มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam
[ คัดลอกจากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 22 ฉบับที่ 2 กุมภาพันธ์ 2541]
โรคคลั่งวิตามิน
หมอพัตร
สุดสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปเดินโต๋เต๋อยู่ในศูนย์การค้าเจ้าประจำ
ดังที่เคยปฏิบัติเป็นประจำเพื่อแก้เหงา แม้ข้าวของจะแพงขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างยอบแยบ ก็ยังมีผู้คนเดินกันมากมาย
ไม่แตกต่างกว่าเมื่อก่อนเท่าใดนัก คงเพราะเขามีวิธีล่อใจหลายหลาก
เปิดรายการลดแลกแจกแถมสะบันหั่นแหลก หลายต่อหลายรายรวมทั้งผมเองจึงจ่ายเงินซื้อของโดยไม่ตั้งใจ กลับถึงบ้านเห็นของที่ซื้อมาแล้วจึงคิดว่าไม่รู้จะขนซื้อมาทำไมให้รกบ้าน
ไม่คุ้มค่าเงินเลยจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ กว่าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว
เป็นเช่นนั้นจริงๆ พ่อค้าเขารู้จุดอ่อนของคนซื้อ
การโฆษณาถ้าจี้ให้ถูกจุดเป็นขายดีทุกที แต่สินค้าจำพวกหนึ่ง
ซึ่งไม่จำเป็นต้องโฆษณามาก เพียงแค่ร่ำลือกันปากต่อปากก็พอแล้ว
สินค้าที่ว่านี้คือ วิตามิน, เกลือแร่ และอาหารเสริม, ยาลดไขมัน ใครบอกว่าดีมีประโยชน์ป้องกันโรคนั่นโรคนี่ได้ ดูแต่คนโน้นคนนี้ซิ ตั้งแต่ได้วิตามินผสมเกลือแร่อย่างใหม่นี่แล้ว เดี๋ยวนี้ปึ๋งปั๋งแจ่มใส
อย่าบอกใครเชียว แค่นี้ก็เชื่อแล้ว รีบฝากเขาซื้อทันที แพงเท่าไหร่ไม่เกี่ยง ร้านขายยาเสริมสุขภาพประเภทนี้จึงเฟื่องฟู ทั้งในประเทศเราและต่างประเทศ บางตัวเพิ่งออกตลาดหมาด ๆ สีที่พิมพ์ป้ายสลากยังไม่ทันหมดกลิ่น
ก็จัดรายการพิเศษ เพื่อโปรโมท (ประทานโทษ, ขอใช้ภาษาฝรั่งหน่อย
เพราะไปเจอะเจอที่ต่างประเทศ) มีภาพโปสเตอร์เป็นชายงามสาวสวย
ยืนประคองกัน น่าดูมาก ถ้าซื้อขวดใหญ่มีขวดเล็กแถม
นักท่องเที่ยวซื้อกันจนหยิบขายแทบไม่ทัน สงสัยว่า
จะแน่จริงอย่างภาพโฆษณาหรือเปล่า แต่ถึงอย่างไรก็คงช่วยกำลังใจไปได้พักหนึ่ง มนุษย์เราอยู่ด้วยความหวังจริงๆ นะ จะบอกให้
ว่ากันตามจริงในประเทศ ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารสารพัดชนิดอย่างเรา เพียงเลือกบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ตามที่เคยเรียนมา สมัยเด็กก็จะได้สารอาหารทุกอย่างที่จำเป็นต่อร่างกายครบบริบูรณ์ ไม่ต้องอาศัยยาบำรุงเพิ่มเติมแต่อย่างไร แต่เราก็ยังชอบกินยา
ที่เขาบอกว่าเสริมสุขภาพ จะมีสักกี่คนที่คิดว่าวิตามินเกลือแร่พวกนี้ หลายอย่างถ้าได้รับเกินขนาดก็อาจเป็นโทษต่อร่างกายได้เช่นกัน
ในสหรัฐอเมริกา มียาประเภทวิตามินรวม ที่แพร่หลายยี่ห้อหนึ่ง
ชื่อทางการค้าว่า วัน-อะ-เดย์ วางขายมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ละเม็ดมีวิตามินเกลือแร่มากอย่างที่จำเป็นต่อร่างกาย ในขนาดไม่สูงนัก เพียงพอสำหรับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ราคาพอสมน้ำสมเนื้อ เหมาะสำหรับผู้สูงวัยหรือผู้ที่เกรงว่าจะได้รับสารอาหาร
และวิตามินที่จำเป็นไม่เพียงพอแต่ในระยะหลังๆ นี้ เกิดมีความเชื่อใหม่ๆ ว่า วิตามินบางอย่างถ้าบริโภคในปริมาณสูงมากๆ อาจช่วยชะลอความแก่, ผมไม่หงอก, ป้องกันมะเร็งบางชนิด แม้กระทั่งสมรรถภาพทางเพศก็อาจคืนกลับมา
ราวกับหมุนนาฬิกากลับ ก็เลยเกิดคลั่งวิตามินกันขนานใหญ่
จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ เจน โบรดี้ นักเขียนข่าวสุขภาพ
ที่มีชื่อเสียงของนิตยสารไทม์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับกันทั่วไป
อดรนทนไม่ไหวเขียนติงว่า
" แทบจะไม่มีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้เลยว่า การบริโภควิตามิน
และเกลือแร่เสริมในปริมาณสูง จะก่อให้เกิดคุณค่าพิเศษสำหรับคนทั่วไป
ผู้ที่หลงบริโภคแบบนั้นดู ๆ ไปก็ไม่ผิดกับยอมตนเป็นอาสาสมัคร เพื่อการทดลองที่วางกฎเกณฑ์ไว้อย่างหลวมๆ ไม่มีแก่นสารคุ้มค่า "
วิตามินบางชนิดร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้
หากบริโภคเกินกว่าที่ร่างกายต้องการก็จะถูกขับออก
ตัวอย่างง่ายๆ คือ วิตามินบีคอมเพลกซ์ ถ้าบริโภคเกินต้องการ
ก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะกลิ่นฟุ้งทีเดียว
วิตามินบางชนิดเก็บสะสมไว้ในร่างกายได้ แต่ถ้ามากเกินขนาด
ถึงขีดวิกฤติก็จะเกิดอาการผิดปกติ เป็นโทษต่อร่างกายที่เรียกว่า
Hypervitaminosis ตัวอย่างเช่น
- วิตามินเอ ในปริมาณสูงเกินขนาดอาจเกิดสะสมเกิดอาการปวดศีรษะ และมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วม
- เกลือแร่ที่คิดว่ามีประโยชน์ แก้ความอ่อนเพลียในนักกีฬา
เช่น เกลือโปแตสเซียม บริโภคเกินขนาดก็เป็นโทษแก่กล้ามเนื้อหัวใจ
- แม้แต่เหล็กที่ใช้แก้โรคโลหิตจาง กินมากเกินขนาดเป็นเวลานาน
ก็อาจไปเกาะตามอวัยวะต่าง ๆ เกิดโรคที่เรียกว่า Hemochromatosis
- แม้กระทั่งธาตุสังกะสี ที่นิยมว่ามีคุณค่าก็อาจเกิดโทษได้
ถ้าได้รับจนเกินขนาด
อะไรที่มีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ได้เช่นกัน โบราณท่านว่า
เปรียบเสมือนดาบสองคม
ความต้องการวิตามิน เกลือแร่ บางอย่างขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายตัว
เช่น อายุ,เพศ, สภาพร่างกายในขณะนั้น นอกจากนั้น
ยังต้องคำนึงถึงปฏิกิริยาที่อาจมีขึ้น ระหว่างสารหรือเกลือแร่บางตัว
กับวิตามินด้วย ตัวอย่างเช่น
วิตามินซีที่เชื่อกันว่า มีคุณสมบัติต้านออกซิเดชัน
ช่วยปกป้องเซลล์ แต่วิตามินซีตัวเดียวกันนี้ ถ้ามีสารเหล็กอยู่ด้วยกลับสนับสนุนออกซิเดชันแทนที่จะช่วยปกป้อง
กลับกลายเป็นช่วยทำลายเซลล์ไป (จากการทดลองของ ดร.เดียร์ สแตมป์เฟอร์ ศาสตราจารย์ในวิชาระบาดวิทยาและโภชนาการ คณะสาธารณสุขศาสตร์
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด)
โฟลิค แอซิด เป็นอีกอย่างหนึ่งที่นักชีวศาสตร์ยังโต้แย้งกันว่า ควรได้รับสักวันละเท่าไรจึงพอเหมาะที่สุด แต่เดิมกำหนดว่า
ควรเป็น วันละ 400 มิลลิกรัมเป็นอย่างน้อย แต่ในปี 1989 กลับลดลงเหลือ
200 มิลลิกรัมสำหรับบุรุษ และ 180 สำหรับสตรี ในขณะเดียวกัน
จากการศึกษาวิจัยพบว่า ในสตรีมีครรภ์ถ้าได้รับโฟลิค แอซิด มากๆ อาจป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ ส่วนในผู้สูงวัย โฟลิค แอซิด ช่วยป้องกันมิให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดแดงของสมอง และหัวใจได้ เป็นอันว่าความต้องการโฟลิค แอซิด ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายในแต่ละเวลา
สารอีกตัวหนึ่งที่ยังโต้แย้งกันมากได้แก่ เบต้า-แคโรทีน
องค์ประกอบสำคัญของวิตามินเอ สารนี้มีมากในผลไม้สด, แครอท,
ผักขมและผักใบเขียวอีกหลายอย่าง การศึกษาวิจัยในทศวรรษ
1980 รายงานว่า การบริโภคอาหารที่อุดมด้วยเบต้า-แคโรทีน เป็นจำนวนมากอาจลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ เป็นผลให้เกิด
ความคลั่งเบต้า-แคโรทีนกันยกใหญ่ พ่อค้าหัวใส
นำอาหารเสริมที่มีเบต้า-แคโรทีนออกวางตลาดขายดิบขายดีไปตามกัน
จวบจนปลายทศวรรษ 1980 นักค้นคว้าวิจัยจากฟินแลนด์
ร่วมมือกับอเมริกา ตกลงใจทำการทดลองว่า เบต้า-แคโรทีนจะป้องกันมะเร็งปอด
ในนักสูบบุหรี่ได้เพียงไหน ผลกลับเป็นว่า
ผู้ที่ได้รับเบต้า-แคโรทีน กลับมีอัตราการเป็นมะเร็งปอดสูงกว่า เมื่อรายงานผลออกมาในปี 1994 และ 1996 นั้น คณะผู้ศึกษาวิจัย
สรุปสั้นๆ ว่า
"นี่แสดงว่าความรู้ของเราในเรื่องต่าง ๆ ยังมีเพียงน้อยนิด จึงควรที่จะยับยั้งชั่งใจให้ดีก่อนที่จะเสนอแนะอะไรออกไป"
ต่อไป เป็นรายงานสรุปเกี่ยวกับขนาดของวิตามินและเกลือแร่บางอย่าง
ว่าร่างกายต้องการวันละเท่าใด และหากได้รับเกินขนาด
จะมีผลเสียอย่างไรต่อร่างกาย
ตามปกติได้รับเพียงวันละ 60 มิลลิกรัมก็เพียงพอ
สำหรับการป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือลักปิดลักเปิด
แต่หลายคนบริโภคเกินวันละ 1000 มิลลิกรัม อ้างว่า เพื่อเพิ่มภูมิต้านทาน
ป้องกันไข้หวัด และเป็นสารต่อต้านออกซิเดชัน หาทราบไม่ว่าวิตามินซีในขนาดสูงต้านฤทธิ์ยาต่อต้านมะเร็ง และอาจทำให้เกิดความผิดพลาดในการทดสอบหามะเร็งลำไส้ใหญ่
ถ้าบริโภคมากเกินขนาดเป็นเวลานานอาจมีสีเหลืองๆ
เกาะติดตามผิวหนังที่ฝ่ามือ มีรายงานที่ไม่มีการยืนยันกล่าวว่า
อาจเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งด้วย
ความต้องการตามปกติเพียง 8 มิลลิกรัมในสตรีและ 10 มิลลิกรัมในบุรุษ แต่นิยมบริโภคสูงกว่านี้ถึง 50 เท่า โดยคิดว่าช่วยชะลอความชรา,
แก้ผมร่วง ผมหงอก และช่วยต่อต้านออกซิเดชัน ผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นคือ
อาจทำให้มีเลือดออก ถ้ารับประทานร่วมกับยาป้องกันการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด
ตามปกติในสตรีต้องการวันละ 1.6 มิลลิกรัม และ 2 มิลลิกรัมในบุรุษ
ถ้าได้รับวันละ 1 กรัมนานวันอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบประสาทได้
ร่างกายต้องการวันละ 1 กรัม ถ้าได้รับมากเกินไปจะทำให้ท้องผูก
และเกิดการเสื่อมของไตได้
สตรีต้องการวันละ 16 มิลลิกรัม ส่วนบุรุษเพียง 10 มิลลิกรัม ถ้าได้รับมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและเกิดโรค
Hemochromatosis ได้
ต้องการเพียงวันละ 12 มิลลิกรัม สำหรับสตรี และ 10 มิลลิกรัม
สำหรับบุรุษ ผลเสียคือ ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร
และทำให้ภูมิต้านทานเสื่อมลงได้
สตรีต้องการวันละ 55 ไมโครกรัม บุรุษต้องการ 70 ไมโครกรัม ถ้าได้รับมากเกินไปจะมีผลเสียต่อเส้นผมและเล็บ ปวดท้อง
และเกิดอาการทางระบบประสาท
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะแสวงหาวิตามินนานาชนิด รวมทั้งเกลือแร่และอาหารเสริมที่มีผู้แนะว่าให้ผลดี จึงควรพิจารณาให้รอบคอบ อย่ายอมตัวเป็นหนูตะเภาให้เขาใช้ลองยาง่ายๆ ผลเสียบางอย่างที่จะเกิดขึ้นอาจรุนแรงเกินกว่าคาดคิดก็เป็นได้
เสียเงินยังพอหาใหม่ได้ แต่เสียทีจะต้องเจ็บใจไปนาน
อย่าทำตนเป็นคนคลั่งวิตามินดีกว่า
หมอพัตร
ขอบคุณนิตยสารใกล้หมอ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่
[ BACK TO LIST]
มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600