|
ผมคิดว่าท่านผู้อานหลายท่านที่เคยบ่นหรือคิดในใจ
เวลามีง่านยุ่งเต็มมือว่า ถ้ามีแขนขามากกว่า 1 คู่ มาช่วยทำงานคงจะดีไม่น้อย แต่ก็คงไม่มีใครคิดเลยเถิดถึงขนาดว่าจะมีสำเนาชีวิตที่เป็นคู่แฝด
ซึ่งทำอะไรหรือคิดอะไรแทนกันได้ เพราะอาจจะยุ่งสิ้นดี
คนไทยหลายคนคิดถึงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในยามที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ยุ่งยากแต่ผู้นำไม่เด็ดขาด ว่าถ้าท่านกลับชาติมาเกิดก็คงจะช่วยแก้ปัญหาได้ และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นก็ให้มีท่านจอมพลปกครองประเทศด้วยตัวเอง
อีกครั้งหนึ่งถ้าจะดี
ท่านที่ชอบกีฬาบาสเกตบอลคงจะนึกภาพทีมบาสเกตบอล
ที่มีผู้เล่นทั้ง 5 คน เล่นเก่งและหน้าตาเหมือนไมเค็ล จอร์แดน
หรือ เดนนิส ร็อดแมน หรือ ถ้าเป็นทีมฟุตบอล ก็อาจจะมีผู้เล่นทั้ง 11 คน
ประกอบด้วยมาราดอนนาทั้งหมด
หลายคนอาจแบ่งกฎเกณฑ์มาตราฐานไว้ในใจ คือ ถ้าเป็นคนดี
ในสายตาของตนก็อยากจะให้มีหลาย ๆ คน เช่น อย่างคุณอานันท์ ปันยารชุน
หรือ คุณอุทัย พิมพ์ใจชน แต่ถ้าเป็นคนร้ายๆ อย่างฮิตเลอร์ หรือ นายพอล พต ก็คงไม่อยากให้มีมากกว่าหนึ่ง
เหล่านี้คือความคิดคำนึงที่เกิดตามหลังข่าวการสร้างแกะดอลลี่
ด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า โคลนนิ่ง (CLONNING) ที่มีรูปร่างหน้าตา
เหมือนแกะตัวต้นแบบทุกประการยิ่งกว่าฝาแฝดเหมือน
(IDENTICAL TWIN) เสียอีก
โดยคำจำกัดความแล้ว "โคลนนิ่ง" คือ
สำเนาพันธุกรรม
(GENETIC DUPLICATION) หรือจะใช้คำอธิบาย
ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นก็คือ การถ่ายสำเนาด้วยเครื่องถ่ายสำเนาชั้นดี
จนได้ภาพที่เหมือนแผ่นต้นแบบทุกประการ แต่จะต่างจากฝาแฝดเหมือน
ตรงที่ว่าชีวิตใหม่ที่ถ่ายสำเนามานั้นต่างวัยกับต้นแบบที่ไปถ่ายมา
แต่จะมีหน่วยพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ
อันที่จริงตอนที่นักวิทยาศาสตร์ คัธ แคมป์เบล คิดทำการวิจัยของโครงการสร้างแกะดอลลี่นั้น เขาไม่เคยคิด
เรื่องการสร้างสำเนามนุษย์เลย ในฐานะที่เป็นนักเซลล์ชีววิทยา
ประจำสถาบันโรสลินที่ประเทศสก๊อตแลนด์ เขาคิดเพียงแต่ว่า
...จะสร้างแกะฝูงใหญ่ฝูงแล้วฝูงเล่าให้เต็มหุบเขาแล้วหุบเขาเล่า โดยใช้เซลล์จากแกะตัวเมียเพียงเซลล์เดียวด้วยกรรมวิธีโคลนนิ่ง...
แต่เขาก็ทราบดีว่าตำราต่างๆ ก็ได้เขียนบอกไว้แล้วว่า การนำเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เติบใหญ่แล้วมาโคลนนั้นทำไม่ได้ เนื่องจากว่าพอเซลล์ของตัวอ่อนเติบโตแบ่งแยกกันไปทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ
เช่น ตับ, ไต, ไส้, หัวใจหรือสมองแล้ว เซลล์แต่ละอวัยวะก็จะทำหน้าที่
เฉพาะที่กำหนดมาให้ หรือถ้าเปรียบกับแผ่นเสียงซีดีแล้ว
ก็จะบรรเลงเพลงเดียวกันตลอดไป แม้ว่าแต่ละเซลล์ของทุกอวัยวะในร่างกายสัตว์
และมนุษย์จะมีหน่วยพันธุกรรมที่มีพิมพ์เขียวสมบูรณ์ทั่วร่างกายก็ตาม
แต่ละหน่วยจะไม่ก้าวก่าย หรือข้ามไปทำหน้าที่ของอวัยวะอื่น
เมื่อเป็นอย่างนี้การจะเอาเซลล์จากอวัยวะหนึ่งของแกะ
เช่น จากเต้านมแล้วมาสั่งให้มันนำหน่วยพันธุกรรมของทั้งร่างกาย
ออกมาแสดงจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้ แต่แคมป์เบลไม่สนใจที่ตำราบอกไว้
วันหนึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ.2538 เขาจึงเดินไปที่ห้องทำงาน
ของเพื่อนนักวิจัยชื่ ดร.เอียน วิลมุต
เพื่อบอกให้รู้ว่า เขาคิดวิธีที่จะทำให้เซลล์ๆ เดียวแสดงออกซึ่งพันธุกรรม
แห่งการได้มาซึ่งสัตว์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายได้แล้ว
กุญแจสำคัญคือ การทำให้เซลล์เดียวที่จะนำมาเป็นต้นแบบนั้น
สงบเงียบเป็นการชั่วคราว เพราะในความสงบนิ่งเฉยอยู่นั้น หน่วยพันธุกรรมทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ในเซลล์จะมีศักยภาพ
ของการแสดงบทบาทได้ทุกหน่วย หน้าที่ต่อไปคือหาผู้เล่นคือ เซลล์ไข่ที่มีโปรตีนสำคัญในการกระตุ้นหน่วยพันธุกรรมให้ทำงาน
เงื่อนไขสำคัญในขณะนั้นคือ แคมป์เบลบอก ดร.เอียน วิลมุต ว่า
...ทุกอย่างต้องเป็นความลับ และทุกอย่างก็เป็นไปตามความประสงค์ของเขา...
จวบจนกระทั่งวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2540 เมื่อคณะวิจัย
ของสถาบันโรสลิน แถลงข่าวที่สร้างความตื่นเต้นไปทั่วโลก
กระบวนการโคลนนิ่งเพื่อบังคับให้เซลล์จากสัตว์ตัวหนึ่ง
เติบโตไปเป็นสำเนาของสัตว์ตัวนั้นทุกประการ นั้นถือเป็นสิ่งต้องห้าม
ในทางเทคโนโลยีชีวภาพ นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อมั่นว่าทำไม่ได้ แล้วบอกนักจริยธรรมทางชีววิทยาเมื่อ 30 กว่าปีว่าไม่ต้องพิจารณา
เรื่องผลกระทบของจริยธรรมเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เสียเวลาหรอก
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์หลายแห่งทั่วโลก
กับค้นพบหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้โคลนนิ่งใกล้ความจริงขึ้นทุกที
อันที่จริงในทศวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำโคลนนิ่งแกะ
และวัวจากตัวอ่อนสำเร็จมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถ
ทำโคลนนิ่งจากเซลล์ของสัตว์ที่เติบใหญ่แล้วเท่านั้น
เมื่อปี 2536 นักวิทยาเอมบริโอ แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน สามารถโคลนตัวอ่อนของมนุษย์ได้สำเร็จ โดยการนำตัวอ่อน 17 ตัว
ที่เก็บรักษาไว้ในคลินิกผู้มีบุตรยาก แต่ละตัวอ่อนมีเซลล์ 2-8 เซลล์ พวกเขานำตัวอ่อนมาแยกเป็นเซลล์เดี่ยวๆ แล้วเพาะเลี้ยง
แต่ละเซลล์เดียวจนได้ตัวอ่อนขนาด 32 เซลล์ ซึ่งโตพอที่จะไปฝัง
ให้ตั้งครรภ์ในมดลูกสตรีได้ เคราะห์ดีที่พวกเขาไม่ได้เลยเถิดถึงขั้นนั้น
เนื่องจากทราบดีแก่ใจว่า ตัวอ่อนที่นำมาทดลองนั้นมีความผิดปกติ
ที่ไม่ควรให้เติบโตต่อไป
หลังจากแกะ ดอลลี่แล้ว คำถามมีอยู่ว่า นักวิทยาศาสตร์จะทำโคลนนิ่งมนุษย์
ได้เร็วที่สุดเมื่อใดก็มีคนคาดคะเนไว้ว่า อาจใช้เวลาจากนี้ไปอีก
1-10 ปี แต่มีข้อจำไว้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ว่า ถึงจะทำสำเนามนุษย์ออกมาได้
ก็จะไม่มีทางเหมือนต้นแบบ 100% เพราะยังมีองค์ประกอบ เช่น
สิ่งแวดล้อม และปัจจัยบังเอิญอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
สำเนาจึงอาจมีความเฉลียวฉลาด, พรสวรรค์ บุคลิกภาพ
และคุณลักษณะต่างออกไปจากต้นแบบได้
โครงการแกะดอลลี่ของสถาบันโรสลิน ได้รับการสนับสนุน
ด้านงบประมาณจากบริษัท พีพีแอล (PPL THERAPEUTICS) แห่งเมืองเอดินเบิรก์ด้วยความประสงค์ที่จะสร้างแกะ หรือวัวที่ให้นมที่มีส่วนผสมของโปรตีนจากมนุษย์อยู่ด้วย
และเป็นโปรตีนจำเพาะ คือสามารถนำไปใช้ทำยารักษาโรคได้
เซลล์จากแกะพันธุ์ฟินน์ ดอร์เซ็ท ที่สถาบันนำมาใช้นั้น
สามารถหลอมรวมกับเซลล์ไข่ได้ถึง 227 เซลล์ แต่ทำให้ตั้งท้องได้เพียง
13 ตัว และเหลือรอดมาเป็นแกะชื่อดอลลี่เพียงตัวเดียว แสดงว่า กรรมวิธีที่ใช้ยังห่างไกลจากอัตราความสำเร็จที่คุ้มทุนอยู่อีกมาก
แต่ก็ดีกว่าที่คนอื่นๆ พยายามมานักต่อนัก
ความห่วงใยจากผู้นำทั่วโลกเมื่อข่าวนี้ปรากฏก็คือ กลัวว่าจะมีการทำโคลนนิ่งมนุษย์ซึ่งไม่น่าจะต้องด้วยจริยธรรม โดยหาได้คำนึงถึงว่าทุกวันนี้มีสิ่งผิดจริยธรรม และผิดกฎหมาย
บังเกิดขึ้นทั่วโลกเป็นกิจวัตรประจำวัน การควบคุมโคลนนิ่ง
คงทำได้ยากเพราะทำกันลับๆ ที่ไหนก็ได้ การสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์เสียอีก
ควบคุมง่ายกว่า
ความจริงความห่วงใยที่ว่าก็มีเหตุผลประกอบ เพราะทุกคนก็รู้ๆ
อยู่ว่า คนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไรนั้นมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องอยู่มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน ครู วัฒนธรรม และวันเวลา อิทธพลจากสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อโครงสร้างของสมอง ตลอดจนการแสดงออกของหน่วยพันธุกรรมในด้านชีววิทยาและพฤติกรรม
ยกตัวอย่างเช่น ถึงจะโคลนคนจากคีตกวีโมสาร์ตสำเร็จ
แต่ไปเลี้ยงให้เติบโตที่ ปาปัว นิวกินี ก็ใช่ว่าจะทำให้โมสาร์ตคนที่สองนี้แต่งเพลงได้
สิ่งที่เราโคลนหรือสร้างสำเนาออกมาได้จึงไม่หมายความว่า
จะได้สิ่งที่ต้องการจริงๆ เพราะเซลล์ที่นำมาโคลนอาจมีการเปลี่ยนแปลง
หรือกลายพันธุ์ไปบ้างแล้ว จากการเจริญเติบโตอยู่ในโลกนี้เป็นเวลาหลายๆ ปี
ในแง่ของการลงทุนนั้น บริษัท พีพีแอล สนับสนุนโครงการ
แกะดอลลี่เป็นเงิน 750,000 เหรียญสหรัฐ ครั้นพอข่าวความสำเร็
ปรากฏตามสื่อมวลชน ก็ปรากฏว่าหุ้นของบริษัทพีพีแอลแพงขึ้น 65%
ปัญหาต่อไปก็คงอยู่ที่ว่าบริษัทต่างๆ ที่หวังพึ่งเทคโนโลยีชีวภาพ
ในการประกอบธุรกิจจะสามารถสร้างผลิตผลที่มีต้นทุนถูก
และปลอดภัยพอที่จะจำหน่ายอย่างคุ้มทุนที่ลงไปหรือไม่
ในด้านเทคนิคการทำโคลนนิ่งนั้น นักวิทยาศาสตร์เห็นตัวอย่าง
ในธรรมชาติแล้วว่า พวกปลาดาวและสัตว์ไร้กระดูกสันหลังอีกหลายประเภท
สามารถสืบพันธ์ได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องเพศ และเมื่อปี 2495 นักวิจัยที่รัฐเพ็นซิลเวเนียก็สามรถโคลนกบได้จากเซลล์ของตัวอ่อน แต่กว่าจะทำสำเร็จในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่น แกะและวัว
ก็ต้องใช้เวลาอีก 30 ปีต่อมา ดังนั้นการโคลนหรือทำสำเนาสัตว์จากเซลล์ตัวอ่อน
ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแล้ว ที่ยังยากอยู่คือ การโคลนจากเซลล์ของสัตว์ที่โตแล้วต่างหาก ทั้งนี้เพราะเซลล์ของตัวอ่อนที่ยังจัดว่าเอ๊าะๆ อยู่นั้น จะมีคุณสมบัติทางชีววิทยา
ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ตัวเซลล์ยังไม่แตกแขนงไปเป็นเซลล์ของอวัยวะโน้นอวัยวะนี้
(เรียกว่า UNDIFFERENTIATED) ดังนั้น เซลล์ที่ว่านี้จึงสามารถกลายเป็นเซลล์
ของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายได้
ครั้นพอพัฒนาการดำเนินต่อไป การแตกแขนงออกไปเป็นเซลล์
ของอวัยวะต่าง ๆ จะบีบบังคับให้หน่วยดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งเป็นโมเลกุลสำคัญ
ของพันธุกรรมหยุดทำหน้าที่อื่นๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะนั้น เช่น
ถ้าเป็นเซลล์ของตับก็ทำหน้าที่ของตับ
ข้อเสียของการใช้เซลล์ตัวอ่อนในการโคลนสัตว์ ก็คือ เราไม่อาจทราบได้ว่า
สำเนาที่เกิดนั้นมีคุณภาพอย่างไร แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่เติบโตแล้ว
เราเห็นได้ชัดเจนแล้วนี่ว่ามันแข็งแรง และปกติดีทุกอย่าง
จึงตัดสินใจทำโคลนนิ่งต่อไป
อีกประการหนึ่ง เราอาจทำพันธุวิศวกรรมเพื่อเติมหน่วยพันธุกรรม
สั่งการให้สัตว์ชนิดหนึ่งมีระบบภูมิคุ้มกันเหมือนมนุษย์ เช่น เอาหมูมาทำอย่างที่ว่าพอได้ที่ดีแล้วจึงทำสำเนาหมูออกมาหลาย ๆ ตัว
ในระยะหลังๆ นักวิทยาศาสตร์บางคนตั้งสมมติฐานว่า
เราอาจบังคับให้เซลล์ที่เติบใหญ่แล้วกลับไปมีคุณสมบัติ
เหมือนเซลล์ตัวอ่อนได้ใหม่ ดังที่เกิดกับแกะดอลลี่
แต่เทคนิคการสร้างดอลลี่ยังมีความเสี่ยงสูงมาก
เพราะกว่าจะสำเร็จก็ต้องลองทำถึง 227 ครั้งจนได้ตัวอ่อนมา 29 ตัว
ที่มีชีวิตนานกว่า 6 วัน ครั้นพอให้ตั้งครรภ์เข้าจริงๆ
มีรอดจนคลอดเพียงตัวเดียว คือ ดอลลี่
โดยสรุป กรรมวิธีโคลนนิ่ง คือการทำสำเนาของสิ่งมีชีวิต
ที่ให้ผลิตผลเหมือนสัตว์ต้นแบบทุกประการในแง่ของพันธุกรรม
แต่ในเรื่องของจิตวิญญาณ พฤติกรรม และความรู้ความสามารถ
คงทำสำเนามาครบถ้วนได้ยาก หากใครคิดจะทำสำเนามนุษย์
ด้วยเหตุนี้ ข่าวการโคลนนิ่งแกะดอลลี่ที่สถาบันโรสลิน จึงสร้างคำถาม
และปฏิกิริยาในทางลบ เนื่องจากความวิตกจริตของคนทั่วโลกผู้ไม่เข้าใจ
ในเรื่องวิทยาศาสตร์เท่าไหร่นัก
อย่าลืมว่าสมัยที่เด็กหลอดแก้วออกมาใหม่ๆ ก็โวยวายกันพอสมควร แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นความหวังใหม่ของคู่สมรสที่มีบุตรยาก
โคลนนิ่งก็คงจะเข้าข่ายเดียวกัน เราคงจะต้องยอมรับวิวัฒนาการ
ทางวิทยาศาสตร์แล้วก็ ช่วยกันกำกับดูแลให้ทุกสิ่ง
ดำเนินไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติที่สุด
|