พันหนึ่ง
คั่นรายการตามหา "น้ำมันในฝัน" ด้วยการ "กิน" กันหนาวก่อนดีไหม...
เมื่อลอยกระทงไปแล้ว สังเกตกระทงคุณดูสิ..มันลอยปริ่มตลิ่ง
(ถ้าไม่พลิกคว่ำเสียก่อน) ทำนายได้ว่า
ปีนี้อากาศน่าจะหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมา
อุณหภูมิลดต่ำลงกว่าปกติสวนกับกระแสน้ำที่สูงขึ้น
แต่ก่อนเชื่อกันว่า คนในประเทศเขตหนาวและอบอุ่น
ต้องกินไขมัน คาร์โบไฮเดรตให้มาก
เพื่อให้ร่างกายคงทนต่อสภาพอากาศอันหนาวเหน็บได้
เหมือนกับสะสมไขมันให้ร่างกายอบอุ่นเข้าไว้ น่าสงสัยอีกเหมือนกันว่า ในประเทศจีนที่พลเมืองต้องเผชิญฤดูหนาวอันโหดร้าย แต่คนจีนก็ไม่ได้บริโภคอาหารนมเนยอย่างชาวตะวันตก
แต่ก็ตั้งข้อสังเกตได้ว่า วัฒนธรรมการบริโภคต่างกัน
คนจีนไม่ได้เลี้ยงวัว แกะหรือแพะเพื่อบริโภคนม
และใช้นมมาผลิตเนย แล้วก็กินกันอย่างบ้าคลั่ง
ชาวจีนมีอาหารที่เชื่อกันว่า บริโภคแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น
ให้พลังงานในหน้าหนาว แล้วก็ไม่ทำให้อ้วน
คนจีนจึงไม่ค่อยอ้วนหนักหนาสาหัสอย่างฝรั่ง
ข้อสังเกตต่อไปก็มีอีกว่า ความอ้วน ความใหญ่โตของร่างกาย
ก็มาจากยีนหรือกรรมพันธุ์ ถ้าคนจีนกินอย่างฝรั่ง
อาจไม่อ้วนอย่างพวกเขาก็ได้
ไม่อ้วน...แต่ก็ไม่พลาดโรคหัวใจและหลอดเลือด
เบาหวานและมะเร็ง มีสถิติว่า ผู้หญิงญี่ปุ่น
มีอัตราการเป็นมะเร็งเต้านมน้อยกว่าชาวตะวันตก
ก็เหมือนผู้หญิงเอเชียทั่วไปที่มะเร็งถามหาช้ากว่า
แต่ขณะเดียวกันเมื่อผู้หญิงญี่ปุ่นไปอยู่ในอเมริกา
อัตรามะเร็งเต้านมกลับสูงขึ้น ตรงนี้มีข้อสังเกตว่า
น่าจะมาจากวิถีบริโภคที่เปลี่ยนไป ในรายงานไม่ได้ระบุว่า
แล้วพวกเธอกินตามอย่างฝรั่งแล้ว ร่างกายสูงใหญ่อย่างฝรั่งด้วยหรือเปล่า
ในเมืองไทย ประเทศที่อยู่ใกล้ระนาบเส้นศูนย์สูตร
อากาศร้อนจนถึงร้อนที่สุด แต่เมื่อถึงหน้าหนาว อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้ร่างกาย
เจ็บไข้ได้ป่วยกันได้ง่ายๆ เพราะชินแต่กับอากาศร้อนเสียนาน คนไทยแต่โบราณรู้จักเลือกกินให้ถูกต้องตามฤดูกาล
ตามลักษณะ "ธาตุ" ทั้ง 4 ในร่างกายเพื่อรักษาสมดุล
ภูมิปัญญาแต่ดั้งเดิมคล้ายกับแนวคิดของชาวจีน
ที่แบ่งแยกอาหารออกเป็น "หยิน-หยาง" หมายถึง เย็น-ร้อน
และอาหารที่มีรสเป็นกลาง น่าแปลกที่คนโบราณเกิดกันคนละภูมิภาค แต่มีแนวคิดที่ใกล้เคียงกันสอดคล้องกันได้
น่าแปลกยิ่งกว่านี้ คือ คนในเมืองหนาวบริโภคไขมันมากมาย
แต่กลับไม่ช่วยให้พวกเขาอบอุ่น ถึงหน้าหนาวก็ลากเสื้อโค้ทตัวหนาหนัก
ออกมาใส่ ทั้งที่ร่างกายอ้วนใหญ่ขนาดนั้น น่าจะ (พอ)
ทนต่ออากาศอันหนาวเย็นได้
อุณหภูมิร้อนหรือเย็นปานใด ชาวตะวันตก
ก็ยังบริโภคอาหารแป้งมาก ขนมปัง เบเกอรี่ นม ชีส
ที่เป็นผลผลิตจากนม เหล้าองุ่น หรือไวน์ที่ทำจากองุ่น
ซึ่งเป็นอาหารหยิน มีคุณสมบัติเย็น เนื้อสัตว์ที่อุดมด้วยโปรตีนและไขมัน ยิ่งบริโภคก็ยิ่งหนาวแทนที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่น
ตำราแพทย์แผนไทย บอกว่า เป็นอาหารบำรุงแต่ธาตุดิน
จึงมักทำให้ร่างกายเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำพิการ
คนไทยรุ่นก่อนรู้และบอกว่า หนาวมาต้องระวังเจ็บป่วยด้วยธาตุน้ำ ควรกินผักผลไม้พื้นบ้านที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะเขือเทศ
ส้มโอ มะนาว สับปะรด ส้มเขียวอ่อน ยอดมะขามอ่อน ฯลฯ
หรือถ้ากิน "แกงเลียง" ก็เพิ่มใบแมงลัก พริกไทย หัวหอม เพื่อให้คุณสมบัติร้อนเหมาะกับกินในช่วงอากาศเย็น
ในขณะเดียวกันแกงเลียงถ้าใส่บวบ ใบตำลึง ข้าวโพดมากขึ้น
ก็จะเป็นอาหารค่อนมาทางเย็น ควรกินในหน้าร้อน
นอกจากนี้คุณสมบัติของใบแมงลัก พริกไทย หัวหอม ช่วยขับลม จึงเหมาะกับคนเป็นโรคกระเพาะอาหารซึ่งมีลมในท้องมาก
ไม่น่าเชื่อว่า แนวคิดเรื่องวิถีการ "กิน" ของไทยจีนสอดคล้องกันได้
คนจีนนิยมกิน "แพะตุ๋น" ในหน้าหนาวเพราะเนื้อแพะ
มีคุณสมบัติเป็น "หยาง" หรือร้อน หรืออาหารเนื้อสัตว์
เช่น ปลาเจี๋ยน เอ็นตุ๋น หรือไก่ผัดเห็ดหูหนู
ก็เพิ่มปริมาณของ "ขิง" ให้คุณสมบัติร้อน
สร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายยามหน้าหนาว
หยิน-หยางในอาหารจีน หรือธาตุทั้ง 4 ในพืชผักพื้นบ้านอย่างไทย
ช่วยปรับร่างกายให้สมดุล เป็นอาหารและยาที่คนโบราณแห่งเอเชีย
ฝากไว้เป็นมรดก
|