มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[คัดลอกจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2542]

ฮิวแมน จีโนม...

กำเนิดมนุษย์ตัดต่อยีน


เทคโนโลยีด้านพันธุกรรม กลายเป็นความก้าวหน้า ทางวิทยาการสมัยใหม่ที่มีการพูดถึงอย่างแพร่หลายในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนเล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากศึกษาวิจัย แต่อีกจำนวนมากที่หวั่นเกรงว่าโทษอาจจะมีมากกว่าประโยชน์

จุดประกาย นำเสนอเรื่องราวนี้สองตอนติดต่อกัน โดยตอนแรก กิ่งอ้อ เล่าฮง มีรายงานความก้าวหน้าของโครงการฮิวแมน จีโนม ที่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของมนุษย์ตัดต่อยีน

ถ้าวันหนึ่งคุณแต่งงาน...แล้วเกิดอยากมีลูก แต่เมื่อไปตรวจกลับพบว่า ดีเอ็นเอ ทั้งของคุณและสามี มียีนที่บกพร่องทั้งคู่ หากมีบุตรขึ้นมา ก็จะมีความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคทางพันธุกรรม หากคุณเป็นพ่อและแม่ จะตัดสินใจอย่างไร ระหว่างทางเลือกดังต่อไปนี้

หนึ่ง ตัดสินใจเด็ดขาด คือ อยู่กันต่อไปโดยไม่ต้องมีลูกก็ได้ หรือ

สอง ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีความก้าวหน้า ทางด้านการแพทย์สมัยใหม่เข้าช่วย โดยมีข้อแม้ว่า เด็กที่เกิดขึ้นมาจะมีโอกาสหายต่อการเป็นโรคอันเกิดจากพันธุกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ไม่รับรองว่า ในอนาคตเขาจะมีโรคอื่นแทรกซ้อน ขึ้นมาหรือไม่ และ

สาม ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีความก้าวหน้า ทางการแพทย์ที่กำลังศึกษากันอยู่ในขณะนี้ ด้วยเปลี่ยนเอายีนดี จากมนุษย์คนอื่น ไปใส่เข้าในยีนที่บกพร่องของตนเอง เพื่อให้ได้ลูกที่มีความแข็งแรงและสมบูรณ์ ในทุกๆ ด้าน เป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากการตัดต่อยีนหรือการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม

ข้อความดังกล่าวข้างต้น คุณอย่าคิดว่าเป็นเรื่องสมมติ ที่ล้อเล่นขึ้นมาเพื่อความสนุกๆ เท่านั้น เพราะปัจจุบันความก้าวหน้าทางพันธุกรรม หรือที่ในวงการนักพันธุศาสตร์เรียกกันว่า คลื่นลูกที่ 4 อย่างเทคโนโลยีชีวภาพ กำลังถูกศึกษา วิจัย ค้นคว้า และทดลอง เพื่อทำในสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของธรรมชาติได้บ้างแล้ว แม้ว่าผลลัพธ์อันเกิดจากการทดลองจะยังไม่มีใครบอกได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของมนุษยชาติ

1. Human Genome Project หรือ การศึกษาจีโนมมนุษย์ เป็นหนึ่งในโครงการศึกษาวิจัยทางชีววิทยา อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ประเทศต่างๆ หลายร้อยคน โดยมีเป้าหมายที่ต้องการจะรู้เกี่ยวกับ รายละเอียดของตำแหน่งทั้งหมดของมนุษย์ 80,000 ยีน บนโครโมโซม 23 คู่

อันที่จริงโครงการดังกล่าวนี้ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ได้เคยมีการถกเถียงกันถึงความเป็นไปได้ รวมทั้งความเหมาะสม มาเป็นเวลานานหลายปีก่อนหน้านั้น จนกระทั่งรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติโครงการ และให้เริ่มต้นการศึกษาอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1990 หรือในปี พ.ศ2533 ที่ผ่านมา

โครงการนี้มีกำหนดสิ้นสุดในปี ค.ศ.2005 หรือ พ.ศ.2548 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 15 ปี ในการนี้รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ยอมทุ่มทุนสนับสนุน Human Genome Project เป็นจำนวนเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ต่อปีทีเดียว Human Genome Project นอกจากจะมีนักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐแล้ว ยังมีนักวิทยาศาสตร์จากประเทศต่างๆ อย่าง ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ฯลฯ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง ในส่วนของประเทศไทยนั้น แม้จะไม่ได้ส่งนักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมโครงการที่ว่านี้ แต่ก็มีการติดตาม ผลการศึกษาวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง

"จีโนมมนุษย์คืออะไร..." ดร.สุทัศน์ ศรีวัฒนพงษ์ รองผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ตั้งคำถามและอธิบายว่า
จีโนม คือ พิมพ์เขียวของสิ่งมีชีวิต เรียกง่ายๆ ว่าดีเอ็นเอ หรือสารพันธุกรรม มีโครงสร้างเป็นสาย 2 สาย เรียงกันเป็นเกลียวคู่ โดยอาศัยเบสจับเฉพาะกันมีทั้งหมด 4 ตัว คือ ถ้าเป็น adenine (A) ก็จะจับคู่กับ thymine (T) และguanine(G) จะจับคู่กับ cytosine(C)

บนโครโมโซม 24 คู่ ของมนุษย์จะมียีนตัวควบคุม 4 ตัวนี้ ถึง 80,000 เรียงกันเป็นสาย ในจำนวนยีนทั้งหมด จะเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นรหัสควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม และเมื่อถอดรหัสไปแล้ว ก็จะพบโปรตีนชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เฉพาะ โปรตีนตัวนี้จะควบคุมลักษณะทางชีววิทยาของเซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ที่ถูกถ่ายทอดมาจากพ่อ และแม่ ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า จีโนม

ดร.สุทัศน์ ให้ข้อมูลทางวิชาการเพิ่มเติมว่า การที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาจีโนมมนุษย์ ก็เพราะต้องการรู้ว่า บนโครโมโซมของยีนแต่ละคู่มีลักษณะการเรียงตัวอย่างไร มียีนอะไรบ้าง ในแต่ละเส้นแต่ละช่วงทำงานกันอย่างไร มีหน้าที่อย่างไร โดยยีนนักพันธุกรรมค้นพบคุณสมบัติ จะถูกทำเครื่องหมายกำกับไว้ เพื่อจะดูต่อไปว่า มียีนอะไรบ้างที่ทำหน้าที่กำหนดโปรตีนที่เป็นประโยชน์ และมียีนกี่ตัวที่จะเข้าไปกำหนด เพราะตามปกติยีนบางตัว หรือบางชนิด อาจจะทำหน้าที่ของมันไม่ได้เพียงลำพัง แต่ต้องประกอบด้วยตัวอื่นๆ ด้วย

"ในปี 2546 คาดว่า เราจะรู้ว่ายีนทั้งหมด 80,000 ตัวนี้ เรียงตัวกันอย่างไร เมื่อเรารู้ ก็จะเลือก และรู้โรคที่เกิดจากพันธุกรรมได้ว่า เกิดจากความบกพร่องจากยีนตัวไหนของโครโมโซม" ดร.สุทัศน์ กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ มั่นใจอย่างมากว่า จะมีประโยชน์มาก เพราะนอกจากจะรู้ว่ายีนจะเป็นตัวเกิดโรคหรือไม่แล้ว ยังสามารถตรวจสอบยีน หรือดีเอ็นเอของพ่อแม่ ได้ว่า คนไหนมียีนเด่น ยีนด้อย ที่มี Genotype เป็นพาหะทำให้เกิดโรค เช่น คนที่มี AA หรือ aa ไม่เป็นโรค แต่บังเอิญไปแต่งงานกับคนที่มียีน Aa ถ้าแต่งงานกันไปก็อาจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางพันธุกรรม ซึ่งมาจากความบกพร่องของยีนพ่อ-แม่ก็ได้

"จะเป็นประโยชน์ในการวางแผนครอบครัว" ดร.สุทัศน์ บอก
"แต่เป็นเรื่องเสี่ยงต่อจริยธรรมของแพทย์ เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัว จริงๆ แล้วการศึกษาเพื่อให้ข้อมูลทั้งหมด ในร่างกายมนุษย์ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อย่างเดียว แต่มีโทษด้วย หากนำไปใช้ไม่ถูกทาง"

การนำข้อมูลจากการศึกษาจีโนมมนุษย์แล้ว นำไปใช้ไม่ถูกทางที่นักพันธุกรรมอย่าง ดร.สุทัศน์ ว่าไว้ก็คือ มีความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตอาจจะสามารถเปลี่ยนยีนด้อยที่พบนี้ ได้ด้วยการเปลี่ยนเอายีนดี หรือยีนเด่นที่มีหน้าที่เฉพาะไปใส่ในมนุษย์ โดยใช้ยีนจากมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งในขณะนี้ในต่างประเทศสามารถทำได้แล้ว และก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์

2. มีรายงานอย่างเป็นทางการจาก Human Genome Project ว่าขณะนี้การศึกษาวิจัยดังกล่าว ดำเนินรุดหน้าไปรวดเร็ว เกินกว่าที่ตั้งเป้าไว้ กระทั่งมีการคาดการณ์กันว่า โครงการจีโนมนุษย์จะเสร็จในปี ค.ศ.2003 เร็วกว่ากำหนดถึง 2 ปี เนื่องจากขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม ได้ศึกษายีนบนโครโมโซม ได้มากกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ หรือค้นพบยีนที่เป็นส่วนประกอบของจีโนมมนุษย์มากกว่า 40,000 ชนิด และมีกว่า 60,000 ชนิด ที่ถูกศึกษาอย่างละเอียดแล้ว

สำหรับทางด้านการแพทย์ผลการวิจัยของโครงการดังกล่าวในเบื้องต้น ได้มีการค้นพบสาเหตุของยีนที่บกพร่อง จนทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมหลายโรคด้วยกัน ความผิดพลาดในรหัสดีเอ็นเอ อันเกิดจากการผ่าเหล่า หรือกลายพันธุ์ของมิวเตชั่น ขณะนี้มีถึง 3,000-4,000 โรคด้วยกัน จากจำนวนยีน 100 ยีน ตั้งแต่โรคพันธุกรรมที่สำคัญ อย่าง โรคกล้ามเนื้อพิการดูเชนม์ ไตเป็นถุงน้ำ โรคเลือดจาก ธาลัสซิเมีย และฮีโมฟีเลีย นอกจากนี้ยังพบว่า ยีนที่กลายพันธุ์เป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคความดันเลือดสูง อาการทางจิต โรคสมองเสื่อม ฯลฯ

"เราจะได้มากที่สุดก็คือ เรื่องยา เพราะรู้แล้วก็สามารถนำไปใช้ ในการทำวัคซีนป้องกันโรค คือ การศึกษายีนครบ 80,000 ตัว ไม่ได้หมายความว่า เขาศึกษาไปเพื่อสร้างมนุษย์ตัดต่อยีนขึ้นมา จุดประสงค์คงเพื่อต้องการถอดรหัสดีเอ็นเอ ของยีนที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์มากกว่า แต่ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ มันก็มีเหมือนกับที่กำลังศึกษายีนควบคุมความแก่ หรือยีนที่ทำให้คนฆ่าตัวตาย" นักพันธุกรรมนาม ดร.สุทัศน์ ให้รายละเอียด

การศึกษาเรื่องยีนที่ทำให้ฆ่าตัวตายนั้น เป็นหนึ่งในโครงการของจีโนมมนุษย์ ซึ่งนักพันธุกรรม เคยศึกษาพฤติกรรมของคนในครอบครัวที่ฆ่าตัวตายจะพบว่า มีโอกาสฆ่าตัวเองจากรุ่นต่อรุ่นในปริมาณที่สูงมาก หรือประมาณ 2 ใน 3 จะพบยีนคำสั่งให้ฆ่าตัวเองตายด้วย

ดร.สุทัศน์ ย้ำว่า เราจึงไม่ควรหวาดวิตกให้เกินกว่าเหตุ ส่วนการสร้างมนุษย์ตัดต่อยีนก็เช่นกัน เชื่อว่าทำได้ แต่ว่าขณะนี้สหรัฐออกมาห้ามแล้ว หลังจากเกิดเหตุการณ์ นำยีนชนิดหนึ่งไปใส่ในตับอ่อนของคนป่วย แล้วร่างกายคนไข้ เกิดอาการไม่ยอมรับ จนถึงกับช็อกตาย ก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่
"ผมว่าที่ฝรั่งมันศึกษา เพราะว่าอยากขายเครื่องมือ และก็ยามากกว่า" ดร.สุทัศน์ ให้ความเห็น

แม้นักวิชาการด้านพันธุศาสตร์ ส่วนใหญ่มองเห็นว่า การศึกษาจีโนมมนุษย์จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางความรู้ด้านชีววิทยาในทุกสาขา โดยเฉพาะการประยุกต์ใช้ยีนทั้งมนุษย์ พืช และสัตว์ เพื่อนำมาผลิตยารักษาโรค อันเกิดจากพันธุกรรม ที่ไม่เคยพบว่าจะรักษาให้หายได้ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยอมรับว่า ผลที่ได้จากการศึกษาก็ไม่ต่างอะไรจากดาบสองคม คือ เมื่อมีประโยชน์สูงสุด ก็ย่อมมีโทษตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากผู้ที่นำความรู้ดังกล่าวไปใช้ไม่มีจริยธรรม

นายแพทย์ชนินทร์ ลิ่มวงศ์ ในฐานะนักวิชาการ สาขาสหเวชพันธุศาสตร์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ และหน่วยอณูพันธุศาสตร์ สถานส่งเสริมการวิจัย คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ที่ติดตามโครงการ Human Genome Project มาโดยตลอด ให้ความเห็นว่า

"ข้อมูลทางพันธุศาสตร์ไม่ใช่สิ่งน่ากลัว เนื่องจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการรักษาโรคในมนุษย์ได้มากกว่า โดยเฉพาะการวินิจฉัยโรค การเปลี่ยนแปลงวิธีการรักษาและการป้องกันโรคที่ไม่สามารถรักษาได้
ถ้าเรารู้สาเหตุว่า ยีนตัวไหนที่บกพร่อง เราก็จะหาทางป้องกันโรค หรือไม่ให้เกิดโรค ที่แพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ อาทิ การตรวจหาผู้ที่มียีนผิดปกติ แล้วควบคุมไว้ไม่ให้มีลูก เพราะไม่เช่นนั้นเด็กที่เกิดมาจะมีความเสี่ยงในขั้นที่เกิดโรคสูงมาก ซึ่งเป็นการควบคุมจำนวนประชากรด้อยคุณภาพอีกทางหนึ่งด้วย"

น.พ.ชนินทร์ กล่าวและว่า ถ้าถามว่า สามารถถอดรหัสทางพันธุกรรมได้ทั้งหมด แล้วมนุษย์สามารถตัดต่อยีน โดยนำผู้ที่มียีนด้อยมาใส่ยีนเด่น หรือยีนอื่นๆ เข้าไป ทำได้หรือไม่ ตอบได้ว่า ทำได้ และมีความเป็นไปได้

"แต่ก็มีคำถามตามมาว่า แล้วจะทำไปเพื่ออะไร การนำข้อมูลของมนุษย์แต่ละคนมาใช้จะต้องระวัง ความรู้ทางพันธุศาสตร์ ไม่ต้องการจะลดความหลากหลายทางพันธุกรรม เพราะความผิดปกติของยีนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แม้ว่าจะเกิดขึ้นบ้างหรือไม่เกิดขึ้นบ้าง ตามลักษณะการถ่ายทอดจากพ่อ-แม่ แต่ไม่ได้หมายความว่า การมียีนผิดปกติเป็นข้อด้อย คนที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย อาจจะไม่มีโอกาสเป็นโรคมาลาเรียเลยก็มี ดังนั้น คนที่นำความรู้ตรงนี้ไปประยุกต์ใช้ เขาต้องทราบว่า เพื่ออะไร ตรงนี้ก็ต้องระวัง"

"อย่าลืมว่า การนำความรู้จากโครงการจีโนม ซึ่งเป็นข้อมูลที่ถือว่า เป็นสาธารณะไปใช้ ทำได้ เช่นเดียวกับการเกิดมนุษย์ตัดต่อยีน ซึ่งมีความเป็นไปได้มาก เพราะทำได้ไม่ยากเลย ที่สหรัฐทำแล้ว แต่ร่างกายคนไข้รับไม่ได้ เกิดอาการไตวายจนทำให้เสียชีวิต จนรัฐบาลมีคำสั่งให้หยุดการทดลอง แต่เชื่อว่า เรื่องอย่างนี้ถ้าเปิดให้ทำกันอย่างเสรีเมื่อไรก็...ในปี 2003 รหัสพันธุกรรมของมนุษย์ก็ไม่ต่างอะไรจากหนังสือเล่มหนึ่ง ฉะนั้น อย่าไปกลัวข้อมูลพันธุศาสตร์ ระวังคนที่จะใช้ข้อมูลดีกว่า" นายแพทย์ชนินทร์ กล่าว

3. การค้นพบตำแหน่งและโครงสร้างของยีน ที่เป็นสาเหตุของโรคพันธุกรรม ไม่เพียงทำให้แพทย์ สามารถวินิจฉัยโรคได้ด้วยการตรวจวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ซึ่งจะช่วยบอกได้ว่า ผู้ใดเกิดอาการผิดปกติ ก่อนที่อาการของโรคจะปรากฏ หรือ ตรวจดูโรคตั้งแต่เด็กยังอยู่ในครรภ์ รวมทั้งช่วยให้เข้าใจ กลไกทางชีววิทยาในการเกิดโรคได้อย่างเดียว หากนั่น ยังหมายถึงการรักษาด้วยการเปลี่ยนแปลงกฎทางพันธุกรรม ด้วยการนำยีนของคนอื่นไปใส่ในของมนุษย์อีกชีวิตหนึ่งได้ ทั้งๆ ที่เด็กยังเป็นเพียงแค่ตัวอ่อน

"ความรู้ที่เขาได้ไป ทำได้ทั้งมนุษย์โคลนนิ่ง หรือมนุษย์ตัดต่อยีน โคลนนิ่งมันกลายเป็นสิ่งธรรมดา แต่ตัดต่อยีนมันยากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แต่ถึงจะทำได้ ก็จะได้มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบออกมา สิ่งที่นักพันธุศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์ทำ มันเรื่องของกาย คือ ดีเอ็นเอ การถอดรหัสทางพันธุกรรมไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่ความก้าวหน้า ของมันเคยมีของมันอยู่แล้ว เขาต้องการศึกษาในสิ่งที่ตามองเห็น มันเป็นการศึกษาทางกาย แต่มนุษย์มันมีมากกว่ากาย คือ จิต" นายแพทย์ประสาน ต่างใจ นักวิชาการผู้ค้นคว้าใน สิ่งที่ควบคุมร่างกาย คือ จิต" เรื่องจิตอธิบาย

ความแตกต่างของ "กาย" หรือ รหัสพันธุกรรม ที่นักพันธุศาสตร์กำลังศึกษา และเรื่องจิตที่ทำหน้าที่ควบคุมกาย แม้จะเป็นสิ่งที่สามารถวิวัฒนาการได้ แต่ในความหมายของ นายแพทย์ประสาน ก็คือ นักวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนได้เฉพาะดีเอ็นเอ ที่อยู่ในนิวเคลียสเท่านั้น แต่ดีเอ็นเอที่อยู่ส่วนนอกเรียกว่า Mitocondria ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมพลังงาน มนุษย์ยังถอดรหัสไม่ได้

"การสร้างมนุษย์ตัดต่อยีนก็ดีหรือมนุษย์โคลนนิ่งก็ดี มันเป็นการถูกสร้างและกำหนดขึ้นมา มนุษย์พวกนี้เปลี่ยนไป มีร่างกายเหมือนเราทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง แต่เขาไม่สามารถ ทำอะไรบางอย่างได้อย่างเรา เพราะเขาไม่ใช่ธรรมชาติ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะเป็นตัวกำหนดเราขึ้นมา ให้เป็นอย่างนั้น มีความรู้สึก มีชีวิตจิตใจ แต่มนุษย์ที่ถูกสร้าง และอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ เราไม่มีวันจะรู้ ก็เหมือนกับการตัดต่อยีนในพืช ในอนาคต เราไม่มีทางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา"

ดังนั้น การเกิดของมนุษย์จึงไม่ควรถูกกำหนด หรือถูกทำให้อยู่เหนือกฎใดๆ ทั้งสิ้น เพราะการเปลี่ยนมนุษย์พันธุ์ใหม่คนเดียว แต่สิ่งแวดล้อมไม่เปลี่ยนก็ไม่มีประโยชน์ จะทำให้เสียสมดุลของระบบนิเวศโดยใช่เหตุ หรือ ถ้ามีการตัดต่อยีนในคน โดยใช้จากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส มาใช้กับยีน 80,000 ตัว ถึงยีนใหม่ที่ใส่เข้าไปจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ยีนที่อยู่ห่างออกไปอีกหลายๆอะตอมก็จะถูกกระทบทันที และจะสั่นสะเทือนถึงกันหมดโดยที่เราไม่ทันรู้สึกตัว

"การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ เราไม่มีทางรู้ว่า มันจะไปกระทบอะไรบ้าง และเป็นไปในรูปแบบไหน... เราอาจสร้างมนุษย์ที่ฉลาด อัจฉริยะขึ้นได้ แต่ว่าสืบพันธุ์ไม่เป็น มันก็ไม่มีประโยชน์ นี่คือ สิ่งที่เราไม่รู้ ในแง่ไม่รุนแรง แต่ถ้าในแง่รุนแรงล่ะ ในฐานะแพทย์ที่ศึกษาทางด้านชีววิทยามานาน พบว่า การใส่ยีนคนอื่นเข้าไปในยีนของคนที่เราจะสร้างขึ้นมา มันจะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้น สุขภาพเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น ถ้าสร้างมนุษย์ตัดต่อยีน ก็ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมใหม่ขึ้นมาด้วย"

นายแพทย์ประสาน มองว่า การศึกษาทางพันธุกรรม ของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ที่อ้างกันว่าเพื่อความก้าวหน้า ทางด้านวิชาการนั้น ไม่จริง แต่เป็นเพราะต้องการเอาชนะธรรมชาติมากกว่า เรื่องการศึกษาโครโมโซม ยีน ก็จำเป็นต้องศึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ในแง่ความรู้เท่านั้น แต่ว่าการรู้เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ โดยนำมนุษย์เข้าไปเปลี่ยนสิ่งเดิมที่มีอยู่เป็นสิ่งที่ต้องคิด

"การนำยีนตัวหนึ่ง จากคนหนึ่ง ไปใส่ในคนไข้อีกคนหนึ่ง แม้จะรักษาโรคนี้ได้ แต่ก็จะเกิดโรคอื่นได้เช่นกัน มนุษย์อยู่เหนือเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้น การเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นยีนในร่างกายมนุษย์และสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องดำเนินไปพร้อมๆ กัน มันมีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันมานานแล้ว แต่วิทยาศาสตร์ที่เขากำลังค้นคว้ามันเป็นความรู้ด้านเดียว เงื่อนไขของมนุษย์ และธรรมชาติทุกคน ต้องมีเวลา สถานที่และวัตถุ เป็นตัวกำหนด สิ่งเหล่านี้จะแยกออกจากกันไม่ได้ การศึกษาเพื่อความรู้ และนำกลับมาใช้ประโยชน์ทำได้ แต่การนำความรู้มาเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ มาสร้างมนุษย์ตัดต่อยีน ผมว่า มันอันตราย ไม่ว่าคุณจะอยากมีลูกแค่ไหน หรือว่าจะอะไรก็ตาม" นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีววิทยาระบุ

ถ้าวันหนึ่งคุณแต่งงาน...แล้วเกิดอยากมีลูก แล้วไปตรวจพบว่า สามีและตัวคุณเองมีดีเอ็นเอบกพร่องทั้งคู่ คุณจะตัดสินใจอย่างไร มีลูกต่อไป โดยหวังความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพเข้าช่วย หรือยอมรับการใช้ชีวิตครอบครัวโดยไม่มีสมาชิกใหม่เข้ามาเป็นสายสัมพันธ์ "มนุษย์ตัดต่อยีน" "มนุษย์โคลนนิ่ง" อาจจะกำลังเกิดขึ้นแล้วก็ได้ใครจะรู้ เพราะสิ่งที่ไม่มี ไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีอยู่เลย... คุณจะตัดสินใจอย่างไร?


ขอบคุณหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600