หมอวัตสัน
ธนาคารเลือดก็คล้ายกับธนาคารอื่นๆ มีการฝากโดยผู้บริจาคเลือด
และการถอนโดยแพทย์ เพื่อนำเลือดไปให้ผู้ป่วย แพทย์ผู้บริหารธนาคารเลือดมีภาระรับผิดชอบอันสำคัญ เพราะเลือดที่ออกจากธนาคารจะต้องได้รับการตรวจสอบจนแน่ใจว่า ปลอดภัยเหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยอย่างแท้จริง
วิชาการด้านธนาคารเลือดย่อมหมายถึงชีวิต
หรือความตายของผู้ป่วยที่รับเลือดโดยตรง
ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในธนาคารเลือด คือ
การขาดสภาพคล่อง เลือดที่ได้รับบริจาคในบางช่วงเวลา
มีไม่พอกับความต้องการ เช่นเวลาปิดภาคการศึกษา
หรือบางคราวมีเลือดอยู่จริง แต่เป็นกลุ่มที่ให้กับผู้ป่วยไม่ได้
การกักตุนเลือดไว้มากๆ ก็ไม่เป็นผลดีเสมอไป
เพราะการแช่แข็งทำให้เม็ดเลือดเสื่อมสภาพ
สารที่มีประโยชน์ในเลือดลดร้อยลงเรื่อยๆ เลือดทั่วๆ ไป
จะเก็บไว้ไม่เกิน 35 วัน ผู้ป่วยที่เลือดออกเพราะได้รับอุบัติเหตุ
ต้องการเลือดที่เพิ่งบริจาคใหม่ๆ เพราะช่วยการนำออกซิเจนได้ดีกว่า
ธนาคารเลือดต้องดิ้นรนทุกทาง
เพื่อให้มีเลือดไว้สนองความต้องการ
ที่นิวยอร์กถึงกับต้องนำเข้าเลือดส่วนหนึ่ง (30%) จากยุโรป
แต่ก็ต้องกลั่นกรองอย่างละเอียดยิบ การสังเคราะห์เลือดเทียม
ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้น หนทางที่เหลืออยู่คือ
ประชาสัมพันธ์ให้ผู้คนมาบริจาคเลือดกันมากๆ ถึงกระนั้นเลือดที่ได้รับมาก็ไม่อาจกำหนดได้ล่วงหน้าว่า
จะเป็นเลือดกลุ่มใด จำนวนเท่าใด เลือดบางกลุ่มได้รับบริจาคมามาก
แต่ในที่สุดก็ต้องทิ้งไป เพราะในช่วงเวลานั้น
ไม่มีความต้องการเลือดกลุ่มนั้นเลย
แจ๊ค โกลด์สไตน์ นักชีวเคมี
ประจำศูนย์บริการโลหิตนิวยอร์ก อธิบายว่า
เลือดมนุษย์แบ่งได้ง่ายๆ เป็น 4 กลุ่ม คือ A, B, AB และ O
กลุ่มที่ใช้ง่ายที่สุดคือ กลุ่ม O เพราะอาจนำไปให้กับผู้มีเลือด
กลุ่มอื่นได้ถ้าจำเป็น โกลด์สไตน์พยายามหาวิธีเปลี่ยนแปลง
เลือดกลุ่มอื่นๆ ให้กลายเป็นเลือดกลุ่ม O ซึ่งถ้าทำได้
เลือดที่จะต้องทิ้งไปเปล่าๆ ก็อาจกลับมีประโยชน์ได้
การที่จะเปลี่ยนเลือดกลุ่มอื่นให้กลายเป็นกลุ่ม O นั้น
จะต้องรู้เสียก่อนว่า เลือดแต่ละกลุ่มมีส่วนประกอบต่างกันอย่างไร
สิ่งที่บางบอกกลุ่มเลือดของมนุษย์ คือโมเลกุลของน้ำตาล
ที่เกาะอยู่บนผิวเม็ดเลือดแดงซึ่งเลือดทั้ง 4 กลุ่ม
มีส่วนปลายสายน้ำตาลเป็นโมเลกุลของฟูโคส (fucose) เหมือนกัน และถัดมาก็เป็นน้ำตาลกาแลคโตสเหมือนกันอีก ความแตกต่างอยู่ตรงตำแหน่งของกาแลคโตสนี่เอง ว่า
มีโมเลกุลชนิดใดพ่วงอยู่
ถ้ามี N-acteyl-galatosamine เกาะอยู่กับกาแลคโตส
เม็ดเลือดนั้นจะเป็นกลุ่ม A ถ้าเป็นกาแลคโตสอีกโมเลกุลหนึ่งเกาะอยู่
จะเป็นกลุ่ม B และถ้ามี N-acteyl-galatosamine บ้าง กาแลคโตสบ้าง
เลือดก็เป็นกลุ่ม AB แต่ถ้าไม่มีอะไรเกาะอยู่กับกาแลคโตสเลย
(นอกจาก ฟูโคสซึ่งอยู่ตรงปลาย) นั่นก็คือเลือดกลุ่ม O
ด้วยเหตุนี้ เลือดกลุ่ม O จึงนำไปให้คนที่มีเลือดกลุ่มใดก็ได้
ไม่ว่าจะเป็น O, A, B หรือ AB เพราะการที่เลือดเข้ากันไม่ได้นั้น เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้น้ำตาลผิดแปลกไปจากที่เคยมีอยู่ น้ำตาลจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ออกมาทำลายเม็ดเลือด
ที่มีน้ำตาลแปลกปลอม เมื่อเป็นเช่นนี้ เลือดกลุ่ม A
ย่อมจะให้กับคนที่มีกลุ่มเลือด A หรือ AB ได้
ส่วนเลือดกลุ่ม B ก็ให้ได้เฉพาะคนที่มีเลือดกลุ่ม B หรือ AB
แต่เลือด AB จะให้ใครไม่ได้เลยนอกจากกลุ่ม AB ด้วยกัน
สำหรับเลือดกลุ่ม O นั้นจะให้ใครก็ได้ เพราะน้ำตาลบนเม็ดเลือดแดง
ไม่มีของแปลกปลอมที่เป็นพิษภัยแต่อย่างใด
โกลด์สไตน์จึงคิดว่า ถ้าปลด N-acteyl-galatosamine
ออกจากเลือดกลุ่ม A และปลดกาแลคโตสหนึ่งตัว
ออกจากเลือดกลุ่ม B ได้สำเร็จ เราก็จะได้เม็ดเลือดแดง
ที่ไม่มีพิษภัยกับใครเช่นเดียวกับเลือดกลุ่ม O
และตราบใดที่เลือดยังไม่หมดเกลี้ยงจากธนาคาร
ก็ยังมีโอกาสจะนำไปใช้ประโยชน์ได้
การตัดโมเลกุลน้ำตาลออกต้องใช้เอนไซม์หรือน้ำย่อยออกมาช่วย งานที่ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งก็คือ การค้นหาเอนไซม์
มาตัดโมเลกุลที่ต้องการออกได้พอดี โดยไม่รบกวนโมเลกุลอื่น ปรากฏว่านักล่าเอนไซม์ไปพบสารที่ใช้เปลี่ยนเลือดกลุ่ม B เป็น O ในเมล็ดกาแฟดิบซึ่งเมื่อผสมกับเม็ดเลือดกลุ่ม B เป็นเวลา 2 ชั่วโมง กาแลคโตสเฉพาะโมเลกุลที่สองก็ถูกตัดออกไป เป็นอันว่า
น้ำตาลบนผิวเม็ดเลือดแดงนี้มีโครงสร้างเหมือนของเลือดกลุ่ม O แล้ว
จากนั้นต้องทดสอบว่า เม็ดเลือดยังนำออกซิเจนได้อยู่หรือเปล่า สัตว์ที่มารับการทดสอบแทนมนุษย์ก็คือ ชะนี เมื่อทดสอบว่าปลอดภัยแล้ว ก็มาทดลองกับคนอาสาสมัครที่มีกลุ่มเลือดต่างๆ กัน พบว่า
เม็ดเลือดแดงดัดแปลงนี้มีอายุอยู่ได้ถึง 120 วัน
เช่นเดียวกับเม็ดเลือดปกติ และไม่ถูกร่างกายทำลายแต่อย่างใด แต่สิ่งหนึ่งที่ยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือ คนที่มีเลือดกลุ่ม O
เกิดมีระดับโปรตีนที่ต่อต้านเซลล์กลุ่ม B เพิ่มขึ้นในเลือด
เป็นเวลาสั้นๆ แล้วก็หายไปเอง แม้ว่าเซลล์เม็ดเลือดจะไม่ถูกทำลาย
แต่โกลด์สไตน์ก็ไม่ประมาท และพยายามค้นคว้าว่า
จะมีผลเสียต่อผู้รับเลือดอย่างไร หรือไม่
สำหรับเซลล์กลุ่ม A การหาเอนไซม์มาย่อย
เพื่อให้กลายเป็นกลุ่ม O นั้นเรียกว่าต้องพลิกแผ่นดินกันทีเดียว
หลังจากใช้เซลล์แทบทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์เซลล์เดียว
ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในที่สุดก็พบเอนไซม์จากต
ซึ่งก็ยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์นัก เพราะใช้ได้กับผู้มีเลือดกลุ่ม A
เพียงบางส่วนเท่านั้น
ท้ายที่สุด ยังมีเรื่องของ Rh factor ซึ่งก็กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้ แต่ตัวการบนเม็ดเลือดแดงเป็นโปรตีน ไม่ใช่น้ำตาล
คนส่วนใหญ่มี Rh factor อยู่บนเม็ดเลือดแดง เรียกว่า
Rh positive แต่ก็มีบางคนที่ไม่มีโปรตีนนี้ เรียกว่าพวก
Rh negative ถ้าคนส่วนน้อยนี้ได้รับเลือด Rh positive เข้าไป ร่างกายจะมีปฏิกิริยาของสิ่งแปลกปลอมและทำลายเม็ดเลือดแดงทันที
แม้ว่ากลุ่ม ABO จะตรงกันก็ตาม ในทางกลับกัน
คนทั่วไป (Rh positive) ถึงได้เลือด Rh negative ก็ไม่เป็นอันตราย เพราะไม่มีโปรตีนที่ผิดปกติแต่อย่างใด
แม้ว่าคนที่ Rh negative จะมีน้อย แต่ทั้งโกลด์แมน
และนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ก็พยายามหาเอนไซม์ที่จะย่อย
Rh factor ออกจากเม็ดเลือดให้ได้ เพราะถ้าทำสำเร็จ
ทุนสำรองเลือดในธนาคารเลือดทุกแห่ง ก็จะสามารถปรับให้อยู่
ในสกุลเดียวกันหมด คือ กลุ่ม O negative เป็น กลุ่มเลือดสากล ที่สามารถให้กับผู้รับเลือดเกือบทุกคนได้ โดยไม่ต้องปฏิเสธด้วย
คำตอบว่า
"ไม่มีเลือด ชนิดนี้อยู่ในธนาคาร" อีกต่อไป
|