขันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ขณะเดียวกันเรื่องราวของการใช้ยากระตุ้นหรือยาโด๊ป
ก็ถูกจับตามองและได้รับการประณามอย่างรุนแรงจากสังคมมากขึ้น เรื่องอาหารและโภชนาการจึงกลายเป็นทางเกลือที่จะช่วยทำให้
นักกีฬามีสภาพร่างกายที่พร้อมที่สุดสำหรับการแข่งขัน นักกีฬาใหม่จึงควรเรียนรู้เรื่องอาหารและโภชนาการไว้ด้วย
จะว่าไปแล้วนักกีฬาที่แข่งเพื่อเอาชนะฝ่ายเดียวนั้นไม่ต่างจาก
คนที่มีอาการเจ็บป่วยเลย คนป่วยไข้พยายามทุกวิถีทางเพื่อรักษาโรคให้หาย
ฉันใดก็ฉันนั้น นักกีฬาก็เช่นกันเมื่อมีใครมาบอกว่า อาหารประเภทไหน
ช่วยบำรุงพละกำลัง นักกีฬามักจะเชื่อเอาไว้ก่อน คติยุคใหม่กล่าวว่า
"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ในที่สุดการไม่ลบหลู่จึงค่อยๆ แปลงไปเป็น
ความเชื่อเข้าจนได้
|
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับโปรตีน |
ผู้เขียนเคยเจอคำถามจากนักกีฬาทั้งสมัครเล่นทั้งอาชีพอยู่บ่อยๆ คำถามส่วนใหญ่ผู้ถามมีแนวโน้มที่จะเชื่ออยู่แล้ว เหตุที่ต้องมาไต่ถาม
ก็เพื่อหาความมั่นใจเท่านั้น ในที่นี้ผู้เขียนจะยกตัวอย่าง
ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารของนักกีฬาเฉพพาะเรื่องโปรตีน และขอบอกว่า
ความเชื่อเหล่านี้ล้วนเป็น
ความเชื่อที่ผิดๆ ทั้งสิ้น อาทิ
-
เรื่องที่มีทั้งนักกีฬาทั้งไม่ใช่นักกีฬาเชื่อกันว่า นักกีฬาจำเป็นจะต้อง
ได้รับอาหารประเภทโปรตีนเสริม โดยเชื่อว่าโปรตีนเสริม
จะไปช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่และแข็งแรงขึ้นได้ ทำให้ออกกำลังกาย
ได้มากขึ้น นานขึ้น ทั้งยังมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
-
มีบางคนเชื่อเพิ่มเติมไปอีกว่าในระหว่างออกกำลังกายนั้น
ร่างกายจะสลายกล้ามเนื้อบางส่วนให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน
นักกีฬาจึงต้องเสริมโปรตีน ความเชื่องมงายเรื่องโปรตีนอย่างนี้เอง
ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์โปรตีนเสริมรวมไปถึงบรรดาซุปไก่สกัดทั้งหลาย
ขายดิบขายดีในหมู่นักกีฬาและนักเรียน นักศึกษาที่ใกล้สอบ
-
มีนักกีฬาไม่น้อยที่ทุกครั้งก่อนการแข่งขันจะบำรุงร่างกาย
ด้วยอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไข่ เพราะเชื่อว่าอาหารประเภทนี้
จะทำให้ร่างกายมีพละกำลังเต็มที่ ผู้เขียนเคยพบว่า ผู้ฝึกสอนนักมวยบางคนเสริมเนื้อนมไข่ให้แก่นักมวยของตนเอง
อย่างเต็มที่ในช่วงใกล้การแข่งขัน ผลที่ออกมาให้ได้เห็นกันบ่อยๆ
คือ นักมวยแพ้
เมื่อนักมวยแพ้แทนที่จะเข้าใจว่าตนเองบำรุงนักมวยแบบผิดๆ กลับกลายเป็นว่านักมวยยังบำรุงด้วยโปรตีนน้อยเกินไป ยิ่งถ้าได้เจอแพทย์ที่ไม่เข้าใจโภชนาการบางคนตอกย้ำ
ประโยชน์ของการเสริมโปรตีนในหมู่นักกีฬาด้วยแล้ว
ความเชื่อก็ยิ่งฝังใจถึงระดับงมงายเลยทีเดียว
|
ข้อเท็จจริง...เรื่องอาหารกับนักกีฬา |
ผู้ที่เป็นนักกีฬาอย่างน้อยควรจะรู้เรื่องอาหารกับสุขภาพไว้บ้าง การเล่นกีฬาถือเป็นการทำงานโดยใช้แรงกายประเภทหนึ่ง ร่างกายจึงต้องการพลังงานที่สะสมไว้เพื่อการทำงาน เรื่องเล่นกีฬา
ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่นักกีฬาจำเป็นต้องมีตารางการรับประทานอาหาร
ทั้งปริมาณและชนิดให้เหมาะสมมากกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ก็เพื่อให้สภาพร่างกายพร้อมที่สุดสำหรับการซ้อมและการแข่งขัน
คนทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วอาจเริ่มงานได้ทันที ไม่สำคัญว่าร่างกายพร้อมที่จะทำงานหนักหรือไม่ แต่นักกีฬาจะทำอย่างนั้นไม่ได้เนื่องจากร่างกายยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อม นักกีฬาจึงควรออกกำลังหลังมื้ออาหารผ่านไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง บางครั้งนักกีฬาอาจจะต้องลดอาหารหรือเว้นอาหารบางมื้อไปเลย
ข้อที่ควรจำคือ ร่างกายจะใช้พลังงานที่สะสมไว้เท่านั้น
ไม่ได้ใช้พลังงานตรงๆ จากอาหาร การรับประทานอาหารจึงเป็น
การนำพลังงานไปสะสมไว้ก่อนที่จะนำมาใช้เมื่อต้องการ
นักกีฬาไม่ควรเข้าใจผิดว่าเมื่อรับประทานโปรตีนแล้วร่างกาย
จะนำไปสะสมไว้ในรูปของโปรตีนเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน
ร่างกายไม่ใช้โปรตีนเป็นพลังงานเลย ร่างกายใช้พลังงานจากแป้ง
และไขมันเป็นหลักเท่านั้น
การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายมีสองแบบคือ
ใช้ออกซิเจน (aerobic) กับ ไม่ใช้ออกซิเจน (anaerobic)
กรณีของแบบที่ใช้ออกซิเจนเป็นการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อ
หลายกลุ่มต่อเนื่องกันยาวนานพอควรโดยไม่เหนื่อยจนเกินไป
ดังเช่น การเดินเร็ว การวิ่งเหยาะ (jogging) กระโดดเชือก
การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นรำ ฯลฯ
การออกกำลังกายลักษณะนี้ร่างกายจะใช้ไกลโคเจนหรือแป้ง
และไขมัน ตามปกติจะไม่ใช้โปรตีนเลย การออกกำลังกาย
แบบแอโรบิกนี้หากหักโหมหรือทำไม่เป็นจังหวะ ร่างกายจะเปลี่ยน
วิธีใช้พลังงานไปในที่สุด จะมีการสะสมกรดแลกติกขึ้นในกล้ามเนื้อ
และในเลือด ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า เข้าระดับการออกกำลัง
โดยไม่ใช้ออกซิเจนแล้ว การออกกำลังกายหลังจากนี้จะทำให้ร่างกาย
เหนื่อยหอบ ควรพักเพื่อให้ร่างกายกำจัดกรดแลกติก
ออกจากเลือดให้หมดเสียก่อนจึงค่อยออกกำลังต่อไป
หากเราลองพิจารณาการใช้พลังงานจะเห็นว่า ทั้งแบบใช้และ
ไม่ใช้ออกซิเจน ร่างกายไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโปรตีนเลย ดังนั้น
การเสริมโปรตีนจึงไม่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพ
ของการแข่งกีฬาแม้แต่น้อย ใครที่เล่นกีฬาหรือดูหนังสือ
เตรียมสอบหนักแล้วเที่ยวไปหาซื่อโปรตีนมาเสริมนั้น
ก็เพราะหลงประเด็นหรือเคลิ้มไปกับการโฆษณาเท่านั้น
|
การใช้พลังงานระหว่างการเล่นกีฬา |
ขณะออกกำลังกาย กล้ามเนื้อจะใช้พลังงานที่สร้างจากไกลโคเจน
หรือแป้งที่มีในกล้ามเนื้อและตับ การหักโหมออกกำลังกาย
ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ทุกวันจะทำให้ไกลโคเจนในกล้ามเนื้อ
ลดปริมาณน้อยลง การเสริมอาหารสำหรับนักกีฬาที่ดีที่สุดคือ การเติมไกลโคเจนให้แก่กล้ามเนื้อซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อย 48 ชั่วโมง ดังนั้นการพักผ่อนและการได้รับอาหารครบส่วนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
การได้รับอาหารคาร์โบไฮเดรตสูง (60-70%) ทีละน้อยบ่อยครั้ง
คาร์โบไฮเดรตในรูปของน้ำตาลจะช่วยสร้างไกลโคเจน
กลับสู่กล้ามเนื้อได้ดีกว่าการรับประทานอาหารหนักเป็นมื้อ ทำให้ร่างกายเสริมไกลโคเจนกลับสู่กล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการเสริมโปรตีนแทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เป็นไปได้ที่มีการสลายโปรตีนออกมาบ้างเล็กน้อยในขณะที่ออกกำลังกาย แต่โปรตีนที่สลายไม่ได้ถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานอย่าได้เข้าใจผิดในเรื่องนี้ ตามปกติร่างกายควรได้รับโปรตีนประมาณ 15% ของพลังงานนักกีฬา
ควรได้รับโปรตีนเท่าๆ กับคนทั่วไปไม่ได้ต้องการสัดส่วนของโปรตีนพิเศษ
แต่อย่างใด
มีคำถามอยู่ว่าหากได้รับโปรตีนเสริมให้มากขึ้น
จะเป็นผลดีต่อรางกายไหม คำตอบคือ หากร่างกายได้รับโปรตีน
ประมาณ 15% อยู่แล้วอย่าได้ไปเสริมให้สิ้นเปลือง การได้รับโปรตีนมาเกินไปจะไปสร้างปัญหาให้แก่ไตได้ เมื่อไตมีปัญหาอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำตามมา นอกจากนี้แล้วการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงจะทำให้ร่างกาย
สูญเสียแคลเซียมไปกับปัสสาวะด้วย
อาหารที่ดีที่สุดก่อนการแข่งขันควรเป็นอาหารเบา ไขมันต่ำ
โปรตีนต่ำ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนหรือแป้งสูง และต้องรับประทาน
3-4 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน เพื่อให้ร่างกายมีเวลาย่อยอาหาร
ดูดซึม และนำไปสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจน
ส่วนคนที่อยากกล้ามใหญ่ แรงดี พลังมากต้องหมั่นฝึกซ้อม และต้องจำไว้ว่าเรื่องโปรตีนกับเรื่องกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เป็นคนละเรื่อง รับประทานโปรตีนมากกล้ามก็ไม่ใหญ่ขึ้น ขณะที่สมองก็ไม่ได้ดีขึ้น การเสริมโปรตีนมีแต่จะทำให้ยากจนลง เพราะอาหารโปรตีน
เป็นสารอาหารราคาแพง การเสริมโปรตีนแก่นักกีฬาจึงเป็นเพียง
เรื่องของความเข้าใจผิดเท่านั้น
|