มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ คัดลอกจากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 5 พฤษภาคม 2540]

โคลนนิ่งมนุษย์

น่าตื่นกลัว หรือ น่าภูมิใจ

กองบรรณาธิการใกล้หมอ


"โคลนนิ่ง" เป็นวิธีการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นใหม่จากเซลล์ร่างกาย มิใช่เซลล์สืบพันธ์ตามธรรมชาติ แต่สิ่งมีชีวิตที่ได้กลับมามีลักษณะ และโครงสร้างยีนส์เหมือนกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม

นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันทำโคลนนิ่งแกะและลิงได้สำเร็จ ส่งผลให้คนทั่วโลกตื่นเต้นกับความน่ามหัศจรรย์ของการขยายพันธุ์สิ่งมีชีวิต ด้วยวิธีการนี้ อย่างไรก็ตาม หลายคนกำลังวิตกกังวลกับผลกระทบของการทำโคลนนิ่ง โดยเฉพาะการแอบทำโคลนนิ่งคน ซึ่งต้องมีปัญหาด้านจริยธรรมอย่างแน่นอน เพราะเป็นการขยายพันธุ์ที่ฝืนธรรมชาติ และอาจมีผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตของมวลมนุษยชาติได้ คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล จึงได้จัดบรรยายเรื่อง "โคลนนิ่งมนุษย์" ในการประชุมฟื้นฟูวิชาการ ประจำปี 2540 เพื่อให้ข้อมูลที่น่าสนใจแก่สังคม

รศ.พญ.จินตนา ศิรินาวิน หัวหน้าสาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงการทำโคลนนิ่ง (Cloning) ว่า

" เป็นการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นโดยไม่ได้อาศัยเซลล์สืบพันธุ์จากพ่อแม่ ตามธรรมชาติ แต่นำเซลล์ใดเซลล์หนึ่งในร่างกาย เช่น เซลล์เต้านม เซลล์ตับ หรือเซลล์ผิวหนังเพียงเซลล์เดียว มาทำให้เกิดการแบ่งตัวแบบ Mitosis หลายๆ ครั้ง แล้วจึงนำเซลล์ใหม่ที่ได้ ใส่เข้าไปในเซลล์ไข่ของแม่พันธุ์ ซึ่งถูกดูดเอานิวเครียสเก่าออกไปแล้ว ทำให้เซลล์ใหม่ที่เพาะขึ้นมาเกิดการพัฒนา และเติบโตเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่ทุกเซลล์มีองค์ประกอบทางพันธุกรรม เหมือนกับเซลล์ดั้งเดิม " รศ.พญ.จินตนา กล่าวต่อว่า

" โคลนนิ่งไม่ใช่ของใหม่ มีการใช้เทคนิคนี้ในการเพาะพันธุ์พืชและสัตว์ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เช่น การเพาะเนื้อเยื่อพืช การเพาะพันธุ์ สัตว์เศรษฐกิจ เช่น โคกระบือ ทำให้ขยายพันธุ์ได้ครั้งละมากๆ แต่ไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากต้องลงทุนสูง และนักพันธุวิศวกรรม ต้องการพันธุ์สัตว์และพืชที่ดีขึ้น จึงไม่นิยมทำโคลนนิ่งที่ได้สัตว์ และพืชที่มีลักษณะเหมือนแม่พันธุ์เดิม ส่วนการโคลนนิ่งมนุษย์ที่คุ้นเคยกันดีก็คือ การเกิดฝาแฝดทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และการทำเด็กหลอดแก้ว "

"ความน่าสนใจไม่ใช่การทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมที่นำเซลล์มาโคลนนิ่ง แต่อยู่ตรงที่ การทำให้เซลล์จำเพาะกลับกลายมาเป็นเซลล์ดั้งเดิมได้ เซลล์จำเพาะ คือ เซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น เซลล์ตับ ซึ่งมีหน้าที่ เผาผลาญพลังงาน เซลล์สมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย และความจำ เซลล์เต้านมมีหน้าที่ผลิตน้ำนม เซลล์จำเพาะเหล่านี้ มีจำนวนเซลล์จำกัด เมื่อเซลล์ได้รับอันตรายหรือเสียหาย จึงไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ส่งผลให้มนุษย์เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้

แต่การทำโคลนนิ่งสามารถทำให้เซลล์จำเพาะกลายมาเป็นเซลล์ทั่วไปได้ เช่น ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์สมองที่ตายแล้วกลับมาเป็นเซลล์ที่ปกติ ที่สามารถทำงานได้อีกครั้ง ทำให้ช่วยชีวิตคนป่วยได้ แต่คนทั่วไปไม่มองอย่างนั้น กลับมองว่านักวิทยาศาสตร์จะนำเทคนิคนี้มาโคลนนิ่งคน ทำให้ผู้หญิงไม่ยอมแต่งงานจะหันมามีลูกด้วยการทำโคลนนิ่ง ขณะที่ผู้ชายซึ่งไม่มีมดลูกก็จะจ้างผู้หญิงให้มาตั้งท้อง เกิดอาชีพรับจ้างท้อง ซึ่งทำให้สังคมวุ่นวายปั่นป่วน"

รศ.พญ.จินตนา กล่าวถึงข้อดีของการทำโคลนนิ่งมนุษย์ว่า

"การที่มีคนซึ่งมีโครงสร้างยีนส์เหมือนกับเราจะทำให้การผ่าตัดปลูกถ่าย หรือเปลี่ยนอวัยวะทำได้สะดวกสบายและได้ผลดี เพราะเนื้อเยื่อและเลือด เข้ากันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อเดียวกัน และยังช่วย ในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ให้มีลูกหลานสืบพันธุ์ต่อไปได้ และช่วยในการคัดเลือกพันธุ์ที่ดี

ส่วนข้อเสียที่สำคัญคือ จะเกิดการกำหนดมาตรฐานของมนุษย์ ส่งเสริมให้มีการทำโคลนนิ่งมนุษย์ที่เชื่อว่าสมบูรณ์ ส่วนมนุษย์ที่ถูกตัดสินว่า มีลักษณะด้อยกว่ามาตรฐานจะถูกปล่อยให้สูญพันธุ์ไป

จุดที่น่าสนใจคือ มาตรฐานของมนุษย์อยู่ที่ไหน ยังไม่มีใครบอกได้ และถ้ามีการส่งเสริมให้มีแต่มนุษย์พันธุ์ดีที่มีความสง่างาม ก็จะทำให้ประชากรโลกขาดความหลากหลาย ไร้ความสมดุล มารตรฐานที่กำหนดว่าดีแล้วในช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะไม่ใช่มาตรฐานที่ดี สำหรับช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ เช่น เคยพบว่า เซลล์ของโรคธาลัสซีเมีย ช่วยป้องกันการเป็นโรคมาลาเรียได้ จึงไม่มีใครสนใจที่จะกำจัดเซลล์ดังกล่าว ออกจากร่างกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่า ธาลัสซีเมียทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง จึงไม่มีใครต้องการให้มีเซลล์ธาลัสซีเมียในร่างกายและพยายามกำจัดทิ้งเสีย "

" นอกจากนี้การทำโคลนนิ่งมนุษย์ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตมนุษย์ ผู้หญิงจะไม่ยอมแต่งงาน แต่จะทำโคลนนิ่งจากเซลล์ของตนเอง ทารกน้อยสามารถเติบโตขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทารกนั้น เป็นลูกของหญิงที่เป็นเจ้าของเซลล์หรือไม่ โดยปกติแล้วลูกจะเกิดขึ้นจาก เซลล์สืบพันธ์ของพ่อและแม่คนละครึ่ง แต่ทารกที่เกิดจาการโคลนนิ่งนั้น เกิดจากเซลล์ของผู้หญิงหรือผู้ชายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น จึงน่าจะถือว่าเป็นฝาแฝดต่างวัยของเจ้าของเซลล์มากกว่า และในกรณีที่ผู้หญิงทำโคลนนิ่งแต่ไม่ได้ฝังในมดลูกของตนเอง กลับนำไปฝากไว้ในมดลูกของหญิงอื่น ก็น่าจะมีผลในด้านความผูกพันทางจิตใจ ระหว่างทารกน้อยกับหญิงที่ตั้งครรภ์นั้น ซึ่งจะสร้างความสับสนอย่างมาก ให้กับทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสมรสกันในหมู่พี่น้อง "

รศ.ดร.ประภนท์ วิไลรัตน์ ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า

" การทำโคลนนิ่งนั้นต้องลงทุนสูง แต่โอกาสประสบความสำเร็จมีน้อย และเป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ดูจะไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย และผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา

จากการทดลองโคลนนิ่งแกะของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันนั้น มีการโคลนนิ่งจากเซลล์เต้านมและเซลล์ของตัวอ่อนในระยะเอมบริโอ และระยะฟีตัสถึง 800 เซลล์ แต่ประสบความสำเร็จคลอดออกมาเป็นตัวได้เพียง 8 ตัว และมีชีวิตเหลือรอดมาเป็นตัวเต็มวัยได้เพียง 1 ตัวเท่านั้น อัตราการแท้งและการเสียชีวิตหลังคลอดมีสูงมาก เพราะสารพันธุกรรม สามารถเกิดความผิดปกติได้มาก

นอกจากนี้แล้วยังน่าเป็นห่วงในเรื่องของการกลายพันธุ์ด้วย เนื่องจากขณะที่ใช้เข็มเล็กๆ เจาะและดูดนิวเคลียสเก่าในไข่ของแม่พันธุ์ออกนั้น ภายในเซลล์จะเกิดการกระทบกระเทือนและเซลล์ต้องมีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน จึงคาดว่าการกลายพันธุ์จะมีสูง โครงสร้างของยีนส์น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ ส่วนผลระยะยาวหลังจากการโคลนนิ่งสำเร็จแล้วก็ยังบอกไม่ได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น จะมีสิ่งชีวิตยืนยาวต่อไปแค่ไหน จะกลายพันธุ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งแวดล้อมจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการทำโคลนนิ่ง

ขณะนี้ประธานาธิบดีคลินตัน ได้ตั้งคณะกรรมการด้านโคลนนิ่ง และสั่งห้ามห้องปฏิบัติการทุกแห่งในอเมริกาทำการโคลนนิ่งมนุษย์ และกำลังรวบรวมข้อดีข้อเสียของการทำโคลนนิ่งอยู่ สนับสนุนหรือคัดค้าน ซึ่งการตัดสินใจของอเมริกาก็คงเป็นแนวทางดำเนินการของในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น เยอรมันและฝรั่งเศส ถือว่าการทำเด็กหลอดแก้วและการทำโคลนนิ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย สหรัฐอเมริกาเองก็มีปัญหามาก ในเรื่องนี้มีตัวอ่อนเป็นหมื่นๆ ตัวที่ปฏิสนธิแล้ว แต่ยังต้องมีชีวิตอยู่ในหลอดแก้ว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวอ่อนเหล่านี้ จะทำลายทิ้งก็ผิดมนุษยธรรมเช่นเดียวกับการทำแท้ง การทำโคลนนิ่งก็เข้าข่ายกรณีเดียวกันและต้องระมัดระวัง"

ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามการทำโคลนนิ่ง ต่างประเทศจึงได้ติดต่อมายังโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในเมืองไทย เพื่อทดลองทำโคลนนิ่งแต่ได้รับการปฏิเสธจากโรงเรียนแพทย์แห่งนั้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์หรือแพทย์ ที่จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้มีกฎหมายป้องกันการทำโคลนนิ่งในประเทศไทย

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่มนุษย์เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ได้กลับกลายมาเป็นความจริง การทำโคลนนิ่งเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ความวิตกกังวลและความไม่มั่นใจในผลกระทบของการทำโคลนนิ่งก็เกิดขึ้น เพราะความที่มนุษย์ไม่คุ้นเคยกับความล้ำหน้าของวิทยาการดังกล่าว และกลัวผลระยะยาวที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำโคลนนิ่งมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติ กระแสการยอมรับเทคนิคโคลนนิ่งจะเป็นไปในทิศทางใด คงต้องรอดูผลในระยะยาวให้แน่ใจเสียก่อน วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดแนวคิด และแนวทางใหม่ๆ ที่น่าสนใจแต่จะดีหรือไม่ จะนำมาใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง

กองบรรณาธิการใกล้หมอ


ขอบคุณนิตยสารใกล้หมอ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600