มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[คัดลอกจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 11ธันวาคม พ.ศ.2542]


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

วลัญช์ สุภากร


ความคึกคักและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ภายในร้านสุขภาพและความงาม"บู๊ทส์" ดัชนีชี้ความใส่ใจ ในสุขภาพของคนเมือง

สิ่งจำเป็นต่อสุขภาพ หรือเป็นความสูญเสียราคาแพงกันแน่?

แต่วันนี้ วิตามินและแร่ธาตุเม็ดเล็กๆ หลากสีบรรจุขวด กำลังกลายเป็นทางเลือกที่ขยายตัวขึ้นทุกที ในสภาพสังคมปัจจุบันของเมืองไทย หลายคนติดปาก เรียกสิ่งเหล่านี้ว่า "อาหารเสริม" มีติดบ้านขวดหนึ่งบ้าง สองขวดบ้าง ในขณะที่บางคนรับประทานผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ราวขนมชนิดหนึ่ง เทใส่มือแล้วกรอกใส่ปาก

ในเชิงวิชาการ ผศ.ดร.วงสวาท โกศัลวัฒน์ นักวิชาการแห่งสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ความหมายของ "อาหารเสริม" ที่แท้จริง หมายถึงลักษณะอาหารที่แพทย์เสริมให้ทารก เสริมให้กับสตรีขณะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร หรือเสริมให้ผู้ป่วยในกรณีไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ ทั้งหมดนั่นก็เพื่อ "ให้ร่างกายได้รับพลังงาน หรือสารอาหารครบถ้วนตามต้องการ"

"แต่ความหมายที่นำมาใช้กันในขณะนี้แปลมาจากภาษาอังกฤษ ว่า Food Suplement ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องการให้เปลี่ยนคำ" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าวและว่า โดยมีข้อบังคับให้ใช้คำใหม่ว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ไม่ได้ เข้าไปแทนที่อาหาร แต่เป็นการเสริมประสิทธิผลร่วมกับอาหาร

"ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" มีความจำเป็นต่อร่างกายจริงหรือ?

"คงต้องแยกพิจารณาเป็นกรณี" เภสัชกรหญิงศรีสุดา ลาภเกียรติถาวร เภสัชกร และผู้จัดการร้านสุขภาพและความงาม บู๊ทส์ สาขาสยามสแควร์ ให้ความเห็น

กรณีแรก : ต้องการอะไรจากการรับประทาน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

"เช่น ถ้าลูกค้าเข้ามาแล้วบอกว่า ช่วงนี้ไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาล พบว่า คอเลสเตอรอลยังไม่ถึงกับสูง คุณหมอยังไม่ได้ให้ยามา แต่อยากลดคอเลสเตอรอล ก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายตัว ที่จะช่วยตรงนี้ได้" เภสัชกรหญิงศรีสุดา ยกตัวอย่าง

กรณีสอง : พฤติกรรมการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะ "การรับประทานอาหาร" และ "การทำงาน"

"บางคนอาจบอกว่า ไม่ต้องทานเลยอาหารเสริม ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็พอแล้ว ในศาสตร์ใหม่ๆ ขณะนี้ หลายคนยอมรับว่า ในวัย 25 ปีขึ้นไป สารอาหารที่ร่างกายต้องการมาก คือ วิตามินกับเกลือแร่ เรารู้ว่าได้จากผักและผลไม้ ก็จะมีคำถามถัดไป ผักและผลไม้ที่เราทานมีความสดพอหรือเปล่า เพราะวิตามินหลายตัวเสื่อมสลายไปได้ง่ายมาก ทั้งจากการถูกแสงแดด กระบวนการเก็บจากต้น ผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะมาถึงเรา วิตามินซีสูญสลายไปทุกขั้นตอน กว่าจะถึงเราอาจไม่เหลือเลย แต่ถ้ามั่นใจว่าทานผลไม้สดจริง ก็โอเค...ตรงนั้นคงจะพอ" เภสัชกรหญิงศรีสุดา กล่าว

อีกประเด็น "เรื่องสารพิษ" ผัก-ผลไม้ส่วนใหญ่ ใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นสารซึ่งก่อมะเร็ง หรือ "อนุมูลอิสระ" คำที่กำลังฮิตกันในเวลานี้ ยังมีเรื่อง บรรยากาศ บางคนต้องเผชิญกับไอเสียจากรถยนต์ สารตะกั่ว โลหะหนัก หรือบางคนที่ สูบบุหรี่ หรือชอบ ดื่มเหล้า การใช้ชีวิตลักษณะนี้มีผลต่อระดับ "วิตามิน บี" ที่ร่างกายต้องการ

"ข้อสงสัยตรงนี้สามารถปรึกษาแพทย์ หรือปรึกษาเภสัชกรที่บู๊ทส์ก็ได้ โดยเข้ามาเล่าถึงสิ่งที่คุณเป็นอยู่ หรือการดำเนินชีวิต เราก็สามารถจะให้คำแนะนำได้ว่า คุณควรจะทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือไม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ทุกรายที่ต้องทาน" เภสัชกรหญิงศรีสุดา กล่าว

ในเรื่องนี้ ผศ.ดร.วงสวาท มีความเห็นว่า วิตามิน และ แร่ธาตุ ในรูป "เม็ด" ซึ่งแพร่หลายในต่างประเทศ เกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในต่างประเทศ
"เขาคิดว่า คนในประเทศเขามีความเครียด ไม่ได้สนใจเรื่องอาหารการกิน อาจได้รับวิตามินไม่เพียงพอจากอาหาร ก็เลยแนะว่า ควรจะเสริมเข้าไปเพื่อให้แน่ใจว่า แต่ละวันจะได้รับวิตามินและแร่ธาตุเพียงพอ" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าว

แต่การที่ไทยกำลังรับวัฒนธรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าจะหยุดคิดสักนิดหนึ่ง

"ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เป็นสินค้านำเข้าคนที่ใช้มาก คือ คนต่างประเทศ พวกอเมริกัน ยุโรป ถ้าเราดูรูปแบบการดำเนินชีวิต รูปแบบการกินอาหาร จะไม่เหมือนกับคนไทยเรา" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าว

ดังนั้น "โรคต่างๆ ที่เขาเป็นอาจไม่เหมือนกับของเรา เหมือนกับว่า เขาต้องการใช้ผลิตภัณฑ์พวกนี้ในสังคมของเขา แต่เรารับมาโดยไม่ได้มองในบริบทของคนไทยว่า จริงๆ แล้ว คนไทยมีปัญหาอย่างนั้นจริงหรือไม่ ทำไมเราต้องกิน ทำไมเราต้องตามก้นฝรั่ง"

ที่สำคัญเรื่องราคา "ในสังคมฝรั่งอาจนิยมการเสริม ซึ่งราคาก็ไม่ได้แพงมากอย่างบ้านเรา เรากำลังซื้อสุขภาพ ในราคาแพงกว่าที่อเมริกันซื้อ ดูอย่างยุติธรรมแล้ว ราคาขายที่อเมริกากับที่ขายในเมืองไทยต่างกันมาก ถึงแม้เป็นราคาที่อเมริกาก็ตาม แต่ด้วยเงินเดือน และค่าครองชีพของเรา มันสูงกว่าสองถึงสามเท่า เราพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินตรงนี้หรือเปล่า"

ผศ.ดร.วงสวาท กล่าวด้วยว่า ขอให้ถามตัวเองอีกครั้ง ถึงแม้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีความน่าเชื่อถือหรือใช้ประโยชน์ได้จริง ก็ควรถามตัวเองว่า จำเป็นแล้วหรือยังที่ต้องใช้ การปฏิบัติตัวของเรามีปัญหา หรือไม่โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารและรูปแบบการดำเนินชีวิต

ความน่าเชื่อถือของ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ที่วางจำหน่ายในท้องตลาดขณะนี้

"ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ไม่ว่าจะเป็นสินค้านำเข้า หรือผลิตในเมืองไทย ต้องผ่านการพิจารณาจาก "อย." ทั้งสิ้น

"ตราทะเบียนของ อย.น่าจะรับประกันความน่าเชื่อถือได้ส่วนหนึ่ง" เภสัชกรหญิงศรีสุดา กล่าว
ตลาดสินค้าประเภทนี้ในอเมริกาซึ่งเป็นตลาดขนาดมหึมาก็มี "สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา(FDA)" ตรวจสอบเช่นเดียวกัน

แต่ระเบียบการต่างกับ "อย.ไทย" ตรงที่ เมื่อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ผ่านการอนุมัติ เอฟดีเอจำแนกสินค้านี้ให้เป็น "อาหาร" สามารถวางจำหน่ายได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปและ โฆษณาได้อย่างค่อนข้างอิสระ

"แต่ถ้าสินค้าตัวไหนไม่ผ่านการอนุมัติ เช่น กลุ่มสลายไขมัน เขาก็ให้ขายแต่จะติดป้ายบอกลูกค้าว่า ตัวนี้ไม่ผ่านการอนุมัติ ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคว่า จะตัดสินใจซื้อหรือไม่" กัลยา หาญวิวัฒนกุล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด บริษัท บู๊ทส์ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

อย่างไรก็ตาม เภสัชกรหญิงศรีสุดา ให้ความเห็นด้วยว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแต่ละตัวต้องยอมรับว่า จะมีการทำวิจัยมา มีเอกสารยืนยัน แต่ในบางคุณสมบัติที่โฆษณาออกไป ก็มีเหมือนกันที่งานวิจัยอาจยังไม่มากพอ ต้องเลือกดูแต่ละสภาพความต้องการของลูกค้า"

ผศ.ดร.วงสวาท กล่าวถึงความน่าเชื่อถือว่า ปัจจุบันผู้บริโภคกำลังค่อนข้างสับสน เนื่องจากการนำ "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" มาจดทะเบียนเป็น "อาหาร" แต่เวลาโฆษณากลับบอกว่า มีสรรพคุณในการรักษาและการป้องกันโรค

"ซึ่งจริงๆ ไม่ถูกต้อง และผิด พ.ร.บ.โฆษณา เป็นการโฆษณาเกินความจริง ถ้าอยากจะจดทะเบียน ในลักษณะที่ว่าเพื่อสุขภาพต้องจดทะเบียนเป็นยา"

เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุม เมื่อสินค้าออกสู่ท้องตลาดไปแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิด ในลักษณะของ Post Marketing

"ปัญหาที่เกิดขึ้นการทำการตลาดภายหลังจากที่จดทะเบียนแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข หลายประเทศมีปัญหาเหมือนกันแม้กระทั่งสหรัฐ การถอนสินค้าออกมาจากชั้นวางขาย ต้องมีหลักฐาน ต้องมีการฟ้องร้องในแง่ที่ว่าเป็นการหลอกลวง และทำให้เกิดอันตราย ถึงจะมีอำนาจถอดถอนได้" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าว

ในแง่ "สรรพคุณ" ผลิตภัณฑ์บางอย่างมีการศึกษาจริง แต่สรุปผลไม่ชัดเจน

ผศ.ดร.วงสวาท ขยายความว่า "ภาพรวมของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ขณะนี้ที่โฆษณาว่า มีสรรพคุณในการรักษาโรค มีบทบาทอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น จับไขมัน ลดความดัน จริงๆ แล้วด้วยตัวยาซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ เมื่อทำการทดลอง มีสรรพคุณนั้นจริง เช่น สารที่สกัดออกมาจากกระเทียม เมื่อนำไปทำการศึกษาในหลอดทดลอง พบว่า ลดระดับไขมันชนิดหนึ่งได้จริง หรือลดความดันอย่างอ่อนในหนูได้"

"แต่ในความเป็นจริง ผลิตภัณฑ์พวกนี้ เวลาพูดถึงบทบาท สิ่งที่ขาดช่วงไป คือ เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายดูดซึมได้หรือเปล่า" และ "เมื่อดูดซึมไปแล้ว ดูดซึมไปในรูปแบบที่ออกฤทธิ์จริงหรือเปล่า หรือถูกย่อย เป็นจุดที่คนยังไม่เข้าใจ"

"เวลาอ่านคำโฆษณาเหมือนมันมีฤทธิ์อย่างนั้นอย่างนี้จริง ในเชิงวิชาการถูก แต่สำหรับอาหารตัวทำได้อย่างนั้นจริงหรือไม่ ยังไม่ได้ให้ข้อเท็จจริงตรงนี้" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าว

ความหลากหลายของยี่ห้อ เลือกซื้อตัวไหนดี?

มี "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" มากมายในท้องตลาด ที่สังเคราะห์มาเพื่อจัดการปัญหาสุขภาพของมนุษย์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทเดียวกันก็ยังแตกออกเป็นอีกหลายยี่ห้อ

"ทุกยี่ห้อมีความแตกต่างในตัวเอง" เภสัชกรศรีสุดา กล่าว เช่น "น้ำมันปลา" หรือ "โอเมก้า-3" ในตลาดมีเป็นสิบยี่ห้อ

แต่สารที่ร่างกายต้องการจริงๆ ใน "น้ำมันปลา" คือ กรดไขมัน อีพีเอ กับ ดีเอชเอ ซึ่งปริมาณของสารสองตัวนี้ ที่มีในน้ำมันปลาแต่ละยี่ห้อ จะมีปริมาณที่นำไปใช้ประโยชน์แตกต่างกัน
"อีพีเอ (EPA-กรดไอโคโซเพนทาอีโนอิก)" ลดปัญหาเลือดแข็งตัวอุดตันในหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ
"ดีเอชเอ (DHA-กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก)" ออกฤทธิ์ได้เช่นเดียวกับ "อีพีเอ"

ในท้องตลาดมีวิตามินซีหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อมีความแตกต่างกัน บางยี่ห้อเป็นวิตามินซีอย่างเดียว บางยี่ห้อทำออกมาเป็นวิตามินซีผสมสารอย่างอื่น สารแต่ละตัวที่ใช้ผสมก็จะมีคุณประโยชน์แตกต่างกัน

"การปรึกษาเภสัชกร หรือคนขายที่มีความรู้ จะสามารถแนะนำได้ว่าแต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร และอธิบายให้เข้าใจได้ว่า ควรเลือกผลิตภัณฑ์ตัวใด" เภสัชกรศรีสุดา แนะนำ

ผศ.ดร.วงสวาท มีความเห็นเช่นเดียวกันว่า การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ไม่ควร ซื้อตามการบอกเล่าปากต่อปาก เพราะผลสำเร็จที่เกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง อาจไม่เกิดขึ้นกับอีกคนก็ได้

"เวลาโฆษณาไม่มีใครเอาสิ่งที่ตัวเองไม่ประสบความสำเร็จมาโฆษณา เลือกเฉพาะกรณีที่ประสบความสำเร็จ และเราก็ไม่รู้ว่า กลุ่มที่ประสบความสำเร็จมากหรือน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ประสบความสำเร็จ" ผศ.ดร.วงสวาท ให้ข้อคิด

และแนะนำว่า การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ ควรพิจารณาถึง "หลักฐานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์" ที่ผู้ผลิตนำมายืนยันว่า มีความชัดเจนหรือไม่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ

จุดที่ลำบาก คือ "แผ่นโฆษณา" ที่มักอ้างอิง การสำรวจที่ตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ

"บางครั้งเอกสารที่ใช้อ้างอิง เป็นข้อมูลการศึกษา สารที่ออกฤทธิ์นั้นจริง แต่ไม่ได้ศึกษาผลิตภัณฑ์ของเขา กลายเป็นการนำเรื่องทั่วๆ ไปมาอ้าง" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าว

ก่อนจะตัดสินใจซื้อ "อย่าแค่จ่ายเงินเสร็จแล้วเดินออกจากร้าน อยากให้ปรึกษากับเภสัชกร หรือคนขายให้แนะนำวิธีใช้ ข้อระวังในการใช้ เพราะโรคประจำตัวก็มีผล คนเป็นโรคลมชัก สารที่เป็นอิฟนิ่งพริมโรสตัวนี้ ก็ไม่แนะนำให้ทาน มีผลให้เกิดอาการชักมากขึ้น มีผลต่อระบบสมอง ระบบประสาท ปรึกษาก่อนดีกว่า เพราะสินค้าเหล่านี้ ต้องขายตามร้านขายยาอยู่แล้ว" เภสัชกรหญิงศรีสุดา กล่าว

สุขภาพแข็งแรงดี แต่สงสัยว่าตัวเองสมควร ต้องใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้บ้างหรือไม่? หรือถึงเวลาที่ต้องใช้กับเขาบ้างหรือยัง?

เพื่อตอบข้อสงสัยนี้ เภสัชกรศรีสุดา ขอให้ผู้สงสัยแต่ละท่าน สำรวจ "การใช้ชีวิต" ของตนเอง และลองพิจารณาการ "ถาม-ตอบ" ต่อไปนี้

  • "คนทั่วไปอาจบอกว่าตนเองไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ปกติทุกอย่าง"
  • "เราก็ต้องถามว่า คุณทานผักและผลไม้มากน้อยขนาดไหน โดยเฉพาะวิตามินซี"
  • "ปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการตามทฤษฎี เพื่อไปเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต้องใช้ประมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน นี่คือ ต่ำแล้วนะคะ จริงๆ บ้านเราตอนนี้ อย.ยังกำหนดแค่ 60 มิลลิกรัม แต่หกสิบมิลลิกรัมที่ต้องการต่อวันนั้นหมายความว่า เพื่อไม่ให้เกิดโรคลักปิดลักเปิด"
  • "แต่ปริมาณ 500 หรือ 1,000 มิลลิกรัม คือ ปริมาณที่เพียงพอสำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และในกรณีของการเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์"
  • "วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม จะเท่ากับผลไม้ขนาดไหน"
  • "ถ้าเป็นฝรั่ง (วิตามินซีมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ มะขามป้อม) ลูกโตๆ เด็ดมาจากต้นเดี๋ยวนั้น ต้องประมาณ 4 ลูกโต ถึงจะเท่ากับ 1,000 มิลลิกรัม"
  • "ถามว่าในชีวิตประจำวัน โอกาสที่เราจะได้ทานฝรั่งอย่างนั้น มีมากแค่ไหน"

"แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตไม่เสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพ ชอบทานผักผลไม้สด ไม่เจอมลพิษ ทานผักปลอดสารพิษ กรณีนี้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองว่า จะตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือไม่" เภสัชกรศรีสุดา ยกตัวอย่าง

"วิตามินซี" เป็นสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับมนุษย์ ช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นองค์ประกอบเนื้อเยื่อ กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ ควบคุมระดับไขมัน กระตุ้นให้มีการขับคอเลสเตอรอลส่วนเกินทิ้งไป เปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารจำเป็นในสมอง ช่วยให้กระดูกมีสภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ซ่อมแซมยามเกิดการแตกหักหรือร้าวบิ่น มีความสำคัญ ต่อการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของเส้นเลือดฝอย

นักวิชาการส่วนใหญ่แนะนำว่า ปริมาณวิตามินซี ที่ร่างกายต้องการขนาดต่ำสุดต่อวัน คือ 100-150 มิลลิกรัม จึงจะเหมาะสำหรับการดำรงชีวิตที่ดีในยุคสังคมปัจจุบัน

เด็กทารก ควรได้รับวิตามินซีอย่างน้อย 50 มิลลิกรัม ในอาหารหนึ่งมื้อ
คนที่รับประทานยาแอสไพริน จะต้องเพิ่มขนาดวิตามินซี เป็น 200-300 มิลลิกรัมต่อการได้รับแอสไพรินหนึ่งเม็ด
คนที่สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้า ต้องการวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม/วัน เพราะพิษที่มีอยู่ในควันบุหรี่และแอลกอฮอล์ มีฤทธิ์ขับวิตามินออกจากร่างกาย และยังทำลายวิตามินส่วนที่เหลือ
คนที่มีความเครียดสูง ควรได้วิตามินซี วันละ 500 มิลลิกรัม (หนังสือ "พลังมหัศจรรย์ในอาหาร, เภสัชกรสรจักร ศิริบริรักษ์, สำนักพิมพ์เปรียวพริ้นติ้ง)

ผู้คนกำลังสนใจ "วิตามิน" และ "แร่ธาตุ" ตัวใดเป็นพิเศษ?

ร้านเพื่อสุขภาพและความงาม บู๊ทส์ เป็นร้านที่มีชั้นวางจำหน่าย "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" เป็นสัดส่วน มีอยู่มากมายหลายสาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่ละสาขามีเภสัชกรประจำ

เภสัชกร "บู๊ทส์ สาขาสยามสแควร์" กล่าวว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีคนเดินเข้ามาขอคำปรึกษามากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก รองลงไปคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ซึ่งผู้สนใจส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ตามมาด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์แอนตี้ออกซิแดนท์ (กรดโฟลิค เบต้าแคโรทีน สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินซี/อี/บี ฯลฯ) ได้รับความสนใจมากเป็นอันดับ 3

"คนไทยเริ่มนึกถึงสุขภาพมากขึ้น ทำยังไงให้ตัวเองดูดี เพราะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มความอ้วนและผิวพรรณ เป็นสิ่งที่โชว์ออกมาภายนอกว่าตัวเองดูดี มีบุคลิกภาพที่ดี
กลุ่มแอนตี้ออกซิแดนท์ไม่เห็นผลทันทีวันนี้ แต่คนเริ่มสนใจ เพราะมีงานวิจัยที่ทำเกี่ยวกับแอนตี้ออกซิแดนท์ออกมาค่อนข้างมาก และค่อนข้างพูดไปในทำนองว่า อนุมูลอิสระเป็นต้นเหตุ ของการเกิดโรคมากมาย และสารเหล่านี้สามารถไปยับยั้ง หรือไปกำจัดอนุมูลอิสระ เพื่อป้องกันโรคเหล่านั้น" เภสัชกรหญิงศรีสุดากล่าว

สำหรับ กลุ่มผู้ชาย ซึ่งเดินไปปรึกษาเรื่องสุขภาพ มีประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่สนใจว่า "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ตัวใดจะช่วยแก้ความอ่อนเพลียจากการทำงาน เบื่ออาหาร ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ความคิดไม่ติดขัด มีความกระปรี้กระเปร่าในการทำงาน รวมไปถึงกลุ่มซึ่งสนใจ การ "เล่นกล้าม"

เอาใจใส่ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีโดยไม่พึ่ง "ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร" ได้หรือไม่?

ในทรรศนะนักโภชนาการ ตอบว่า "ได้" แต่อาจจะไม่ง่ายนัก

ที่สำคัญต้องให้ความสนใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้น

"ในอดีตคนไทยไม่ค่อยมีโรค ลักษณะการกินของคนในอดีต ต่างจากคนในปัจจุบันมาก" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าว
"คนไทยในอดีตไม่กินไขมันเยอะ ไม่กินในปริมาณมาก ไม่ได้กินอาหารพวกฟาสต์ฟู้ด ไม่มีเค้ก ไม่มีคุกกี้ ของหวานหลังอาหารเป็นของหวานแบบไทยๆ หรือเป็นผลไม้"
"ลองกลับมาเป็นวิธีธรรมชาติ ดูว่า ตัวเองกินอาหารเป็นอย่างไร พยายามกินอาหารให้ได้ครบ อย่ากินเกิน ดูแลอย่าให้ตัวเองอ้วน ถ้าน้ำหนักตัวเพิ่มเมื่อใดแสดงว่าเรากินมากกว่าที่เราใช้ หรือใช้น้อยกว่าที่กินเข้าไป" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าวและว่า เพราะถ้าอ้วนแล้วปัญหาสุขภาพจะตามมาอีกหลายเรื่อง

"กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ที่เราชอบ อาหารไหนที่ไม่ชอบแต่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ควรจะต้องกิน อะไรที่มีไขมันมาก เลี่ยงได้พยายามเลี่ยง ไม่ใช่ให้งด ให้เดินสายกลาง คือ ไม่ใช่กินทุกวัน"

เรื่อง การออกกำลังกาย ก็ต้องทำความเข้าใจกันใหม่

"บางคนบอกวันๆ ทำงาน เดินไปเดินมาก็เหนื่อยแล้ว ทำงานบ้านหนักก็เหมือนออกกำลังกาย อันนี้ไม่ใช่ การออกกำลังกายต้องทำแล้วเพลิน อย่าเครียด ต้องเป็นการออกกำลังกายเพื่อผ่อนคลายด้วย" เดินชอปปิง กับ เดินเพื่อออกกำลังกาย ก็ต่างกัน

"ชอปปิงเป็นการใช้พลังงานไปเฉยๆ แต่การเดินเพื่อออกกำลังกายมีจุดประสงค์ที่ทำเพื่อสุขภาพ และทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจเปลี่ยนในอัตราที่คงที่ ซึ่งคือประโยชน์ที่แท้จริงของการออกกำลังกาย"

"ให้ความสำคัญเรื่องอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ส่วนอาหารเย็นอาจลดปริมาณลงบ้าง และอย่าทานอาหาร ให้เป็นมื้อก่อนนอน" ผศ.ดร.วงสวาท กล่าวและว่า ถ้าต้องการเป็นคนสูงวัยอย่างมีสุขภาพดี ต้องเริ่มต้นดูแลตัวเอง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว อย่าใช้ร่างกายหักโหมโดยไม่สนใจ

เพราะถ้าแก่ตัวลง ไม่ว่าเราขวนขวายหาอะไรมา มันอาจจะสายเกินไป


ขอบคุณหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600