|
"โคลนนิ่ง"
เป็นวิธีการสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นใหม่จากเซลล์ร่างกาย
มิใช่เซลล์สืบพันธ์ตามธรรมชาติ แต่สิ่งมีชีวิตที่ได้กลับมามีลักษณะ
และโครงสร้างยีนส์เหมือนกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิม
นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันทำโคลนนิ่งแกะและลิงได้สำเร็จ ส่งผลให้คนทั่วโลกตื่นเต้นกับความน่ามหัศจรรย์ของการขยายพันธุ์สิ่งมีชีวิต
ด้วยวิธีการนี้ อย่างไรก็ตาม หลายคนกำลังวิตกกังวลกับผลกระทบของการทำโคลนนิ่ง โดยเฉพาะการแอบทำโคลนนิ่งคน ซึ่งต้องมีปัญหาด้านจริยธรรมอย่างแน่นอน เพราะเป็นการขยายพันธุ์ที่ฝืนธรรมชาติ และอาจมีผลกระทบ
ต่อวิถีชีวิตของมวลมนุษยชาติได้ คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล จึงได้จัดบรรยายเรื่อง
"โคลนนิ่งมนุษย์" ในการประชุมฟื้นฟูวิชาการ ประจำปี 2540 เพื่อให้ข้อมูลที่น่าสนใจแก่สังคม
รศ.พญ.จินตนา ศิรินาวิน หัวหน้าสาขาวิชาเวชพันธุศาสตร์
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
กล่าวถึงการทำโคลนนิ่ง (Cloning) ว่า
" เป็นการสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ขึ้นโดยไม่ได้อาศัยเซลล์สืบพันธุ์จากพ่อแม่
ตามธรรมชาติ แต่นำเซลล์ใดเซลล์หนึ่งในร่างกาย เช่น เซลล์เต้านม
เซลล์ตับ หรือเซลล์ผิวหนังเพียงเซลล์เดียว มาทำให้เกิดการแบ่งตัวแบบ
Mitosis หลายๆ ครั้ง แล้วจึงนำเซลล์ใหม่ที่ได้ ใส่เข้าไปในเซลล์ไข่ของแม่พันธุ์ ซึ่งถูกดูดเอานิวเครียสเก่าออกไปแล้ว ทำให้เซลล์ใหม่ที่เพาะขึ้นมาเกิดการพัฒนา
และเติบโตเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่ทุกเซลล์มีองค์ประกอบทางพันธุกรรม
เหมือนกับเซลล์ดั้งเดิม " รศ.พญ.จินตนา กล่าวต่อว่า
" โคลนนิ่งไม่ใช่ของใหม่ มีการใช้เทคนิคนี้ในการเพาะพันธุ์พืชและสัตว์
เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เช่น การเพาะเนื้อเยื่อพืช การเพาะพันธุ์
สัตว์เศรษฐกิจ เช่น โคกระบือ ทำให้ขยายพันธุ์ได้ครั้งละมากๆ แต่ไม่เป็นที่แพร่หลายเนื่องจากต้องลงทุนสูง และนักพันธุวิศวกรรม
ต้องการพันธุ์สัตว์และพืชที่ดีขึ้น จึงไม่นิยมทำโคลนนิ่งที่ได้สัตว์
และพืชที่มีลักษณะเหมือนแม่พันธุ์เดิม ส่วนการโคลนนิ่งมนุษย์ที่คุ้นเคยกันดีก็คือ การเกิดฝาแฝดทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และการทำเด็กหลอดแก้ว "
"ความน่าสนใจไม่ใช่การทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะ
เหมือนกับสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมที่นำเซลล์มาโคลนนิ่ง แต่อยู่ตรงที่
การทำให้เซลล์จำเพาะกลับกลายมาเป็นเซลล์ดั้งเดิมได้
เซลล์จำเพาะ คือ เซลล์ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น เซลล์ตับ ซึ่งมีหน้าที่
เผาผลาญพลังงาน เซลล์สมองทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย
และความจำ เซลล์เต้านมมีหน้าที่ผลิตน้ำนม เซลล์จำเพาะเหล่านี้
มีจำนวนเซลล์จำกัด เมื่อเซลล์ได้รับอันตรายหรือเสียหาย
จึงไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน ส่งผลให้มนุษย์เจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้
แต่การทำโคลนนิ่งสามารถทำให้เซลล์จำเพาะกลายมาเป็นเซลล์ทั่วไปได้
เช่น ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ หรือเซลล์สมองที่ตายแล้วกลับมาเป็นเซลล์ที่ปกติ ที่สามารถทำงานได้อีกครั้ง ทำให้ช่วยชีวิตคนป่วยได้ แต่คนทั่วไปไม่มองอย่างนั้น กลับมองว่านักวิทยาศาสตร์จะนำเทคนิคนี้มาโคลนนิ่งคน ทำให้ผู้หญิงไม่ยอมแต่งงานจะหันมามีลูกด้วยการทำโคลนนิ่ง ขณะที่ผู้ชายซึ่งไม่มีมดลูกก็จะจ้างผู้หญิงให้มาตั้งท้อง เกิดอาชีพรับจ้างท้อง
ซึ่งทำให้สังคมวุ่นวายปั่นป่วน"
รศ.พญ.จินตนา กล่าวถึงข้อดีของการทำโคลนนิ่งมนุษย์ว่า
"การที่มีคนซึ่งมีโครงสร้างยีนส์เหมือนกับเราจะทำให้การผ่าตัดปลูกถ่าย
หรือเปลี่ยนอวัยวะทำได้สะดวกสบายและได้ผลดี เพราะเนื้อเยื่อและเลือด
เข้ากันได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นเนื้อเยื่อเดียวกัน และยังช่วย
ในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ให้มีลูกหลานสืบพันธุ์ต่อไปได้
และช่วยในการคัดเลือกพันธุ์ที่ดี
ส่วนข้อเสียที่สำคัญคือ จะเกิดการกำหนดมาตรฐานของมนุษย์ ส่งเสริมให้มีการทำโคลนนิ่งมนุษย์ที่เชื่อว่าสมบูรณ์ ส่วนมนุษย์ที่ถูกตัดสินว่า
มีลักษณะด้อยกว่ามาตรฐานจะถูกปล่อยให้สูญพันธุ์ไป
จุดที่น่าสนใจคือ มาตรฐานของมนุษย์อยู่ที่ไหน ยังไม่มีใครบอกได้ และถ้ามีการส่งเสริมให้มีแต่มนุษย์พันธุ์ดีที่มีความสง่างาม
ก็จะทำให้ประชากรโลกขาดความหลากหลาย ไร้ความสมดุล
มารตรฐานที่กำหนดว่าดีแล้วในช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะไม่ใช่มาตรฐานที่ดี
สำหรับช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ เช่น เคยพบว่า เซลล์ของโรคธาลัสซีเมีย
ช่วยป้องกันการเป็นโรคมาลาเรียได้ จึงไม่มีใครสนใจที่จะกำจัดเซลล์ดังกล่าว
ออกจากร่างกาย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่า ธาลัสซีเมียทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง จึงไม่มีใครต้องการให้มีเซลล์ธาลัสซีเมียในร่างกายและพยายามกำจัดทิ้งเสีย "
" นอกจากนี้การทำโคลนนิ่งมนุษย์ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตมนุษย์
ผู้หญิงจะไม่ยอมแต่งงาน แต่จะทำโคลนนิ่งจากเซลล์ของตนเอง
ทารกน้อยสามารถเติบโตขึ้นมาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทารกนั้น
เป็นลูกของหญิงที่เป็นเจ้าของเซลล์หรือไม่ โดยปกติแล้วลูกจะเกิดขึ้นจาก
เซลล์สืบพันธ์ของพ่อและแม่คนละครึ่ง แต่ทารกที่เกิดจาการโคลนนิ่งนั้น
เกิดจากเซลล์ของผู้หญิงหรือผู้ชายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น
จึงน่าจะถือว่าเป็นฝาแฝดต่างวัยของเจ้าของเซลล์มากกว่า และในกรณีที่ผู้หญิงทำโคลนนิ่งแต่ไม่ได้ฝังในมดลูกของตนเอง
กลับนำไปฝากไว้ในมดลูกของหญิงอื่น ก็น่าจะมีผลในด้านความผูกพันทางจิตใจ
ระหว่างทารกน้อยกับหญิงที่ตั้งครรภ์นั้น ซึ่งจะสร้างความสับสนอย่างมาก
ให้กับทุกฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสมรสกันในหมู่พี่น้อง "
รศ.ดร.ประภนท์ วิไลรัตน์ ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า
" การทำโคลนนิ่งนั้นต้องลงทุนสูง แต่โอกาสประสบความสำเร็จมีน้อย และเป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ดูจะไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่าย
และผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา
จากการทดลองโคลนนิ่งแกะของนักวิทยาศาสตร์อเมริกันนั้น มีการโคลนนิ่งจากเซลล์เต้านมและเซลล์ของตัวอ่อนในระยะเอมบริโอ
และระยะฟีตัสถึง 800 เซลล์ แต่ประสบความสำเร็จคลอดออกมาเป็นตัวได้เพียง
8 ตัว และมีชีวิตเหลือรอดมาเป็นตัวเต็มวัยได้เพียง 1 ตัวเท่านั้น อัตราการแท้งและการเสียชีวิตหลังคลอดมีสูงมาก เพราะสารพันธุกรรม
สามารถเกิดความผิดปกติได้มาก
นอกจากนี้แล้วยังน่าเป็นห่วงในเรื่องของการกลายพันธุ์ด้วย
เนื่องจากขณะที่ใช้เข็มเล็กๆ เจาะและดูดนิวเคลียสเก่าในไข่ของแม่พันธุ์ออกนั้น ภายในเซลล์จะเกิดการกระทบกระเทือนและเซลล์ต้องมีความเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน จึงคาดว่าการกลายพันธุ์จะมีสูง โครงสร้างของยีนส์น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ ส่วนผลระยะยาวหลังจากการโคลนนิ่งสำเร็จแล้วก็ยังบอกไม่ได้ว่า
สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น จะมีสิ่งชีวิตยืนยาวต่อไปแค่ไหน
จะกลายพันธุ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งแวดล้อมจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ
ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการทำโคลนนิ่ง
ขณะนี้ประธานาธิบดีคลินตัน ได้ตั้งคณะกรรมการด้านโคลนนิ่ง และสั่งห้ามห้องปฏิบัติการทุกแห่งในอเมริกาทำการโคลนนิ่งมนุษย์
และกำลังรวบรวมข้อดีข้อเสียของการทำโคลนนิ่งอยู่ สนับสนุนหรือคัดค้าน ซึ่งการตัดสินใจของอเมริกาก็คงเป็นแนวทางดำเนินการของในหลายประเทศ
รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น เยอรมันและฝรั่งเศส ถือว่าการทำเด็กหลอดแก้วและการทำโคลนนิ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
สหรัฐอเมริกาเองก็มีปัญหามาก ในเรื่องนี้มีตัวอ่อนเป็นหมื่นๆ ตัวที่ปฏิสนธิแล้ว แต่ยังต้องมีชีวิตอยู่ในหลอดแก้ว และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวอ่อนเหล่านี้ จะทำลายทิ้งก็ผิดมนุษยธรรมเช่นเดียวกับการทำแท้ง การทำโคลนนิ่งก็เข้าข่ายกรณีเดียวกันและต้องระมัดระวัง"
ขณะนี้ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายห้ามการทำโคลนนิ่ง ต่างประเทศจึงได้ติดต่อมายังโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งในเมืองไทย
เพื่อทดลองทำโคลนนิ่งแต่ได้รับการปฏิเสธจากโรงเรียนแพทย์แห่งนั้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์หรือแพทย์
ที่จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อให้มีกฎหมายป้องกันการทำโคลนนิ่งในประเทศไทย
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่มนุษย์เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ได้กลับกลายมาเป็นความจริง
การทำโคลนนิ่งเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนในเรื่องนี้
แต่ความวิตกกังวลและความไม่มั่นใจในผลกระทบของการทำโคลนนิ่งก็เกิดขึ้น เพราะความที่มนุษย์ไม่คุ้นเคยกับความล้ำหน้าของวิทยาการดังกล่าว
และกลัวผลระยะยาวที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ในอนาคต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำโคลนนิ่งมนุษย์
ซึ่งอาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติ
กระแสการยอมรับเทคนิคโคลนนิ่งจะเป็นไปในทิศทางใด
คงต้องรอดูผลในระยะยาวให้แน่ใจเสียก่อน
วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่ดี ทำให้เกิดแนวคิด และแนวทางใหม่ๆ
ที่น่าสนใจแต่จะดีหรือไม่ จะนำมาใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง
|