มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[คัดลอกจากเนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 8 ฉบับที่ 384 วันที่ 14 - 20 ตุลาคม 2542 ]

กินเจ

ย้อนหลังกลับไป เมื่อครั้งเทศกาลกินเจปีที่แล้ว ช่วงเวลานั้นผู้เขียนไปตะลอน บรรยายเรื่องอาหารการกินอยู่ใน 4 จังหวัดภาคใต้ เริ่มต้นฉลองเจกันที่หาดใหญ่ จากนั้นจึงพากันเข้าสตูล เราออกจากหาดใหญ่แต่เช้า งีบหลับไปสักพัก ตื่นขึ้นมารถก็เข้าเมืองสตูล สิ่งที่ประทับใจคือตลอดถนนเมนเข้าเมือง มีธงทิวสีเหลืองอักษรสีแดง ประดับประดาเต็มทุกเสาไฟฟ้า ยาวนับเป็นกิโลเมตรทีเดียว

สตูลเป็นจังหวัดที่มีมุสลิมหรือผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม อยู่เป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันในเมืองก็มีคนไทยเชื้อสายจีน จำนวนไม่น้อย บรรยากาศของการกินเจในพื้นที่แถบนี้ดูสนุก ผู้เขียนเห็นมุสลิมหลายคนไปร่วมกินอาหารเจกับเขาด้วย เพราะเจไม่มีอาหารอะไรที่ต้องห้ามสำหรับมุสลิม เทศกาลกินเจ จึงคล้ายจะช่วยผูกสัมพันธ์ให้ชาวจีนกับมุสลิมที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก

จากสตูล ผู้เขียนขึ้นมาถึงเมืองตรัง เมืองของนายกฯชวน ตอนหนึ่งทุ่ม รถติดอยู่ในเมืองตรังหลายชั่วโมง เพราะเข้าไปถึงตอนช่วงที่เขาแห่กันพอดี คนแทบทั้งเมือง นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าขาว บรรยากาศเทศกาลกินเจในเมืองตรัง ดูครึกครื้นกว่าที่สตูล เสียงประทัดระเบิดระงมต่อเนื่องกันไปทั้งเมือง

จากตรังเข้ากระบี่ ซึ่งบรรยากาศของเทศกาลกินเจไม่คึกคักเท่า เราไปจบกันที่ภูเก็ต ซึ่งเทศกาลกินเจของภูเก็ตเป็นเทศกาลใหญ่ น่าจะคึกคักกว่าที่ตรังเสียด้วยซ้ำ เราจำต้องขับรถเลี่ยงถนนหลายสาย ที่เขาเตรียมปิดเพื่อทำพิธีแห่ ดังนั้น ในปีที่ผ่านมา ผู้เขียนจึงได้ไปสัมผัสเทศกาลกินเจถึง 5 จังหวัด เริ่มจากสงขลา สตูล ตรัง กระบี่ แล้วมาจบเอาที่ภูเก็ต สนุกสนานกันเต็มที่ไปเลย

เทศกาลกินเจปีนี้ ซึ่งเริ่มต้นกันตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ผู้เขียนไปไหนไม่ได้ไกล คือได้ไปแค่แก่งคอย สระบุรี เทศกาลกินเจที่เมืองนี้ไม่คึกคักสนุกสนานเท่าทางใต้ ปีหน้าผู้เขียนว่าจะท่องขึ้นไปทางเหนือสักหน่อย อาจจะสัมผัสเทศกาลกินเจอีกแบบหนึ่งก็ได้

เทศกาลกินเจเริ่มกันตั้งแต่วันขึ้นหนึ่งค่ำ ไปจบเอาที่ขึ้นเก้าค่ำในเดือนเก้า ตามปฏิทินจีนของทุกปี ซึ่งตรงกับเดือนตุลาคม เป็นเพราะเดือนเก้าอย่างนี้แหละครับ ทำให้เขาเรียกว่า "เก้าโหว่ยเจ" หมายถึง เทศกาลกินเจเดือนเก้า

การกินเจเริ่มต้นในเมืองจีน แต่จะเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น คงประมาณช่วงเวลาได้ค่อนข้างยาก เพราะประเทศจีน มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับได้หลายพันปี ตำนานการกำเนิดการกินเจมีอยู่หลายตำนานไม่รู้จะเชื่อตำนานไหนดี เอาเป็นว่าเกิดมานานมากไม่มีกำหนดเวลาแน่นอนก็แล้วกัน

การกินเจหมายถึง การไม่กินเนื้อสัตว์รวมทั้งพืชอีกบางชนิดนั้น คนจีนเขาปฏิบัติกันมานานมากแล้ว แต่เทศกาลกินเจ ที่เริ่มต้นกันในเดือนเก้านั้น น่าจะเกิดเมื่อประมาณ 380 ปีนี่เอง ตรงกับยุคกลางของอยุธยานั่นแหละครับ ตำนานที่พอเชื่อถือได้ กล่าวว่าคนจีนเริ่มยึดถือการกินเจเป็นประเพณี และกลายเป็นเทศกาล ก็เพื่อรำลึกถึงนักรบหงี่หั่วท้วงที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินจีนในครั้งนั้น

ช่วงปี พ.ศ. 2163-2183 กองทัพแมนจูเคลื่อนพล มาจากดินแดนแมนจูเรีย เข้ารุกรานประเทศจีน กองทัพจีนประสบความพ่ายแพ้ ก็มีนักรบชาวบ้านหงี่หั่วท้วงนี่แหละ ที่ต่อสู้ต้านทานกองทัพแมนจูอย่างห้าวหาญ และระหว่างการทำศึก นักรบหงี่หั่วท้วงได้ประกอบพิธีกรรมปลุกเสกตัวเอง เพื่อให้ทนปืนไฟโดยการนุ่งขาวห่มขาว ไม่กินเนื้อสัตว์และผักที่กลิ่นฉุน ท่องบริกรรมคาถาตามความเชื่อของคนจีน

แม้จะปลุกเสกกันคร่ำเคร่งอย่างไรก็สู้อำนาจปืนฝรั่ง ของแมนจูไม่ได้ นักรบชาวบ้านกลุ่มนี้เสียชีวิตในการรบมากมาย ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อแมนจู จีนตกเป็นเมืองขึ้นของแมนจู ครั้งนั้นชายชาวจีนถูกบังคับให้โกนหัวด้านหน้าและไว้เปียยาว อย่างชาวแมนจู ทำให้คนจีนคับแค้นกันมาก เหตุนี้เอง ที่ทำให้ชาวจีนรำลึกถึงกลุ่มนับรบหงี่หั่วท้วง ถือว่านักรบเหล่านี้มีบุญคุณเพราะพลีชีพเพื่อปกป้องชาติ

ขึ้น 1-9 ค่ำเดือน 9 ของทุกปี คนจีนจึงยึดถือการกินเจ เป็นประเพณีมานับแต่นั้น เป็นการรำลึกถึงความเป็นชาติจีน ที่ถูกแมนจูในราชวงศ์ชิงปกครองอย่างยาวนาน จะเรียกว่า เทศกาลกินเจเปรียบประดุจการถือธรรมเนียมบุญคุณต้องทดแทน ซึ่งเป็นความหมายที่ดี ก็น่าจะได้

เจ หรือ ไจ แปลว่าไม่มีของคาว หรือหมายถึง ไม่มีเนื้อสัตว์รวมทั้งพืชบางชนิดที่เชื่อกันว่าเกิดมาจากสัตว์ เขาจะเขียนคำว่าไจเป็นอักษรสีแดงบนธงสีเหลือง สีแดง หมายถึง ความเป็นสิริมงคล ส่วนสีเหลือง หมายถึง คุณความดี หรือจะหมายถึงผู้ทรงศีลก็ได้ ธงเจจึงมีความหมายค่อนข้างดี ในช่วงเทศกาลกินเจพวกเราจึงเห็นธงเจลักษณะนี้ติดกันเต็มพรืดไปหมด

ช่วงเทศกาลกินเจนั้น เขาห้ามการบริโภคเนื้อสัตว์ทั้งปวง รวมทั้งปลา นมและไข่ มีบ้างบางคนจะเน้นการงดหอยนางรมเป็นพิเศษ ซึ่งก็น่าจะละเว้นอยู่แล้ว เรื่องหอยนางรมนี้ผู้เขียนไม่ทราบตำนาน ว่าเป็นมาอย่างไร เห็นทีจะต้องถามเอาจากผู้อ่านบ้างแล้วละครับ

นอกจากจะห้ามเนื้อสัตว์ การกินเจยังห้ามผักที่มีกลิ่นฉุนบางชนิด โดยถือว่าเป็นของคาว ได้แก่ หอม กระเทียม หลักเกียว (ผักคล้ายกระเทียมขนาดเล็ก) กุยช่าย (ผักไม้กวาด) ผักชี เครื่องเทศที่เผ็ดร้อน ใบยาสูบ โดยเชื่อว่าผักเหล่านี้ เป็นของคาวที่เพิ่มความกำหนัด บางคนเขาเชื่อว่า พืชผักกลุ่มนี้เกิดมาจากเลือดของสัตว์ ซึ่งก็เป็นอีกตำนานหนึ่ง จากหลายๆ ตำนานของจีน การเป็นประเทศเก่าแก่ ก็ต้องมีตำนานหลายตำนานอย่างนี้แหละ

ในบรรดาพืชผักต้องห้ามเหล่านี้ เขาถือกันว่า กระเทียมทำลายธาตุไฟทำให้เกิดปัญหากับหัวใจ หัวหอมทำลายธาตุน้ำก่อปัญหากับไต กุยช่ายทำลายธาตุไม้ สร้างปัญหาให้ตับ หลักเกียวทำลายธาตุดิน สร้างปัญหาให้กับม้าม และใบยาสูบทำลายธาตุโลหะ สร้างปัญหาให้กับปอด

ประโยชน์จากการกินเจมีค่อนข้างมาก อย่างเช่น ได้ทำบุญเมื่อไม่ไปเบียดเบียนสัตว์ การทำจิตใจบริสุทธิ์ แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็ตามที นอกจากนี้ ยังได้ประโยชน์ตรง จากการลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ ไขมันสัตว์ ได้สารต้านออกซิเดชั่น สารพฤกษเคมีจากพืชผัก ช่วยลดปัญหาโรคหัวใจ เบาหวาน เก๊าท์ และอีกสารพัดโรค การกินเจยาวนานกันเพียง 9-10 วัน ไม่สร้างปัญหาในเรื่องขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งหรอกครับ มีบางคนด้วยซ้ำเมื่อพ้นเทศกาลกินเจมาแล้วกลับกินมากขึ้น เพราะอดมาหลายวัน และตนเองยังไม่ชินกับการอด

ใครที่เห็นประโยชน์จากการกินเจแล้ว อยากจะต่อด้วยอาหารมังสวิรัติก็ไม่มีอะไรจะต้องห้าม ทั้งยังจะขอสนับสนุนอีกด้วย แต่ต้องกินอาหารให้หลากหลาย เสริมถั่ว เสริมงา เสริมพืชผักที่ให้แคลเซียม อย่างโกฏน้ำเต้า มะเดื่อ ข้าวโอ๊ต ผักใบเขียวเข้ม

กินเจ กินมังสวิรัติให้ถูกวิธีทางโภชนาการ ย่อมไม่มีวันขาดสารอาหารหรอกครับ เรื่องนี้ไม่มีอะไรจะต้องห่วง

ดร.วินัย ดะห์ลัน


ขอบคุณเนชั่นสุดสัปดาห์ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600