|
คุณคงเคยสงสัยใช่ไหมว่า ทำไม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
(Albert Einstein) ถึงได้ฉลาดกว่าคนธรรมดา
ข้อสงสัยนี้มีคำตอบแล้วระดับหนึ่ง
เมื่อคณะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์
(McMaster Universtity) เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา ได้เสนอรายงานผลการวิจัยสมองของไอน์สไตน์ ในวารสาร
ทางการแพทย์ The Lancet เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า จากการศึกษาเปรียบเทียบสมองของไอน์สไตน์กับสมองคนฉลาดปกติทั่วไป
เป็นชาย 35 คน หญิง 56 คน พบว่า บริเวณส่วนล่าง
ของสมองด้านข้าง (inferior parietal region) ของไอน์สไตน์
ใหญ่กว่าของคนปกติธรรมดาถึง 15 เปอร์เซ็นต์ สมองบริเวณดังกล่าว
อยู่ในระดับเดียวกับหู มีหน้าที่เกี่ยวกับการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์
นอกจากนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า ร่องสมองของไอน์สไตน์
หายไปบางส่วนโดยที่สมองของคนทั่วไปจะมีร่องสมองจากส่วนหน้า
ต่อเนื่องไปยังสมองส่วนหลังซึ่งร่องที่หายไปบางส่วนนี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่แสดงความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์
เนื่องจากทำให้เส้นประสาทและเซลล์สมองบริเวณนั้น
สามารถเชื่อมโยงเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น
ผลของการศึกษาวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า อัจฉริยภาพ
ของนักทฤษฎีทางฟิสิกซ์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกผู้นี้ มีมาตั้งแต่กำเนิด
อย่างไรก็ตาม คณะนักวิทยาศาสตร์ทางด้านประสาทวิทยา
ของมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ได้ชี้ว่า การค้นพบจากการศึกษา
ด้านกายภาพของสมองไอน์สไตน์ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการบรรลุจุดหมาย
ปลายทางของการศึกษาเรื่องสมอง พวกเขาตระหนักดีว่า สภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองเช่นกัน
เพียงแต่การศึกษาสมองของไอน์สไตน์ครั้งนี้สามารถบอกได้ว่า สภาพแวดล้อมไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่มีผลต่อพัฒนาการของสมอง
ผลการวิจัยของสมองไอน์สไตน์ที่เผยแพร่ออกมานี้ นับเป็นครั้งแรก
หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 2498 ที่พรินซตัน (Princeton)
รัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกา และสมองของเขาตกอยู่ในความครอบครอง
เพื่อการศึกษาของดอกเตอร์โธมัส ฮาร์วีย์ (Thomas Harvey)
นักพยาธิวิทยาซึ่งทำหน้าที่ชันสูตรศพเขา โดยดอกเตอร์ฮาร์วีย์
ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องทั้งจากกองมรดกและบุตรชาย
ไอน์สไตน์-Hans Albert
ดอกเตอร์ฮาร์วีย์ได้ถ่ายภาพสมองของไอน์สไตน์ พร้อมทั้งวัดขนาดไว้ นอกจากนั้นยังได้ตัดสมองออกเป็นชิ้นขนาดต่างๆ กันถึง 240 ชิ้น
แต่ไม่มีผลการศึกษาวิจัยใด ๆ ออกมา
จนกระทั่งเมื่อปี 2539 ดอกเตอร์ฮาร์วีย์ได้ส่งโทรสารประโยคเดียว
ไปยังมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ในแคนาดา ถามว่า สนใจที่จะศึกษา
สมองของไอน์สไตน์ไหม ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากคณะนักวิจัย
ด้านประสาทวิทยาของที่นั่นกลับมาว่าสนใจ จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยครั้งนี้
ซึ่งก็เป็นตามความมุ่งหวังของตัวไอน์สไตน์เองที่เคยบอกไว้
ในประวัติของเขาชิ้นหนึ่งว่า เขาหวังว่าจะมีการศึกษาสมองของเขา
เมื่อเขาตายแล้ว
จนถึงขณะที่เขียนต้นฉบับชิ้นนี้ ยังไม่มีความเห็นในเรื่องผลการศึกษาครั้งนี้
จากดอกเตอร์ฮาร์วีย์ผู้ซึ่งเก็บสมองของไอน์สไตน์ไว้นานถึง 41 ปี ก่อนที่จะส่งต่อให้กับนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์
ส่วนหัวหน้าทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์บอกว่าชั้นต่อไป พวกเขาจทำการถ่ายภาพสมองของบรรดานักคณิตศาสตร์
ที่มีความฉลาดหลักแหลมซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เพื่อนำมาเปรียบเทียบ
กับสิ่งที่ค้นพบจากสมองของไอน์สไตน์
ขณะเดียวกัน เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีรายงานข่าวความเกี่ยวข้อง
ระหว่างสมองกับความรุนแรงในรายการ 48 Hours
ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส (CBS) ของสหรัฐว่า
พฤติกรรมรุนแรงของคนเรานั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ดอกเตอร์แดเนียล อาเมน (Daniel Amen)
นักจิตวิทยาซึ่งมีคลินิกอยู่ที่เมืองแฟร์ฟิลด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย
สหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาสมองของคน 7,000 คน พบว่า ความผิดปกติดังกล่าวนั้นจะอยู่ที่กลีบสมองบริเวณขมับซ้าย
(left temporal lobe) ซึ่งเป็นแหล่งควบคุมความคิดที่ก้าวร้าว
ดอกเตอร์อาเมนบอกว่า ทฤษฎีของเขานั้นไม่ใช่ข้อแก้ตัว
แต่เป็นคำอธิบาย
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์บางคนมองว่า ดอกเตอร์อาเมน
ยังทำการวิจัยไม่พอที่จะพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าว แต่ปรากฏว่า เขาได้รับการว่าจ้างจากทนายที่ว่าความให้กับผู้ต้องหาคดีอาญาถึง
20 คดี ด้วยกันให้เขาไปให้การเป็นพยาน เพื่ออธิบายต่อคณะลูกขุน
เกี่ยวกับทฤษฎีของเขาว่า ที่เด็กที่มีพฤติกรรมรุนแรงนั้น
เกิดมาพร้อมกับสมองที่ผิดปกติซึ่งดอกเตอร์อาเมนบอกว่า
คำให้การเป็นพยานของเขา ทำให้ผู้ต้องหาได้รับการผ่อนผันโทษ
จากหนักเป็นเบา
ดอกเตอร์อาเมนบอกว่า ที่เขาทำเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผู้ต้องหาเหล่านั้นไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขากระทำลงไป (โดยจำเลยกลายเป็นกลีบสมองบริเวณขมับซ้ายแทน) แต่ดอกเตอร์อาเมนเห็นว่า การที่ไม่ให้ความสนใจว่า ความผิดปกติของสมองนั้นมีอยู่จริง จะยิ่งยุ่ง!
เ
รื่องนี้ยังคงต้องถกเถียงและศึกษาเพิ่มเติมต่อไปไม่ว่าจะเป็น
สมองอัจฉริยะหรือสมองของพวกที่มีพฤติกรรมรุนแรง
เห็นทีดิฉันจะต้องส่งโทรสารหรืออี-เมล์ ไปให้ดอกเตอร์อาเมนหรือคณะวิจัย
ด้านประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ในแคนาดา ถามว่าไม่สนใจศึกษาวิจัยสมองของผู้คนในสังคมไทยบ้างหรือ
โดยเฉพาะนักการเมืองไทย !
ซึ่งดิฉันสงสัยว่า พวกเขาจะต้องมีกลีบ (พู) ร่องสมอง หรือส่วนหนึ่งส่วนใด
ผิดปกติเหมือน กันอย่างแน่นอนมิเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีพฤติกรรมหมู่
ใกล้เคียงกันได้มากขนาดนี้ แม้บ้างคนจะมีภูมิหลังต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ตาม
|