GMO'S ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับความหมายขอคำไว้ก่อน คำจำกัดความมาจากคำเต็มคือ
Gentically Modified Organisms คือ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการปรับแต่งยีนหรือหน่วยพันธุกรรม ด้วยวิธีทางพันธุวิศวกรรม
จนเป็นที่มาของคำที่น่ากลัวว่า "อาการแฟรงเก้นสไตน์" เป็นผลพวงของมะเร็งอันหนึ่งในแง่บวก
ปกติเราเคยแต่พบมะเร็งในแง่ลบ แต่พอ GMO'S กลับเป็นตรงข้ามเพราะมะเร็งทำให้
นักวิทยาศาสตร์การแพทย์เร่งศึกษาความเป็นมาเพื่อเรียนรู้ที่ไปที่มาของเจ้าโรคร้ายนี้อย่างขะมักเขม้น
และวิทยาการด้านมะเร็งวิทยาก็ขยายใหญ่โตพัฒนาไปมากในศตวรรษที่ผ่านมา และก็ศึกษาลึกลงไปเรื่อยๆ
จนถึงระดับที่เรียกว่า Biomolecular Level หรือระดับอณูคือ ยีนก็พบว่ากล่องดวงใจของมะเร็งนั้น
เกิดที่ยีนหรือหน่วยพันธุกรรม เป็นต้น
กำเนิดของความผิดปกติต้องยกย่องเท้าความย้อนหลังไปถึงพระรูปหนึ่งในศาสนาคริสต์ ชื่อหลวงพ่อเมนเดล
ท่านเป็นปรมาจารย์ทางเรื่องพันธุกรรมท่านเล่นถั่วไม่ใช่กำถั่วหรือถั่วดำ ซึ่งพวกเกย์ชอบเล่น
ท่านปลูกถั่วแล้วก็ผสมพันธุ์ถั่วคัดเลือกพันธุ์โน้นมาผสมพันธุ์นี้และก็ตั้งทฤษฎีทางพันธุกรรมขึ้นมา
ค้นพบลักษณะเด่นลักษณด้อยในการถ่ายทอดพันธุกรรมจนตั้งเป็นทฤษฎีของการถ่ายทอดพันธุกรรมว่า
ทฤษฎีเมนเดล
คนต่อมาก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นชายหนุ่มคู่หนึ่งซึ่งฉลาดหลักแลมมาก คือ
ดอกเตอร์วัตสันและดอกเตอร์คลิก เป็นผู้ค้นพบขดเชือกมนิลาของหน่วยพันธุกรรม คือ
พบว่าหน่วยพันธุกรรมของมนุษย์นั้นเป็นลักษณะคล้ายเส้นเชือก 2 เส้นพันกัน (Double Helix)
และทำให้มนุษย์รู้จัก DNA และต่อมาก็รู้จักรูปร่างของยีนและโครโมโซมซึ่งมองเห็นได้สัมผัสได้เป็นรูปร่าง
เหมือนปาท่องโก๋และทำให้วิชาการของพันธุกรรมศาสตร์ก้าวหน้าไปมาก ยีนที่อยู่ในโครโมโซมนั้นเองคือ
พิมพ์เขียวชีวิตเป็นตัวถ่ายทอดควบคุมทุกอย่างในสิ่งมีชีวิตในโครโมโซมหนึ่งจะมียีนอยู่มากมายและพบว่า
ยีนแต่ละตำแหน่งจะเป็นตัวกำหนดควบคุมเนื้อเยื่อหรืออวัยวะแต่ละอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาตำแหน่งต่างๆ ของยีนเรียกว่า ยีนแมพปิ้ง (Gene Mappling) หรือแผนที่ชีวิต
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาตำแหน่งที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้และก็พบมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น
มะเร็งเต้านมก็พบตำแหน่งของยีนที่ควบคุมการเกิดมะเร็งเรียกชื่อว่า BRCA1 และ BRCA2
หรือที่มีชื่อเป็นอักษรแปลกๆ เช่น P53, SAR, NYM ฯลฯ เป็นตำแหน่งของยีนที่เปิดตัวมากขึ้นๆ
ทุกทีว่าเกี่ยวกับการเกิดมะเร็งต่างๆ
จากเทคโนโลยีการศึกษายีนก็เกิดวิทยาการที่จะนำเอายีนเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ได้โดยพบว่า
ยีนตำแหน่งที่ค้นพบว่าเมื่อเกิดความผิดปกติจะก่อให้เกิดมะเร็งนั้น พบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติอันหนึ่ง
คือตัวไวรัสซึ่งเป็นจุลชีพที่เล็กที่สุดต้องขยายเป็นล้านๆ เท่าจึงจะพอมองเห็นรางๆ ได้ ว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กสุดสุดนี้เอง
ที่แทรกเข้าไปในเซลล์แล้วเอาดีเอ็นเอ (DNA) หรือสารพันธุกรรมของมันเข้าไปป่วนยีนตำแหน่งนั้นๆ
ก็จะเกิดความผิดปกติขึ้นกลายเป็นมะเร็งได้
ด้วยความตื่นเต้นในวิชาการพันธุศาสตร์มากขึ้นๆ ก็ก่อให้เกิดเทคโนโลยีทางพันธุวิศวกรรมคือ
เทคโนโลยีในการที่จะตัดต่อยีนเกิดขึ้น เช่น การตัดเอายีนมนุษย์ที่สร้างโปรตีนชนิดที่สร้างภูมิคุ้มกัน
ไปใส่ในตัวยีนหรือจุลชีพพวกส่าเหล้าทำให้มันจะสร้างโปรตีนออกมาผลิตเป็นวัคซีนได้เช่น วัคซีนตับอักเสบ
ซึ่งเป็นยุคแรกๆ ที่นำประโยชน์จากวิชาการพันธุวิศวกรรมมาใช้ที่ก้าวหน้ามากขึ้น คือ
ในวงวิชาการเกษตรได้นำเอาเทคโนโลยีของพันธุวิศวกรรมมาใช้ในการพัฒนาพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์
เพราะการทำการทดลองกับพืชและสัตว์ทำได้ง่ายและไม่มีอุปสรรคมากเท่ากับในมนุษย์
ทำให้การตัดต่อปรุงแต่งพันธุกรรมในพืชและสัตว์ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
ประเทศที่เป็นผู้นำทางด้านนี้ก็คงหนีไม่พ้นอเมริกา และเริ่มแผลงฤทธิ์ก่อผลกระทบต่อประเทศต่างๆ
เพราะอเมริกาได้ทำการแปลงพันธุ์พืชหลายชนิดแล้วจดลิขสิทธิ์เป็นสมบัติของตัวเองทั้งๆ
ที่ไม่มีพืชพันธุ์นั้นในประเทศเลยไทยเราเองก็ได้ผลกระทบโดยเมื่อไม่กี่ปีมานี้ข้าวหอมมะลิของไทย
ก็เกือบถูกฮุบเอาไปเป็นของอเมริกาจนต้องมีการประท้วง นี่คือสังคมโลกที่อย่างไรเสีย
ปลาใหญ่ก็ยังกินปลาเล็กอยู่ร่ำไปเป็นเหตุให้ประเทศทางยุโรปมองเห็นภัยอันนี้เพราะฝรั่งด้วยกันรู้กำพืดกัน
ก็เลยรวมกันเป็นอียูเพื่อจะได้ต้านอเมริกาได้พอฟันพอเหวี่ยงจะเห็นได้ว่าอเมริกากับอียู
จะมีเรื่องระหองระแหงกันมาตลอดโดยเฉพาะในเรื่องสงครามการค้าเดี๋ยวนี้อเมริกาห้ามสินค้าอียูเข้าประเทศ
อียูก็ห้ามสินค้าอเมริกาเข้าประเทศและดูจะรุนแรงขึ้นพวกหญ้าแพรกอย่างไทยก็โดนหางเลขไปด้วย
ยิ่งในยุค GMO'S หรือยุคสินค้าตัดต่อพันธุกรรมเพราะอเมริกาได้พัฒนาพืชและสัตว์ตัดต่อยีน
เพื่อให้พืชและสัตว์เหล่านั้นมีลักษณะสมบูรณ์แบบกว่าที่ธรรมชาติให้มา ถ้าเป็นพืชก็จะเป็นพืชที่ทนโรค
ทนต่อสภาพภูมิอากาศ ให้ผลผลิตมาก เก็บได้นานทำให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายสารเคมียาฆ่าแมลง
ทำให้ต้นทุนสินค้าถูกส่งออกแข่งขันได้ง่ายถ้าเป็นสัตว์ก็จะเป็นการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้สัตว์นั้น
ออกมาทนต่อโรคติดต่อ มีเนื้อเยื่อหรือน้ำนมมากๆ เท่านั้นยังไม่พอยังเอามาใช้เพื่อการแพทย์อีก
เช่นการย้ายหน่วยพันธุกรรมมนุษย์ไปให้หมูเพื่อเพาะเลี้ยงหมูเอาอวัยวะไว้เปลี่ยนถ่ายให้มนุษย์ได้
คาดว่าใน 2-3 ปี ข้างหน้าสินค้าเกษตรที่สหรัฐส่งออกส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจะเป็นผลผลิตจากวิธีการ GMO'S
และสหรัฐก็พยายามจะจดลิขสิทธิ์ GMO'Sไว้แทบทั้งหมดและถ้าเป็นเช่นนั้นต่อไปถ้าใครจะปลูก
หรือจะเลี้ยงสัตว์เหล่านั้นก็จะต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ก็จะไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นเสือนอนกินค่าลิขสิทธิ์ประเทศเล็กๆ
ก็ย่ำแย่ อียูก็เลยอยู่ไม่ได้ต้องออกมาต้านโดยชี้ให้เห็นถึงแง่ลบของ GMO'S นั่นเป็นที่มาของ "อาการแฟรงเก้นสไตน์"
เพราะจากผลการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าเมื่อให้สัตว์ทดลองกับอาการที่ผ่าน
การตัดต่อพันธุกรรมแล้วสัตว์ทดลองมีภูมิต้านทานลดลงและในบางการทดลองก็ปรากฏว่า
สัตว์ทดลองได้เกิดเนื้องอกของบางอวัยวะขึ้นมาไม่เท่านั้นในพืชที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมปรากฏว่า
เมื่อปลูกในแปลงแล้วพวกสัตว์หรือแมลงที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติของพืชเหล่านั้นถูกทำลายตายไป
ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ประเทศทางอียูวิตกถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ผู้บริโภควัตถุต่อพันธุกรรมเหล่านี้
จึงห้ามไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของ GMO'S เข้ามาขายในประเทศสหภาพยุโรป อเมริกาก็เต้น
เพราะสหภาพยุโรปเป็นตลาดใหญ่พอยุโรปห้ามอเมริกาก็ส่งผลถึงประเทศเล็กอย่างไทยเรา
ก็ต้องมีการพิสูจน์การยืนยันว่าผลิตภัณฑ์จากประเทศไทยไม่ใส่สาร GMO'S จึงเป็นที่มา
ของการเกิดการสอบสวนในเรื่องฝ้ายบีที (B.T.) หรือฝ่าย Biotechnology คือฝ่ายที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรม
เพราะสหภาพยุโรป เป็นตลาดใหญ่ของฝ่ายไทย
สิ่งหนึ่งซึ่งน่ากังวลในขบวนการ GMO'S คือในขบวนการตัดต่อเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมนั้น
อาจจะต้องใช้ไวรัสเป็นพาหะช่วยในการตัดต่อเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมและถ้าในขบวนการนั้น
เกิดเจ้าไวรัสนั้นเล็ดลอดออกมาอาจจะจากอุบัติเหตุหรือความประมาทก็ตม ในปริมาณซึ่งเป็นไปได้
เพราะแม้แต่ในขบวนการโรงไฟฟ้าปฏิมากรณ์ปรมาณูซึ่งยอมรับกันว่าเข้มงวดและรัดกุมยังเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
ดังนั้นในห้องปฏิบัติการตัดต่อพันธุกรรมโอกาสเกิดอุบัติเหตุจึงเป็นไปได้สูง ไวรัสที่เล็ดลอดออกมา
อาจจะก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมไม่น้อยกว่าโรงไฟฟ้าปรมาณูได้และอาจจะรุนแรงกว่า
เพราะแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ง่ายและเกิดผลร้ายได้รวดเร็วจนลุกลามใหญ่โต
จนอาจจะเกินการควบคุม มนุษย์อาจจะสูญพันธ์ไปก็ได้
และในขบวนการ GMO'S นั้นถ้าแพร่หลายมากต่อไปพืชหรือปศุสัตว์ที่ตัดต่อพันธุกรรมก็จะปลูก
หรือเลี้ยงกันจนพืชพันธุ์ธรรมชาติไม่สามารถจะปลูกหรือเลี้ยงได้ พืชสัตว์ธรรมชาติก็จะสูญพันธ์ไป
ความหลากหลายทางธรรมชาติก็จะลดลง ในอนาคตโลกเราก็จะมีแต่มะเขือเทศ ข้าว ข้าวโพด มัน ปาล์ม อ้อย
ถั่วเหลือง คะน้า ผักกาดขาว พริก ฯ และสัตว์ก็อาจจะต้องมีแต่เพียง วัว หมู ไก่ ปลา หอย ฯ แล้วโลกเราจะน่าอยู่ได้อย่างไร
และพืชหรือสัตว์ที่ไม่มีความหลากหลายนั้นก็เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แม้จะเกิดจาก
GMO'S เพราะศัตรูของพืชและสัตว์ซึ่งเป็นพวกจุลชีพพวกเชื้อโรคนั้นสามารถพัฒนาปรับปรุงตัวเอง
ได้ตามธรรมชาติ เมื่อไรที่เชื้อโรคเหล่านั้นพัฒนาจนสามารถก่ออันตรายต่อพืชหรือสัตว์นั้นได้
ก็จะทำให้เกิดการระบาดอย่างรวดเร็วรุนแรงจนควบคุมไม่ได้
เมื่อวานนี้เองก็มีข่าวในหนังสือพิมพ์จากประเทศอังกฤษซึ่งได้พยายามจะออกกฎหมาย
ห้ามผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากหมูห้ามมีลูกหลังจากปลูกถ่ายอวัยวะนั้นแล้วเพราะเกรงว่าเชื้อไวรัสในหมู
จะมาติดต่อแพร่หลายในมนุษย์ซึ่งโดยปกติเชื้อไวรัสหมูจะไม่ทำร้ายมนุษย์แต่เมื่อหมูเหล่านั้น
เกิดมีส่วนพันธุกรรมของมนุษย์อยู่ทำให้ขบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์ไม่สามารถแยกมิตรแยกศัตรูได้
จะทำให้ไวรัสนั้นไม่ถูกทำลายเมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และถ้าปล่อยให้มีลูกมีหลานได้
อาจจะก่อให้เกิดการแพร่กระจายไปสู่คนอื่นๆ ได้ พวกมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะกลุ่มนี้
ยังถูกแนะนำไม่ให้ๆ เลือดแก่ผู้อื่นเพราะเป็นหนทางในการถ่ายทอดเชื้อไวรัสได้มาก
ในประเทศไทยได้มีการพูดถึงผลของ GMO'S บ้างแม้ว่าจะยังไม่ได้มีการนำมาใช้ ได้มีการสัมมนา
และมีความเห็นว่าในปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีความจำเป็นต้องนำ GMO'S มาใช้เพราะผลผลิตของไทยเรา
ยังพอเพียงต่อการบริโภคและการส่งออกประเทศที่ส่งเสริมและรับเอา GMO'S มาใช้มากก็คือ
ประเทศจีนเพราะอาการที่ปลูกไม่พอเพียงจะเลี้ยงประชากรของประเทศ ปากท้องเป็นเรื่องสำคัญอย่างอื่นๆ
ค่อยว่ากันทีหลัง ประเทศจีนจึงส่งเสริมและมีความก้าวหน้าทางด้าน B.T. หรือ Biotechnology มาก
ดังนั้นประเทศจีนซึ่งมีหลักนิยมว่าแมวจะขาวหรือดำก็ไม่เป็นไรขอให้จับหนูได้เป็นใช้ได้
เพราะฉะนั้นอาการจะเป็นอาการแฟรงเก้นสไตน์ หรืออาการนักบุญก็ตามถ้ากินแล้วอิ่มเป็นใช้ได้
ปัจจุบันก็ยังไม่มีข้อสรุปที่ว่า อาหารที่ทำหรือประกอบมาจากพืชหรือสัตว์ GMO'S จะเป็นอาหารที่ไม่มีคุณค่า
หรือบ้างก็ว่าเป็นอาหารที่น่ากลัวเหมือนผีดิบแฟรงเก้นสไตน์ คือ อาหารผีดิบซึ่งอเมริกันชนก็บริโภคกันมากขึ้นทุกวัน
ก็ยังเห็นอเมริกันชนเหมือนกันอาจจะเกเรมากขึ้น
วางอำนาจเป็นตำรวจโลกมากขึ้น ศีลธรรมผู้นำลดลงบ้างแต่ก็ไม่น่าจะเกิดจากอาการแฟรงเก้นสไตน์
น่าจะเกิดจากพื้นฐานสังคมมากกว่า
ในอนาคตถ้าประชากรของโลกเพิ่มมากขึ้นๆ จนพื้นที่ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ลดลง GMO'S
ก็คงเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกับสภาวะของการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากปรมาณูซึ่งในอนาคต
น้ำมันต้องหมดจากโลกเป็นที่แน่นอนเมื่อถึงเวลานั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้ปรมาณูผลิตไฟฟ้า
ซึ่งอาจจะอีกหลายร้อยปีดังนั้นจึงไม่ต้องเร่งร้อนที่จะสร้างโรงไฟฟ้าปรมาณูในขณะนี้
ควรจะพัฒนาเทคโนโลยีให้ถึงขั้นปลอดภัยเกือบร้อยเปอร์เซนต์ค่อยก่อสร้างก็ไม่สาย เช่นกันกับ GMO'S
ซึ่งไทยเรายังไม่พร้อมในเวลานี้ไม่ใช่เพราะตามก้นฝรั่งดอกหรือคนไทยทุกวันนี้เลยเป็นโรคชักกันทั้งประเทศ
ชักหน้าไม่ถึงหลัง ควรจะปฏิบัติตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะนำเศรษฐกิจพอเพียง
ยุคนี้ตัวหนังสือฝรั่งแผลงฤทธิ์โดยเฉพาะในรัฐบาลนี้เริ่มจาก IMF ก็มา NPL
แล้วมา GMO'S ต่อมาก็ CD (เถื่อน)
และก็มาถึง The End.
น.พ.วีระ สุรเศรณีวงศ์
|