|
สัปดาห์ก่อนอาร์เอสฟิมล์จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริม
การตลาดภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของบริษัทเรื่อง
"โคลนนิง คนก๊อบปี้คน" ที่เมเจอร์รัชโยธิน
บนโลกเซลลูลอยด์ โคลนนิงมีชีวิตขึ้นจริงตามจินตนาการของมนุษย์ และโลดแล่นไปตามบทบาทในเรื่อง แต่ในโลกความเป็นจริง โคลนนิง ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบว่า ควรจะหาบทสรุปกับพันธุวิศวกรรมศาสตร์
นี้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง จำเป็นแค่ไหนที่จะต้องมีการโคลนนิงคน และถ้าให้มีการโคลนนิงคนขึ้นมาจริงๆ จะมีปัญหาอะไรตามมา
นี่คือตัวอย่างสภาพปัญหาที่วงการนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
ยังต้องหาข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว
2ปีกับความเคลื่อนไหว "โคลนนิง"
เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาก โลกได้รับรู้เรื่องราวของการสืบสายพันธุ์มนุษย์
ในแบบผิดธรรมชาติ เป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า "โคลนนิง"
จากวันที่เจ้าแกะโคลนตัวน้อยวัย 7 เดือน "ดอลลี" ที่ออกมา
ช็อกคนทั้งโลก คล้ายจะส่งสัญญาณว่า กำแพงธรรมชาติ
ในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย กำลังพังทลายลงทุกขณะ ขณะเดียวกัน
สิ่งที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ก็คือกระแสความขัดแย้งระหว่าง
กลุ่มเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยทั่วโลก กลับกลายเป็นเห็นด้วยมากขึ้น
ในสัดส่วนประมาณ 50:50
2 ปีที่ผ่านมาเจ้าแกะน้อยดอลลีกำลังเติบโตพร้อมกับมีลูกออกมาแล้ว กอปรกับวิทยาการที่ไม่เคยหลับไหล คำถามที่ตามมาคือ แล้วมนุษย์โคลนนิง
เกิดขึ้นตามมาแล้วหรือยัง
ผู้จัดการรายวัน ได้รับการเปิดเผยถึงความเคลื่อนไหว
ของการโคลนนิงจาก รศ.ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ว่า
"มีอยู่สองอย่างที่ออกมาชัดเจน อย่างหนึ่งที่จับตาดูกันมากก็คือ แกะดอลลีจะพัฒนาเป็นแกะปกติหรือไม่ และอย่างที่สองก็คือ
มันจะมีลูกได้ไหม ปรากฏว่า ณ วันนี้ มันมีลูกแล้ว และสมบูรณ์ดีด้วย
คือ หมดห่วงไปเปลาะหนึ่ง กลัวว่ามันจะเป็นหมัน ถ้าสมมติว่ามันมีลูกไม่ได้ มันก็จะกลายเป็นเรื่องในทางลบ ซึ่งตอนแรกคิดว่ามันมีแนวโน้มเป็นหมันสูง
แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็น
ส่วนพัฒนาการของมัน ตอนนี้เริ่มได้คำตอบแล้วว่า
ในเชิงกายภาพทั่วไป ถ้าไม่เจาะยีน ภายนอกก็ดูปกติ แต่พอตรวจยีน
ยีนมันแก่ตรงนี้น่ากังวล คล้ายกับถ้าทำโคลนนิงคนอายุ 70 ปี
ถ้าไปเอาเซลล์ของคนอายุ 20 มาทำก็ไม่แน่ใจว่า คนที่เกิดจากโคลนนี้
เขาจะพัฒนาแบบคนปกติอายุ 70 ปีหรือไม่
ถ้าเราลองตรวจสอบคนที่ยีน แล้วพบว่า ยีนนั้นผ่านการแบ่งเซลล์
คือ ค้นพบร่องรอยว่าเซลล์นั้นแก่ผิดปกติทั่วไป ทั้งที่ออกมาเป็นตัวเด็ก
ตามขั้นตอนปกติ เป็นตัวอ่อน เป็นทารก แล้วก็เป็นมนุษย์ คือ ดูตามแกะดอลลีและทั้งหมดเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป"
รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ยังได้กล่าวอีกว่าในขณะนี้โดยเฉพาะประเทศ
สหรัฐอเมริกา มีความก้าวหน้าไปมากแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหา
ในแง่ของช่องว่างทางกฎหมายมากมาย ซึ่งจากจุดนี้ นายบิลล์ คลินตัน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ได้ออกมาชี้แจงว่า รัฐบาลไม่ส่งเสริม
การโคลนนิงมนุษย์ และห้ามใช้เงินของรัฐบาลในการนี้ 5 ปี
แต่ รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ก็ได้ให้ข้อสังเกตว่า หลังจากนั้น 5 ปี
ก็ใช้เงินในการนี้ได้ ในขณะเดียวกันนายคลินตัน ก็ไม่ห้ามการทดลอง
ในห้องแล็บแต่อย่างใด
โโคลนนิงคนเตรียมแจ้งเกิดที่ญี่ปุ่น
จากจุดนี้ จึงมีบุคคลหลายกลุ่มอาศัยช่องว่างกฎหมายดังกล่าว
และเล่นแง่กับกฎหมายว่า ไม่ได้มีการห้ามในประเทศ ดังนั้นหากอยากทำโคลนนิงมนุษย์ก็อย่าไปเกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา
ยกตัวอย่าง ดร.ริชาร์ด ซี้ด (Richard Seed) ผู้เคยออกมาประกาศว่า จะเปิดคลินิกโคลนนิงมนุษย์ สำหรับคนมีบุตรยาก อีกทั้งตั้งราคา
ค่าบริการไว้เบ็ดเสร็จ 1 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ถูกประณามจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วไป รวมทั้งนายคลินตันด้วย ซึ่งเรื่องนี้ตกเป็นข่าวดัง เมื่อต้นปี ค.ศ.1998
เมื่อมีการสอบถามไปยัง ดร.ริชาร์ด ซี้ด ในกรณีกฎหมาย
โดยเฉพาะแล้ว ดร.ริชาร์ด ซี้ด ก็กล่าวว่า ในแง่กฎหมายแล้วไม่ห่วงเลย เพราะว่าในช่องว่างของกฎหมาย ไม่ได้มีการห้ามแต่ถ้ายังมีการต่อต้าน
เขาก็จะไปทำที่อื่น ซึ่งขณะนี้ก็ได้ไปลงทุนที่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว
แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะห้ามก็ตาม แต่กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น
ก็ยังคงช่องโหว่อยู่อีก แต่หากทำโคลนนิงในประเทศญี่ปุ่นไม่ได้
ก็เป็นไปได้ที่ดร.ริชาร์ด ซี้ด จะไปทำงานนี้ที่ประเทศอื่นต่อ อีกทั้งสื่อต่างๆ ในเวลานี้ก็เอื้ออำนวยต่อการโฆษณาอยู่แล้ว ทั้งหนังสือพิมพ์
และอินเตอร์เน็ตที่มีเครือข่ายทั่วโลก
ในขณะนี้ผู้ประกอบการเช่นดร.ริชาร์ด ซี้ด ไม่ได้มีเพียงคนเดียว
หากยังมีบริษัทอื่นด้วย ซึ่งสรุปได้ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า
ทำได้หรือไม่ทำไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าควรจะทำหรือไม่
สำหรับเรื่องโคลนนิงในทัศนะของรศ.ดร. ชัยวัฒน์ นั้น เขาบอกว่า
ไม่ควรมีการโคลนนิงมนุษย์ แต่อย่างไรก็มีความเป็นไปได้สูง
ที่จะโคลนนิงมนุษย์ขึ้นมา
"อะไรก็ตามที่มนุษย์สามารถทำได้ไม่ว่าจะควรหรือไม่ควร
จะมีคนทำเสมอ"
ต่างคนต่างความคิด
ในขณะที่เวลาผ่านมา 2 ปี หลังการประกาศเรื่องโคลนนิง จากจำนวนของคนที่มีความคิดเห็นในเชิงลบ ในปัจจุบัน
ได้มีการเคลื่อนไหวในเชิงบวกขึ้นด้วย โดยกลุ่มที่ออกมาประกาศว่า
ต้องการทำโคลนนิงก็มีรวมทั้งในประเทศไทยด้วย
"กลุ่มแรกที่ออกมาประกาศว่าอยากทำโคลนนิง กลุ่มนี้น่าเห็นใจ
คือ กลุ่มคนมีลูกยากมีลูกโดยปกติไม่ได้ อย่างคุณปิยะมาศ โมนยะกุล
น่าเห็นใจ แต่ก็ต้องคิดว่าจะสำเร็จออกมาเป็นโคลนปิยะมาศ
ที่สมบูรณ์หรือไม่ เพราะอาจจะต้องมีโคลนเป็นร้อยที่พิกลพิการ เพราะไม่ใช่ว่าจะโคลนสำเร็จได้ในครั้งเดียว แต่ต้องเสียไข่เป็นร้อยใบ
กว่าจะได้โคลนที่สมบูณ์หนึ่งชีวิต อย่างที่กว่าจะได้โคลนที่สมบูรณ์หนึ่งชีวิต
อย่างที่กว่าจะเป็นแกะดอลลี ก็ต้องเสียชีวิตแกะไปนับสิบนับร้อย"
อาจารย์ชัยวัฒน์ระบุ
"ส่วนอีกกลุ่ม เป็นกลุ่มที่รับไม่ได้กับการสูญเสียคนบางคน
เช่นสามีภรรยา หรือพ่อตายแล้วลูกรักพ่อมากจึงอยากทำโคลนพ่อเขา
เป็นต้น"
การค้าอวัยวะกับโคลนนิง
จากการค้นพบข้อมูลในอินเตอร์เน็ตพบว่า ประเทศจีน
เป็นประเทศที่มีการส่งออกอวัยวะมนุษย์สู่ตลาดโลกมากที่สุด ดังนั้นจึงมีแนวโน้มความเป็นไปได้มากพอสมควรว่า
น่าจะมีการโคลนอวัยวะเพื่อการค้า
"ในอังกฤษเขาโคลนกบไม่มีหัวได้ แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า
แทนที่จะโคลนคนทั้งตัว ก็ทำให้เกิดอวัยวะแค่บางส่วนได้
และสิ่งหนึ่งที่จะเกิดได้ แต่ควรไม่ควรอันนี้ไม่รู้ คือ
แทนที่จะโคลนทั้งตัว ก็โคลนแค่อวัยวะ แต่ผมว่ายากมาก ซึ่งจุดนี้น่ากลัวตรงที่การโคลนคนทั้งตัวยังง่ายกว่า"
อาจารย์ชัยวัฒน์กล่าว
"เขาบอกว่ามันมีวิธีหนึ่งคือ โคลนคนมาทั้งตัวแล้วฉีดสารบางอย่าง
ทำให้สมองไม่พัฒนา มันอยู่ในวิสัยที่ทำได้ ไม่ใช่นิยาย
แต่มันเป็นเรื่องจริงที่น่ากลัว แล้วในตอนนี้ผมว่ามนุษย์ขายทุกอย่าง อย่างถ้าเขาจะขายโคลนตัวเองมันเป็นสิทธิของเขา อย่างซูเปอร์โมเดล
อย่าง ซินดี้ ครอว์ฟอร์ด มีคนซื้อแน่นอน เอาของไป เอาเงินมา
มันก็ทำได้ นับว่าเป็นประเด็นใหญ่
"สำหรับบ้านเรา เท่าที่ผมทราบเองก็มีข่าวลือภายในว่า มีการทำกับมนุษย์ในบ้านเราแต่อยู่ในรูปแบบที่มหาเศรษฐี
ตะวันออกกลางเขารู้ว่าคนไทยเก่งก็เลยจ้างทำ ไม่ใช่ของคนไทย"
"มนุษย์โคลน" ปมขัดแย้งศีลธรรมและกม.
เมื่อพูดคุยถึงเรื่องศีลธรรมโดยตรงแล้ว รศ.ดร.ชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงคนกลุ่มหนึ่งก่อนที่จะเผยถึงแนวคิดของเขาว่า
"ผมว่ามีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่เขาไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
เขาทำการโคลนนิงไปเลย ผมว่าถึงเวลาที่จะต้องคุยกันแล้วว่า
ควรจะทำอะไรกับกฎหมายไทยแล้ว เราไม่มีกฎหมายเรื่องนี้เลย
เราต้องดูแล้ว ว่าควรหรือไม่ควรไม่ได้ ต้องมาดูกลไกของสังคมแล้ว
มันเป็นเรื่องความสมดุลทางธรรมชาติและคุณค่าความเป็นมนุษย์ ขณะนี้มีแม้กระทั่งพ่อแม่บางคนยอมมีลูกอีกคนเพื่อเอาตับไต
ไปช่วยลูกคนโต เพราะว่ารอไม่ไหว
เมืองไทยไม่ทราบว่ามีหรือไม่ อาจจะมีก็ได้เพราะข้อมูลข่าวสารบ้านเรา
แย่มาก แต่เมืองนอกเกิดขึ้นแล้ว และเป็นประเด็นกันมาด้วย
แล้วก็เกิดคำถามว่า เขาต้องการลูกคนหลังหรือเปล่า
แต่พอเด็กเกิดขึ้นมาแล้ว เขากลายเป็นอะไร กลายเป็นสิ่งที่พ่อแม่
ไม่ต้องการ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นมีความสุขกันดี ซึ่งเป็นเรื่องเชิงจริยธรรม
ที่เกิดการพูดคุยขึ้นมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีบ้านเราคนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว ว่าจะกลายเป็นการระเบิดออกมา
เมื่อเกินจุดที่วิกฤตไปแล้ว
เราไม่ต้องไปคิดหรือคาดไว้ว่าจะมีผลต่อสังคมไทยเมื่อไร
เพราะถ้ามีการประกาศว่า มีเด็กโคลนในเมืองไทยพรุ่งนี้
ก็มีผลพรุ่งนี้ จริงๆ มันพร้อมระเบิดตลอดเวลา ใครทำอะไรเราก็ไม่รู้
ก็อย่างที่บอก ดร.ริชาร์ด ซี้ด เขาพร้อมทำใน 90 วันจากวันนั้น
คือตอนนี้มันผ่านจุดที่จะทำไปนานแล้ว
เมื่อก่อนบ้านเราฮือฮาเด็กหลอดแก้ว แต่มันเป็นเชิงบวก
ไม่ผิดธรรมชาติ มันเป็นการช่วยคนมีบุตรยาก แต่โคลนนิง
มันเกิดขึ้นมาอีกคนเลย มันผิดธรรมชาติผมว่าไม่จำเป็น
แต่สัตว์นี่ควรโคลน ยกตัวอย่างในประเทศญี่ปุ่น
มีการนำนกใกล้สูญพันธุ์ที่แก่มากจนมีไข่ไม่ได้แล้วมาทำโคลนนิง
อันนี้ผมเห็นด้วยเป็นการรักษาทั้งพืชและสัตว์"
ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับโคลนนิงทั้งหมดนี้อาจสรุปได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีความรู้ที่จะสร้างมนุษย์โคลนขึ้นมาได้จริง แต่ยังไม่มีการสร้างขึ้นมาอย่างเป็นทางการ และต่อไปในอนาคต
ก็ค่อนข้างจะเห็นชัดว่ามนุษย์ สามารถสร้างมนุษย์โคลนขึ้นมาได้จริงๆ เพียงแต่เมื่อถามถึงเหตุผลอันควรที่จะโคลนนิงมนุษย์นั้น เหตุผลและจริยธรรมที่จะนำมากล่าวอ้างควรได้รับการยอมรับหรือไม่
|