มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ คัดลอกจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 2542 ]

อาหารคลายเครียด

เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์


"อาหารจะช่วยคลายเครียดได้อย่างไรกัน?"

คุณรัชนีรำพึงแค่คิดถึงข้าวเหนียวมะม่วง หรือข้าวมันไก่ เธอก็เกิดอาการเครียด แล้วจินตนาการว่า เอวองค์อรชรอ้อนแอ้นแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นตุ่มสามโคก

"อาหารคลายเครียดได้อยู่แล้ว" คุณสมชายแย้งทุกปลายเดือน เขาจะเกิดอาการเครียด เมื่อต้องขอดข้าวสารก้นถัง หรือเห็นตู้เย็นว่างเปล่า

ช่างประไร จะคลายเครียดหรือจะเพิ่มความเครียดล้วนไม่เกี่ยวกับผม เพราะผมมีวิธีดับเครียด" คุณชาญชัยดูดบุหรี่วาบ ๆ แก้เครียด แต่ทุกครั้งที่หยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นสูบ เขาจะเกิดอาการเครียดโดยไม่รู้ตัว นึกสังหรณ์ว่ามวนนี้อาจเป็นมวนสุดท้ายก่อนที่มะเร็งปอดจะเผยโฉม

ความเครียด

ความเครียดเกิดกับเราทุกคน ตลอดเวลา ไม่ใช่เรื่องแปลก ในชีวิตประจำวัน แม่บ้านเครียดเมื่อรถโรงเรียนยังไม่นำลูกชายมาส่งบ้านตามเวลา พ่อบ้านเครียดเมื่อเจ้านายสั่งให้อยู่ออฟฟิศล่วงเวลา ลูก ๆ เครียดเมื่อโทรทัศน์ที่บ้านเสีย เด็กสาวหงุดหงิดใจเมื่อสิวเม็ดโตโผล่ที่หน้า ในวันถ่ายรูปสติ๊กเกอร์

ความเครียดจึงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน คนที่ไม่มีความเครียดเลยจะกลายเป็นคนเฉื่อยชา ไม่มีแรงกระตุ้น ชีวิตเรียบง่ายเกินไป คนเราจึงชอบที่จะหาเรื่องทำให้เครียดบ้าง เช่น ผ่อนรถ ซื้อหวย ดูหนังชีวิต อ่านหนังสือตื่นเต้นเร้าใจ สยองขวัญประเภทศพใต้เตียง ผีหัวขาด เพื่อเพิ่มรสชาติให้แก่ชีวิต

ความเครียดในขนาดที่เหมาะสมก็เป็นประโยชน์ นักกีฬาจะวิ่งได้ดีที่สุดในวันแข่งขันมีกองเชียร์มากมาย เพราะความคาดหวังจากกองเชียร์เป็นแรงกดดันให้เกิดความเครียด นักธุรกิจคิดกลยุทธ์การตลาดใหม่ ๆ เมื่อเจอคู่แข่ง แม่บ้านหันมาสนอกสนใจความสวยของตน เมื่อพบว่า สามีเริ่มกลับบ้านผิดเวลา

แม้ความเครียดจะมีส่วนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น แต่เราต้องควบคุมไม่ให้เครียดเกินจุดวิกกฤต หรือพูดภาษาชาวบ้านคืออย่าเครียดจนน็อตหลุด พ่อบ้านเครียดจัด ทะเลาะกับเมีย วิ่งออกจากบ้านโดนรถชนตาย เพราะกำลังหูอื้อตามัว นักเรียนเครียดจัดจนถ่ายไม่หยุดในวันสอบไล่

ทำไมต้องเครียด

จริงสินะ ทำไมธรรมชาติต้องมอบความเครียดให้เรา

อันที่จริงความเครียดเป็นกลไกชนิดหนึ่งที่มีวิวัฒนาการมา เพื่อให้ร่างกายมนุษย์เตรียมพร้อมรับมือในยามคับขัน เมื่อคุณเจอหมาดุ หลอดเลือดเล็กๆตามผิวหนังและปลายมือปลายเท้าพร้อมใจกันหดตัว เพื่อนำเลือดไปสะสมไว้ในอวัยวะสำคัญ คุณจึงรู้สึกผิวหนังซีดเย็น รูขุมขนหดตัวทำให้ขนตั้งชัน ศัตรูเกิดเกรงกลัวเพราะดูเผิน ๆ เหมือนขนาดตัวใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกับเม่นพองขน

ความเครียดช่วยเตรียมออกซิเจนไว้ในกระแสเลือดเต็มที่ ทำให้คนเครียดหอบหายใจหรือหายใจเร็วขึ้น กระดูกขับเลือดแดง และขาวออกมามากขึ้น ท่อทางเดินอาหารจะปิดชั่วคราว ต่อมน้ำลายหยุดทำงาน ทำให้รู้สึกปากแห้ง คอแห้ง ม่านตาขยาย ขณะที่ต่อมสำคัญเช่น ต่อมหมวกไตจะหลั่งสารสเตียรอยด์ออกมาทำให้เกิดพละกำลัง ผมเคยเห็นผู้หญิงวัยสี่สิบห้าข้างบ้านอุ้มถังก๊าซขนาดใหญ่ วิ่งตัวปลิวออกจากบ้านเพราะได้ยินคนตะโกนไฟไหม้ ๆ

นอกจากนี้ต่อมไร้ท่ออื่น ๆ ยังหลั่งฮอร์โมนออกมาเพื่อเตรียมความพร้อม ให้กับร่างกาย เช่น ไทรอยด์ฮอร์โมน ทำให้คึกคัก ร่างกายเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เอ็นดอร์ฟินจากต่อมไฮโปรธาลามัสช่วยยับยั้งความเจ็บปวดคล้ายยาฉีดมอร์ฟีน คนที่ถูกรถชนโครมอาจไม่รับรู้ความเจ็บปวดอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง เพราะกลไกความเครียดทำงาน

จึงเห็นได้ว่า กลไกความเครียดที่กล่าวมาเหมาะสำหรับมนุษย์สมัยโบราณ เพื่อรับมือกับศัตรู จำพวกที่จะประทุษร้ายร่างกายโดยตรง ทำให้มีประสิทธิภาพในการตั้งรับ รุก หรือ ถอยร่นเต็มร้อย แต่สังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนกว่านั้นมาก เรากำลังเผชิญกับภัยจากเทคโนโลยี ซึ่งยืดเยื้อยาวนาน ทำให้เกิดความเครียดสะสม เช่น เครียดเนื่องเพราะอาศัยในสลัมแออัดหายใจรับกลิ่นน้ำเน่าเช้าเย็น จราจรจลาจล เศรษฐกิจทรุด ฯลฯ

คนทุกวันนี้ มีโอกาสสัมผัสกับธรรมชาติแต่เพียงน้อย พื้นดิน ต้นไม้ และทุ่งไล่ถูกแทนที่ด้วยปูนซีเมนต์กระจกรถยนต์ ์เราปกป้องตัวเองจากอุณหภูมิที่แปรเปลี่ยนตามฤดูกาลด้วยเครื่องปรับอากาศ ขณะที่ท้องฟ้าแจ่มใสถูกปกคลุมด้วยมลพิษทั้งวันทั้งคืน และพร้อมกันนั้น วิถีทางคลายเครียดของเรากำลังลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ บางคนคลายเครียดในผับบาร์ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ออกกำลังกายในดิสโก้เธคที่แออัดยัดเยียดใช้สารเสพติด ตรงข้ามกับวิถีชีวิตเนิบนาบของคนสมัยก่อน พวกเขาไม่ต้องเครียดกับเป้าทางธุรกิจหรือเสียงนาฬิกาปลุกยามเช้า และมีวิธีคลายเครียดโดยการเข้าวัดฟังธรรม

ไม่แปลกที่อัตราฆ่าตัวตาย และสถิติการเจ็บป่วยจากความเครียดในปัจจุบันเพิ่มสูง

อันตรายจากความเครียด

เมื่อเกิดความเครียด เราต้องหาทางระบาย มิฉะนั้นอาจก่อให้เกิดอันตราย กับร่างกายจิตใจ และถึงกับเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

การศึกษาเมื่อสองปีที่แล้ว โดยนักวิจัยออสเตรเลีย พบว่า ความเครียดกระตุ้นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียร่วมกับสวีเดน ในคนป่วยหญิงชาย 569 พบว่า คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มีประวัติเครียดจากการทำงานอย่างหนัก และคนที่เครียดตลอดสิบปี จะเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ถึง 5.5 เท่าของคนปกติ

ดร.ฮันส์ เซลล์ ศึกษาโดยทำให้หนูตะเภาเกิดความเครียดต่อเนื่องยาวนาน เมื่อเทียบกับหนูที่ไม่เครียด พบว่าหนูที่เครียดมีภูมิต้านทานลดลง ต่อมน้ำเหลืองหดตัว เกิดติดเชื้อ ปอดบวมเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตายในที่สุด

จะเห็นได้ว่า ความเครียดไม่เพียงก่อให้เกิดความไม่คงที่ทางอารมณ์ หงุดหงิด ตื่นกลัว ตกใจ เกิดความผิดปกติทางจิตใจ แต่มันสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคทางกายหลายรูปแบบ นักเรียนเครียดจัดเกิดการหดเกร็งของกระเพาะในวันสอบสัมภาษณ์ ทำให้คลื่นไส้อาเจียน พูดไม่ได้ หรือท้องเสีย ขณะนั่งสอบ นักกีฬาที่ถูกกดดันมากเกิดกล้ามเนื้อเกร็งเป็นตะคริวกะทันหัน ผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง พาลเครียด เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร (ลูกหลานจึงต้องขอร้องให้คุณหมอช่วยปกปิดอย่าให้คนไข้รู้ เดี๋ยวจะเครียด)

ความเครียดจึงเหมาะที่จะเป็นอาวุธสำหรับต่อสู้กับศัตรู ที่เกิดชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ศัตรูในโลกทุกวันนี้ก่อให้เกิดความเครียด ในลักษณะเรื้อรัง กลไกความเครียดจึงทำงานต่อเนื่อง สร้างปัญหาต่อเจ้าของร่าง

คุณจึงต้องเรียนรู้วิธีการกำจัดหรือควบคุมความเครียด ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมยิ่งกว่าคนสมัยโบราณ

อาหารกับความเครียด

อาหารกับความเครียดอาจผูกความสัมพันธ์กันได้ สองลักษณะคือ

  1. อาหารช่วยลดความเครียด สารสำคัญบางอย่างในอาหาร ช่วยให้คลายเครียด ทั้งโดยตรง หรือโดยทางอ้อมเช่นทำให้นอนหลับสนิท แบบนี้เป็นความสัมพันธ์เชิงบวก
  2. ความเครียดก่อความสัมพันธ์เชิงลบกับอาหาร โดยความเครียดทำให้เกิดปัญหาต่อกระบวนการย่อยอาหาร การขับถ่าย หรือทำให้บริโภคอาหารล้นเกินจนเกิดโรคอ้วน

วิธีกำจัดความเครียดด้วยวิธีธรรมชาติแบบง่าย ๆ มีมากมาย แต่ในแง่มุมของอาหารคลายเครียด ผมขอยกนิ้วให้ขี้เหล็กครับ

ขี้เหล็ก หลับง่าย ถ่ายคล่อง

ตำรับยาแผนโบราณของหมอพร หรืออีกนัยหนึ่งกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของคนไทยได้จารึกตำรับยา ช่วยบรรเทาเครียดแก้โรคประสาท ว่า ให้เอาแก่นขี้เหล็ก แก่นฝาง ใบมะกา ใบมะขาม ใบส้มป่อย ฯลฯ รวม 24 สิ่งหนักเท่ากัน ใส่หม้อต้มน้ำพอควร รับประทานครั้งละ 1 ถ้วย วันละ 2 เวลาได้ผลชะงัดนักแล

นอกจากนี้ในตำรับแผนไทยฉบับอื่นๆ ยังกล่าวถึงสรรพคุณขี้เหล็กไว้ตรงกันว่า ใบขี้เหล็กแก้นอนไม่หลับ เป็นยาระบายอ่อน ดอกแก้รังแค แก้หืด และอาการนอนไม่หลับ ส่วนขี้เหล็กทั้งห้า (คือเอาทั้งใบดอกผลต้นราก) ช่วยถ่ายพิษกระษัย พิษไข้ ฯลฯ

เอ…ขี้เหล็กมีอะไรดีหนอ?
อย่างนี้ต้องทำความรู้จักซะแล้ว

รู้จักทักทาย

ขี้เหล็กเป็นพืชพื้นเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบทั่วไปในประเทศไทย ศรีลังกา มาเลเซีย และเพื่อนบ้านใกล้เคียง

ขี้เหล็กเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบเป็นใบประกอบหมายถึง มีใบย่อยเล็ก ๆ บนก้านใบแบบใบมะขาม ใบแต่ละใบมีลักษณะเรียว ปลายใบมนหยักเว้าหากเส้นกลางใบเล็กน้อย โคนใบกลมสีเขียว ใต้ใบซีดกว่าด้านบนใบ และมีขนเล็กน้อย

ดอกขี้เหล็กเป็นช่อสีเหลือง คนชนบทนิยมเก็บใบอ่อน และดอกมาทำแกงขี้เหล็ก อร่อยอย่าบอกใคร

การเดินทางในวงการแพทย์

ในช่วงสงครามโลกเมื่อราว 60 ปีมาแล้ว ประเทศไทยขาดแคลนยาและเวชภัณฑ์จำเป็นอย่างหนัก แพทย์ไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ได้พยายามศึกษาค้นคว้าตำรายาไทยเพื่อหาว่าพืชสมุไพรตัวใด ที่อาจนำมาใช้แทนยาแผนปัจจุบันได้

ในราวปี พ.ศ.2485 คุณหมออวย ได้ทำการสำรวจหายาสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทและท่านได้พบว่า สมุนไพรหลายชนิดมีฤทธิ์ต่อประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะขี้เหล็ก ตำรับยาไทยหลายเล่มระบุสรรพคุณตรงกันในด้านคลายเครียด บรรเทาอาการจิตฟุ้งซ่าน ขี้เหล็กเป็นอาหารพื้นบ้านชาวไทยนานหลายร้อยปีแล้ว ความปลอดภัยอยู่ในระดับที่มั่นใจได้

ขี้เหล็กจึงเป็นสมุนไพรที่เหมาะจะนำมาพัฒนา เป็นยาช่วยคลายเครียดได้ดีที่สุด แต่มีฤทธิ์จริงไหมต้องพิสูจน์

ในปี พ.ศ.2490 หรือห้าปีต่อมา แพทย์หญิงอุไร อรุณลักษณ์ แผนกสรีรวิทยา โรงพยาบาลศิริราช ได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง โดยทำการสกัดสารสำคัญจากใบขี้เหล็กด้วยแอลกอฮอล์ แล้วนำสารที่ได้ ฉีดใส่สัตว์ทดลองเพื่อดูว่ามันจะมีฤทธิ์ อย่างที่คนโบราณบันทึกได้หรือไม่ ฮู..เร

สัตว์ทดลองที่ได้กินหรือฉีดสารสกัดจากใบขี้เหล็ก จะมีอาการซึม เคลื่อนไหวช้าลง ชอบอยู่เฉย ๆ ซุกหน้าแต่ไม่ถึงกับหลับ

คุณหมออุไร ได้ทำลองใช้สารสกัดจากขี้เหล็กกับผู้ป่วย ที่มีปัญหานอนไม่หลับ 8 คน พบว่า ขี้เหล็กช่วยให้หลับได้ดีตลอดคืน จึงสรุปได้ว่า ขี้เหล็กมีฤทธิ์เป็นยาสงบระงับ (Sedative) ได้
แสดงว่าสารสำคัญในขี้เหล็กออกฤทธิ์ได้จริงและไม่รุนแรง

นั่นเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของขี้เหล็ก ที่จะได้อวดโฉมในวงการแพทย์ไทยและวงการแพทย์โลก แต่อาจเป็นเพราะยุคสงครามผ่านพ้นความจำเป็นลดลง ผลการทดลองครั้งนี้จึงถูกละเลยนานถึง 30 ปี อย่างน่าเสียดาย

แต่ในเมืองนอก คณะผู้วิจัยในมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม ประเทศอังกฤษได้ศึกษาว่า สารสำคัญตัวนี้คืออะไร และพบในเวลาต่อมาว่า มันคือ สารพวกโครโมน (Chomone) พวกเขาตั้งชื่อมันว่า บาราคอล (Barakol) หรือ แอนไฮโดรบาราคอล
จำชื่อนี้ไว้ให้ดีนะครับ บาราคอลตัวเก่งจากพืชพื้นบ้านของไทย

นานถึง 30 ปีเต็มที่ขี้เหล็กไทยถูกทอดทิ้งในวงการแพทย์ จนถึงปี 2541 เภสัชกรชัยโย ชัยชาญทิพย์ยุทธ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของผู้เขียน ได้หยิบขี้เหล็กขี้เหล็กไทยมาศึกษาอีกครั้งและสามารถสกัดสารบริสุทธิ์สีเหลืองออกมาได้ ในปริมาณความเข้มข้น 0.1% ซึ่งปริมาณบาราคอลขนาดนี้ สามารถนำมาพัฒนาเป็นยาได้ (ว่ากันขี้เหล็กสายพันธุ์ประเทศอื่น จะให้สารสำคัญน้อยกว่านี้ ต้องของพี่ไทยดีที่สุด)

จากนี้เอง ขี้เหล็กพลันกลับมาได้รับความสนใจในวงการเภสัชกรรมอีกครั้งหนึ่ง มีแนวคิดที่จะนำขี้เหล็กบ้านของไทยมาผลิตเป็นยาทดแทน การนำเข้ายาสงบประสาทคลายเครียดจากต่างประเทศ เพื่อการพึ่งพาตนเอง ภาพการขาดแคลนยาจำเป็นเหมือน ช่วงสงครามโลกไม่ควรเกิดอีก

เภสัชกรชื่อดังของประเทศคือ รองศาสตราจารย์ภาวิช ทองโรจน์ แห่งคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ตำแหน่งขณะนั้น ซึ่งก็เป็นอาจารย์ของผู้เขียนอีกเหมือนกัน) วิจัยพบว่า บาราคอลมีฤทธิ์สงบประสาทจริง และทดสอบหาความเป็นพิษ พบว่า บาราคอลมีพิษน้อย

มงคล โมกขสมิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์พบว่า แม้ใช้ 5,000 เท่าของขนาดในตำรายาแผนโบราณ ก็ยังไม่ก่อพิษ

ในปี 2536 นายแพทย์ดำรงศักดิ์ บุญญเลิศ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการศึกษาฤทธิ์ของบาราคอลเป็นยานอนหลับในคน โดยใช้ใบอ่อนของต้นขี้เหล็ก พบด้วยความน่าพอใจว่า สารบาราคอลทั้งในขนาดต่ำและสูงสามารถแสดงฤทธิ์ทำให้หนูขาว นอนหลับใน 15-20 นาที และหลับนานนับชั่วโมง สอดคล้องกับสรรพคุณที่บันทึกไว้ในตำรายาแผนโบราณ

อาจารย์วัชรีวรรณ ทองสะอาด และคณะจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ทดลองเปรียบเทียบฤทธิ์ระหว่าง สารบาราคอลจากใบขี้เหล็กกับยาคลายเครียด Diazepam หรือที่รู้จักกันดีในนามแวเลียม พบว่ามีฤทธิ์คลายเครียดคล้ายกัน

ทราบว่าตอนนี้ องค์การเภสัชกรรมได้ลงมาจับอย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาขี้เหล็กไทยให้เป็นยาคลายเครียด ช่วยให้นอนหลับ อย่างเป็นธรรมชาติแล้วครับ นักวิจัยขององค์การเภสัชกรรมพบเคล็ดลับว่า ยอดอ่อนของขี้เหล็กไทยเท่านั้น จึงจะมีคุณภาพดี คือ สามารถให้สารสำคัญแอนไฮโดรบาราคอลอย่างน้อย 10 มิลลิกรัมต่อเม็ด ถ้าน้อยกว่านั้นยามีฤทธิ์ไม่เพียงพอ

นอกจากฤทธิ์คลายเครียด หนังสือยาสมุนไพร สำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน กระทรวงสาธารณสุข ปี พ.ศ.2537 ว่าแอนทราควิโนนในใบและดอกตูมของขี้เหล็กยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ และช่วยแก้อาการท้องผูกได้

น่าสนใจนะครับ เมืองไทยมีอะไรดี ๆ ที่คนรุ่นใหม่ยังไม่รู้อีกแยะ แหม…หลับง่าย ถ่ายคล่องอย่างนี้ เรา ๆ ท่าน ๆ จะลืมขี้เหล็ก ผักพื้นบ้านของไทยได้อย่างไร จริงไหมครับ

เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์


ขอบคุณหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด
มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NN 4.05][OPERA 3.21] Resolution 800x600
ถ้าโฮมเพจนี้มีประโยชน์ คลิก คลิกแล้วเป็น new window ไม่เสียเวลาครับ คลิกแล้วเป็น new window ไม่เสียเวลาครับ vote ให้กำลังใจด้วยครับ