มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ คัดลอกจากนิตยสารแม่และเด็ก ปีที่ 22 ฉบับที่ 320 เมษายน 2542]

ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัวคุณ

น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมธุรกิจโรงภาพยนต์จึงไม่รุ่งเรือง เหมือนเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา จากความจำเก่าๆ ซึ่งขณะนั้นยังอยู่มหาวิทยาลัย บ่อยครั้งที่มีหนังหรือภาพยนต์รอบหารายได้พิเศษของคณะต่างๆ ที่จัดฉายภาพยนต์รอบคนขยัน ซึ่งบางคนเรียกรอบคนบ่น เพราะต้องตื่นเช้าในวันหยุดเพื่อมาดูหนังตอน 7.00 น. ซึ่งเป็นวิธีหารายได้เข้าคณะเพื่อทำกิจกรรม คนดูไม่น้อย เพราะเป็นรอบบัตรตื้อ บัตรยัดเยียด โรงหมอโรงภาพยนต์ก็รุ่งเรืองมาก แต่ละโรงจุผู้ชมได้ 500-600 คน ฝรั่งมาเมืองไทยยังทึ่ง เพราะในเมืองของเขานั้น โรงขนาดย่อมเหมือนโรงภาพยนต์ตามศูนย์การค้าปัจจุบัน จุได้ประมาณ 100-200 คนก็มากแล้ว พอมีวิดีโอเท่านั้นไม่พอยังมีเคเบิ้ลทีวีเข้ามาอีก ลูกค้าโดยเฉพาะพวกกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไปซึ่งมีหน้าที่การงานระดับสูง ที่มีขีดความสามารถจัดหาเครื่องอำนวยความสะดวกที่เรียกว่า โฮมเธียเตอร์หรือโรงหนังในบ้านได้ กลุ่มนี้ก็เลยไม่ใช้บริการโรงหนังอีกต่อไป

ยิ่งยุคปัจจุบันสุขภาพและความปลอดภัยเป็นสิ่งที่คนทั่วๆ ไปสนใจ ยิ่งทำให้ธุรกิจโรงภาพยนต์มีแต่ฟุบ ๆ เพราะความไม่ปลอดภัย ข่าวไฟไหม้ก็ดี ข่าวการถูกข่มขืนกระทำชำเราในห้องสุขา การจี้ปล้น เท่ากับกระหน่ำซ้ำเติม ยิ่งพวกแพทย์ด้วยแล้วไหนงานจะยุ่ง เพราะทำงานเรียกได้ว่าแทบไม่มีวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์ ถ้าไม่หนีออกต่างจังหวัดก็ต้องถูกตามหรือไม่ก็ต้องไปดูผู้ป่วย ยิ่งเป็นหมอที่ทำการผ่าตัดยิ่งไม่มีข้อยกเว้น การดูคนไข้หลังผ่าตัด ต้องดูเองเพราะไม่มีใครรู้ดีเท่าผู้ผ่าว่าเป็นอย่างไร รื้อหรือตัดต่ออะไรไว้อย่างไร จุดเลือดออกอยู่ตรงไหน เลยต้องมาดูเอง ตรวจตราด้วยตัวเอง แม้จะทำงานเกินแต่ก็ไม่มีโอทีมีแต่โอแถม ดังนั้นคนในอาชีพนี้ จึงใช้บริการโรงหนังน้อยมาก โดยเฉพาะปัจจุบันอุปกรณ์การเรียนการสอนนั้น เครื่องเล่นวิดีโอเป็นอุปกรณ์จำเป็นเพราะเรื่องที่จะต้องเรียนรู้มากมาย เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดทุกวัน และต้องติดตามให้ทันการณ์ปัจจุบัน ก็โดยใช้สื่อวิดีโอ ยิ่งปัจจุบันมีการใช้อินเทอร์เนตก็เลยมีโอกาส ได้ดูภาพยนต์เพิ่มมากขึ้น โดยไม่ต้องเตรียมการเฉพาะ พอว่างก็เช่าหรือยืมภาพยนต์ที่น่าสนใจมาดูกัน

เคยมีการสำรวจการดูหนังของพวกหมอพบว่า เกือบครึ่งชอบดูหนัง ที่เป็นบันเทิงเริงรมย์กึ่งๆ ไร้สาระสิ้นเชิง บันเทิงลูกเดียวก็ไม่น้อย เพราะชีวิตจริงก็ต้องแก้แต่ปัญหาของผู้มาใช้บริการอยู่แล้ว อาชีพผู้เขียนเป็นอาชีพที่ปะติดปะต่อภาพยนต์ได้เก่ง เพราะมักจะดูหนังไม่ค่อยต่อเนื่องจนจบเพราะถูกตามบ่อย บางเรื่อง ดู 4 ครั้งกว่าจะจบ เช่นเรื่องที่ได้ดูไปเมื่อสัก 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ประมาณค่อนเรื่องก็ต้องยุติต้องเข้าห้องผ่าตัด แต่ค่อนเรื่องนั้น ต้องปิดๆ เปิดๆ อยู่ 3 ครั้ง ที่ทนปิดๆ เปิดๆ ได้ 3 ครั้ง เพราะเนื้อเรื่อง น่าสนใจมาก เป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นหนังที่ดูโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงเพราะเห็นกองๆ อยู่ในห้องพักแพทย์ก็เลยหยิบๆ มาดู เห็นชื่อเรื่องแล้วก็ไม่เข้าใจ เพราะชื่อคล้ายหนังอินเดีย ชื่อคล้ายกัลกัตต้าแต่ไม่ใช่ เป็นการเอาพยัญชนะภาษาอังกฤษหลายๆ ตัว มารวมกัน G, A, L, C และ T ถ้าจำไม่ผิดเป็น CALGATA ไม่มีความหมายอะไรในเบื้องต้น แต่เห็นเป็นหนังที่มีดาราพอรู้จัก คิดว่าใส่กล่องผิด ไม่มีภารกิจด่วนอะไรก็เลยเปิดดู

ภาพยนต์เริ่มด้วยการที่ครอบครัวหนึ่ง สามีภรรยาคู่หนึ่ง ได้รับผลการตรวจเลือดของบุตรชาย ซึ่งก็คือ รายงานการตรวจหาพิมพ์เขียวชีวิต คือ การตรวจดูหน่วยพันธุกรรม ซึ่งจะทำนายถึงอนาคตของสุขภาพ ต้องเน้นว่าสุขภาพไม่เกี่ยวกับหน้าที่การงาน ว่าเด็กชายผู้นั้น มีแนวโน้มของกลุ่มที่เรียกว่า พันธุ์ด้อย คือ สายตาสั้น มีพันธุกรรมที่จะเป็นเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ ฯลฯ

โดยในภาพยนต์ได้แสดงให้เห็นถึงการที่เลือดเพียง 1 หยด พอเข้าไปเครื่องมือตรวจวิเคราะห์จะทำการวิเคราะห์ดูถึงหน่วยพันธุกรรม ที่พื้นฐานที่สุด คือ กลุ่มสารอินทรีย์หรืออนุมูลสารอินทรีย์ที่เรียก DNA ซึ่งใน DNA ที่ประกอบกันเป็นหน่วยพันธุกรรมจะมีอนุมูลสารอินทรีย์ ไม่เกิน 6 ตัว เรียงสลับกันไปมาได้เป็นล้านๆ รูปแบบและจะเรียงตัวกัน อย่างมีกระสวนเฉพาะ นี่คือพื้นฐานของชีวิตมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตก็ว่าได้ ที่เกิดจากการเรียงตัวของอนุมูลสารอินทรีย์ที่มองไม่เห็นต่อๆ กันเป็นรูปร่าง ที่เห็นได้ เป็นรูปปาท่องโก๋คือมี 2 แขน 2 ขา ใน 1 คู่ และในมนุษย์ จะมีปาท่องโก๋หรือโครโมโซม (Chromosome) 46 คู่ ซึ่งครึ่งหนึ่งของปาท่องโก๋ คือ 23 คู่นั้น เด็กจะได้มาจากแม่ และอีกครึ่งหนึ่ง 23 คู่ จะได้มาจากพ่อ จึงมีการเปรียบเทียบว่าพิมพ์เขียวเด็กนั้น เวลาได้มาเสมือนการเล่นไพ่ ของทารกนั่นเอง แต่มีไพ่ 46 ใบ ไพ่ 23 ใบต้องดึงมาจากแม่ อีก 23 ใบ ต้องดึงมาจากพ่อ เพื่อมารวมเป็นสำรับเดียวในตัวทารกจึงเป็นการเสี่ยง ตามธรรมชาติว่าจะได้ส่วนดีหรือส่วนด้อยมาจากพ่อและแม่ แต่ละฝ่ายจะได้อะไรมาธรรมชาติเป็นผู้กำหนด มนุษย์ไม่สามารถกำหนดได้ จนบางคนพูดว่าเป็นหน้าที่ของพระผู้เป็นเจ้า

เผอิญเด็กชายคนแรกของครอบครัวนี้ได้ลักษณะของยีนพันธุ์ด้อยมามาก และข้อมูลดังกล่าวนั้น ก็ถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เกิดจากโรงพยาบาล และติดตัวไป ต่อมาครอบครัวนี้ก็ต้องการมีบุตรคนใหม่จึงไปปรึกษาแพทย์ แพทย์เห็นประวัติครอบครัวแล้วว่า บุตรคนโตมีลักษณะพันธุ์ด้อย ก็เลยแนะนำ ให้คัดเลือกการปฏิสนธิให้ได้พันธุ์เด่นออกมา ซึ่งสามีภรรยาคู่นี้ไม่เห็นด้วย เพราะอยากจะให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติ ไม่ต้องการให้หมอ หรือเทคโนโลยีเป็นผู้กำหนด แต่ในที่สุดก็จำนนด้วยเหตุผลของแพทย์ และแล้วครอบครัวนี้ก็ได้บุตรชายคนที่สอง

ซึ่งจากการตรวจวิเคราะห์เลือดก็ได้ผลพิมพ์เขียวว่าเป็น พันธุ์เด่น ทุกอย่างดีหมด แข็งแรง สุขอนามัยไม่เลี่ยงต่อการเกิดโรค อย่างที่ภาพยนต์แสดงให้เห็นว่า การเจริญเติบโตของสองพี่น้อง ซึ่งมีการแข่งขันตลอดมาว่า ผู้เป็นพี่นั้นแพ้มาตลอด หน้าตาก็ขี้เหร่กว่า แต่สิ่งหนึ่งซึ่งธรรมชาติไม่สามารถกำหนดให้ได้คือ บุคลิกภาพและจิตใจ คนพี่มีลักษณะที่เรียกว่า "ลูกฮึด" จนสามารถเอาชนะผู้น้อง ที่มีร่างกายแข็งแรงกว่าได้ และเด็กผู้มีลักษณะพันธุ์ด้อย ก็สามารถที่จะเข้าไปทำงานอยู่ในหน่วยงานที่มีแต่ผู้มีพันธุ์เด่นปฏิบัติงานอยู่ คือ หน่วยงานที่เกี่ยวกับกิจการอวกาศ

ภาพยนต์เรื่องนี้สะท้อนภาพของอนาคตได้ดีเพราะขณะนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังทำพิมพ์เขียวหรือยีนแมพพิ่ง (Gene Mapping) ให้ครบ ซึ่งเริ่มนำมาจากการที่หมอต้องการทราบในเชิงเวชศาสตร์ ป้องกันของโรคมะเร็งต่างๆ จุดเริ่มจริงนั้นคือ มะเร็งเต้านม เพราะในประเทศทางตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา สตรีเป็นมะเร็งเต้านมสูงมากจนเป็นปัญหาสาธารณสุขไปแล้ว แม้แต่ภรรยาประธานาธิบดีก็ยังเป็นโรคนี้

แม้การแพทย์จะเจริญการตรวจเช็กค้นหาจะดีอย่างไร ก็ยังป้องกันไม่ได้ จึงจำเป็นต้องลงลึกไปหาดูว่า มีอะไรที่พอจะบอกล่วงหน้าได้บ้าง ก็มาลงที่ยีนหรือหน่วยพันธุกรรม และก็พบว่ามีตำแหน่ง (ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ของสาขาพันธุกรรม) หมายเลข 17 จะเป็นที่อยู่ของหน่วยพันธุกรรมที่จะควบคุมอนาคตของต่อม และเนื้อเต้านม มีการศึกษาวิจัยมากมายในสาขานี้ จนปัจจุบัน ได้มีการร่วมมือกันของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่จะทำพิมพ์เขียวพันธุกรรม ทั้งตัวของมนุษย์ จึงนับได้ว่า ก้าวหน้าไปมากพอสมควร โดยเฉพาะ ทางสาขามะเร็งวิทยา ได้นำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาจนเกิดวิชาการ วิศวกรรมพันธุกรรม ที่จะสามารถทำการรักษาที่เรียกว่า ยีนเทอราฟี่ (Gene Therapy) การตัดต่อซ่อมเปลี่ยนแปลงหน่วยพันธุกรรม ซึ่งในพืชเจริญไปมากแล้วมาใช้กับมนุษย์ด้วยความรู้ที่พัฒนามากขึ้น ๆ

จุดบกพร่องของพันธุกรรมที่จะนำมาซึ่งการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยให้การตรวจหากลุ่มเสี่ยงได้แม่นยำมากขึ้น มะเร็งนั้น เป็นความผิดปกติที่ต้องใช้เวลาในการเกิดโรคค่อนข้างนาน เพราะว่าร่างกายมนุษย์มีขบวนการตรวจสอบทำลายมะเร็งคอยต่อต้านอยู่ การที่จะเกิดมะเร็งได้จะต้องอาศัยปัจจัย 2 ประการ อย่างน้อยหนึ่งปัจจัยคือ ระบบภูมิคุ้มกันต้องผิดปกติหรืออ่อนล้า (อาจจะไม่ผิดปกติ) จากการที่ถูกโจมตี อย่างต่อเนื่อง อีกปัจจัยคือการทำงานของยีนหรือหน่วยพันธุกรรม ที่ควบคุมเซลล์มะเร็งของอวัยวะนั้นๆ สูญเสียหน้าที่ซึ่งเกิดจาก หน่วยพันธุกรรมนั้นๆ ถูกทำลายหรือทำให้สูญเสียหน้าที่ของสารก่อมะเร็ง เฉพาะอย่างอาจจะเป็นไวรัส สารเคมี รังสี หรืออนุมูลอิสระ (Free Radical)

ซึ่งตัวหลังคือ อนุมูลอิสระ กำลังมาแรงเพราะอนุมูลอิสระนั้นเกิดขึ้นในร่างกาย จากขบวนการเผาผลาญอาหารตามปกติ และเมื่อเกิดขึ้นจะไปทำให้เซลล์ชำรุดได้ ก่อให้เกิดการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่ออันจะนำมาซึ่ง การเกิดมะเร็ง และความแก่ที่กำลังดังมากเพราะสภาพอันหลังคือ ความแก่ จึงเห็นได้ว่าในท้องตลาด ขณะนี้มีผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารก็ดี อาหารเสริมก็ดี ยาก็ดี พวกกลุ่มต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งที่นิยมคือ ไวตามินอี จริงๆ แล้วควรจะเป็นไวตามินอี (แก่) คือ พวกกลัวความแก่ ซื้อหามาทานกันมากมาย

กลุ่มนี้ที่เป็นสารต้านความแก่ก็คือ กลุ่มที่มีคุณสมบัติเรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ซึ่งก็มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่สนับสนุนทฤษฎี อนุมูลอิสระที่สามารถทำให้เกิดเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นสารที่ต่อต้านมันคือ แอนตี้ออกซิแดนท์ จึงมีประโยชน์ ในการป้องกันมะเร็งได้ด้วย ไม่เพียงไวตามินอีเท่านั้น

สารกลุ่มนี้ที่สำคัญตัวหนึ่งคือ เบต้าแคโรทีน ซึ่งถ้าซื้อมาในสภาพสารสกัดจะแพงมาก คนไทยโชคดีที่จากการวิจัย พบว่า สารแอนตี้ออกซิแดนท์ตัวนี้ มีมากในผลไม้ไทยเรา โดยเฉพาะผลไม้ที่ว่านี้ราคาไม่แพงแถมอร่อยมากและเข้ากันได้ดี หรือเสริมฤทธิ์อร่อยยิ่งขึ้นเมื่อทานกับกระยาสารท เพียงเท่านี้ก็คงเดาออก ว่าสิ่งนั้นคือ กล้วยไข่ ซึ่งไม่ใช่กล้วยทุกชนิด มีตัวเบต้าแคโรทีนเท่ากันก็หาไม่ กล้วยไข่มีมากที่สุด 1 ขีด มีเบต้าแคโรทีน 492 ไมโครกรัม กล้วยหอมซึ่งราคาค่อนข้างแพง 1 ขีด มี 99 ไมโครกรัม กล้วยน้ำว้ามีน้อยมากมีเบต้าแคโรทีนเพียง 9 ไมโครกรัม ส่วนกล้วยหักมุกไม่มีเลย

ดังนั้นคุณผู้หญิงที่กลัวหรือต้องการชะลอความแก่ และยังป้องกันมะเร็งได้ด้วยควรทานกล้วยไข่ นอกจากกล้วยแล้ว ยังมีพืชผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูงๆ อีกโดยเฉพาะหัวแครอต ซึ่งในภาพยนต์ฝรั่งจะเห็นว่าผู้หญิงตะวันตกจะเดินเคี้ยวตามถนนราวกับขนม แครอตจะมีเบต้าแคโรทีนสูงมากกว่ากล้วยหอมเกือบ 10 เท่า แต่ไม่แนะนำ เพราะแพงและเป็นพืชผักที่มักจะต้องสั่งนำเข้า ยุค IMF เช่นนี้คงไม่เหมาะ ผักไทยๆ เราที่มีแคโรทีนสูงก็มีมากโดยเฉพาะคะน้า ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้าน ของไทยๆ เราไม่ว่าจะต้มจะผัดจะรวมกับก๋วยเตี๋ยวก็ล้วนแต่ทำได้ มีสารกลุ่มนี้สูงถึง 2500 ไมโครกรัมใน 1 ขีด

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ยังรวมถึงวิตามินซี สารเปรี้ยวในพืชผักและผลไม้ที่เปรี้ยวเพราะตัวไวตามินซีนั้น เป็นกรด ชื่อจริงคือแอสคอบิค แอซิด (Ascorbic Acid) ซึ่งมีในผลไม้ทุกชนิดและพืชผักสีเขียวแต่ยังแบบที่เข้าใจผิดๆ อยู่ในหมู่มวลสตรีว่าการทานผลไม้จะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะได้แอนตี้บอดี้ออกซิแดนท์มากก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทานกันใหญ่ ลืมคำนึงไปว่า ในผลไม้นั้นมีส่วนประกอบจำพวกคาร์โบไฮเดรต หรือสารตระกูลแป้งอยู่มาก ซึ่งคาร์โบไฮเดรตไม่มีความหวาน ถ้าผลไม้ที่มีความหวานด้วยแล้วแสดงว่า มีน้ำตาลที่เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่แปรรูปไปแล้ว คาร์โบไฮเดรตเมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะถูกใช้ เป็นพลังงานส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะแปรสภาพเป็นไขมันสะสมในร่างกาย จึงเห็นได้ที่คุณผู้หญิงต้องการลดน้ำหนักแล้วเลือกทานแต่ผลไม้แทน ปรากฏว่านอกจากไม่ลด (น้ำหนัก) แล้วยังพลอยให้ร่างกายอ่อนแอเพราะ ขาดสารอาหารเนื่องจากทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ โรคาพยาธิเบียดเบียนนี้ เสียเงินเสียทองอีก อาจจะเสียคนข้างเคียงไปด้วยเพราะปฏิบัติไม่ถูกทาง

ถ้าเรามีพิมพ์เขียวของชีวิตจะรู้ได้เลยว่า ความอ้วนนั้น เกิดเพราะเป็นพันธุกรรมหรือเพราะนิสัยการอุปโภคจะได้แก้ถูกจุด มะเร็งก็เช่นกัน พิมพ์เขียวจะบ่งบอกให้ทราบว่า เป็นกลุ่มที่จะเสี่ยงต่อเนื้องอก ระบบใดได้วางแผนป้องกันได้ถูกต้อง ถ้าพบว่ามีความผิดปกติที่ตำแหน่ง 17 ซึ่งบ่งบอกว่า น่าจะเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เมื่อสตรีนั้นมีครอบครัว มีบุตรพอเพียงก็อาจจะเอาเต้านมออกหรือตรวจเช็กติดตามอย่างเข้มงวด ก็อาจจะหลบหนีมะเร็งได้

แต่ผลด้านลบของพิมพ์เขียวชีวิตนั้นก็จะต้องแสดงในภาพยนต์เรื่องนั้น บริษัทประกันสุขภาพจะไม่รับเป็นสมาชิกชายผู้นั้นจะขาดหลักประกันทางสังคม พอไปสมัครงานบริษัทก็ไม่ยอมรับเพราะพอตรวจประวัติพิมพ์เขียว จากการกดคอมพิวเตอร์ดูก็ทราบว่าเป็นพวกพันธุ์ด้อย บริษัทกลัวที่จะต้องจ่ายค่าสวัสดิการสุขภาพที่ราคาแพง ก็เลยตกลงไม่มีบริษัทใดกล้ารับ ต้องไปทำงานที่ใช้แรงงานแม้จะเรียนมาสูง

มนุษย์ยุคพิมพ์เขียวชีวิตจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ ประเภทพันธุ์ด้อยและพันธุ์เด่น แล้วท่านจะเป็นประเภทใด??

น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์


ขอบคุณนิตยสารแม่และเด็ก ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600