ประเด็นจีเอ็มโอ กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้น
ในประเทศไทยไปจนได้ มีข่าวออกทางสื่อมวลชน
ทั้งหนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ แทบทุกวัน
อีกสื่อหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ อินเทอร์เน็ตที่กำลังเป็นสื่อใหม่มาแรง
ลองเปิดเข้าไปดูเถิดครับ มากมายหลายเว็บไซต์
วิเคราะห์เจาะลึกเรื่องจีเอ็มโอกันเปรอะไปหมด
เคยบอกไว้แล้วว่า จีเอ็มโอหมายถึง
สิ่งมีชีวิตแปลงพันธุกรรม ใครจะเรียกว่าอาหารตกแต่งยีนก็ได้ นักวิชาการบางคนตั้งชื่อไว้เก๋ไก๋ว่า อาหารจำลองพันธุ์
ฟังครั้งแรกแล้วก็งง เพราะไม่รู้ว่าจำลองพันธุ์หมายถึงอะไร
ตอนนี้เรียกว่า จีเอ็มโอ ดูเหมือนทุกคนจะเข้าใจ
มีความสับสนในประเด็นของจีเอ็มโอหลายประเด็น โดย
ประเด็นแรก เป็นประเด็นเรื่องทางการค้า เพราะมีผู้รับผิดชอบทางด้านการส่งออกของประเทศบางท่าน
ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ปัญหาของจีเอ็มโอ
เป็นเรื่องของการกีดกันทางการค้า ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
เป็นการหลงประเด็น
ประเด็นที่สอง คือ
ประเด็นคำถามที่ว่า จีเอ็มโอมีความปลอดภัยต่อสุขภาพ
และการบริโภคหรือเปล่า
ประเด็นที่สาม คือ
ประเด็นเรื่องการติดฉลาก เพราะวิจารณ์กันไม่น้อย
ว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของจีเอ็มโอ
ควรมีการติดฉลากแจ้งผู้บริโภคหรือไม่
ประเด็นที่สี่ อันเป็นประเด็นสุดท้ายคือ
มีอาหารอะไรบ้างที่วางจำหน่ายในบ้านเรา
และน่าเชื่อว่าจะเป็นอาหารจีเอ็มโอ
ผู้เขียนจะขออนุญาตวิพากษ์ไปทีละประเด็นนะครับ
ประเด็นแรก
คือ เรื่องทางการค้าที่ว่า
ปัญหาของจีเอ็มโอเป็นเรื่องการกีดกันทางการค้า
เห็นทีจะตอบได้เลยว่า ไม่ใช่อย่างแน่นอน
เพราะหากเป็นการกีดกันทางการค้า
ระหว่างกลุ่มประเทศอียูหรือสหภาพยุโรปกับสหรัฐอเมริกาแล้วละก็ ผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอทั้งหลายเข้าไปกระจายอยู่ในยุโรปไม่ได้หรอกครับ เพราะทางอียูเขาจะต้องออกคำสั่งห้ามอย่างแน่นอน
ในวันนี้มีทั้งถั่วเหลือง ข้าวโพด ฝ้าย ฯลฯ ที่เป็นจีเอ็มโอ เข้าไปวางจำหน่ายอยู่ในยุโรปกลาดเกลื่อนไปหมด
เมื่อปีก่อน ครั้งที่มีการวิจารณ์กันมากทางรัฐสภาอียู
ยังลงมติให้นำข้าวโพดจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นจีเอ็มโอ
เข้าตลาดยุโรปได้ ไม่ห้ามเลยด้วยซ้ำ
การต่อต้านจีเอ็มโอในยุโรป จึงไม่ได้มาจากภาครัฐบาลครับ
แต่มาจากภาคประชาชนหรือภาคผู้บริโภค
ในอังกฤษเมื่อรัฐบาลอนุมัติให้มีการปลูกถั่วเหลืองจีเอ็มโอ
ในประเทศได้ ปรากฏว่า ผู้บริโภคต่อต้านถึงขนาดขนถั่วเหลือง
ไปเททิ้งที่หน้าบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ซึ่งเป็นที่ทำการของรัฐบาล
ในที่สุดรัฐบาลเขาก็ทนเสียงเรียกร้องจากประชาชนไม่ไหว
ต้องออกมาโอนอ่อนผ่อนตาม
การต่อต้านอาหารจีเอ็มโอในยุโรป
จึงมาจากภาคผู้บริโภค ซึ่งมีหัวกระบวนใหญ่คือ เอ็นจีโอ
หรือองค์กรพัฒนาเอกชนทั้งหลายไม่ได้มาจากภาครัฐบาลครับ
ดังนั้นที่ว่าการกีดกันการค้าจีเอ็มโอนั้น เป็นประเด็นการแข่งขันด้านการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับยุโรป
จึงเป็นเรื่องที่หลงประเด็น
เราคงต้องไม่ลืมนะครับว่า
เมื่อครั้งที่เกิดโรควัวบ้าระบาดในเนื้อสัตว์จากอังกฤษนั้น นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยและจากภาครัฐ
ของประเทศยุโรปเองนั่นแหละ ที่ออกมาพูดเจื้อยแจ้ว
ในช่วงแรกๆ ว่า เชื้อโรคจากแกะไม่ระบาดไปที่วัว
และจากวัวไม่ระบาดไปที่คน แต่ผลที่เห็นๆ คือ
ผู้บริโภคเนื้อวัวและผู้เลี้ยงวัวบางคนเกิดปัญหาคล้ายติดโรควัวบ้า ผู้บริโภคเขาจึงไม่อยากจะเชื่อนักวิชาการสักเท่าไหร่
คราวนี้นักวิชาการบางส่วนยังออกมาแจ้วเหมือนเดิม
อีกแล้วว่า อาหารจีเอ็มโอปลอดภัย
การต่อต้านอาหารจีเอ็มโอในยุโรปจึงเกิดขึ้นจากภาคเอกชน
และภาคผู้บริโภคครับ และเมื่อผู้บริโภคต่อต้าน
ไฉนเลยที่ผู้นำเข้าสินค้าและผู้ประกอบการ
จะทานเสียงผู้บริโภคได้ ดังนั้น เพื่อให้ตนเองอยู่รอด ผู้ผลิตและผู้นำเข้าจึงเรียกร้องให้ผู้ส่งสินค้าเข้ายุโรป
ระบุไปด้วยว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งเข้ามานั้น เป็นจีเอ็มโอหรือไม่ เรื่องนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับภาครัฐแม้แต่น้อย
ประเด็นที่สอง คือ
เรื่องความปลอดภัยของจีเอ็มโอ
ถึงวันนี้ถกเถียงกันไม่จบครับว่า
จีเอ็มโอปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย
ถึงขนาดที่มีตัวแทนจากบริษัทผลิตจีเอ็มโอยักษ์ใหญ่
ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นคนไทย ออกมาพูดผ่านสื่อมวลชนว่า
คนไทยกินถั่วเหลือง กินน้ำเต้าหู้ ที่เป็นจีเอ็มโออยู่ทุกวัน
หากตื่นเช้าขึ้นมายังลืมตาได้ สมองยังคิดออก
แสดงว่าจีเอ็มโอปลอดภัย พูดอย่างนั้นเห็นทีจะหลงประเด็น
ไปอีกคนแล้วละครับ
คนที่สูบบุหรี่อยู่ทุกวัน ตื่นนอนแล้วตาก็ยังลืมได้
สมองเองก็ยังคิดออก ไม่มีใครสูบบุหรี่วันนี้แล้วเป็นมะเร็ง
ในวันถัดไปสักคน แต่ทุกคนยอมรับว่าบุหรี่เป็นปัญหาต่อสุขภาพ
ดังนั้น การไปสรุปเล่นๆ อย่างเรื่องตื่นนอนลืมตาได้
สมองคิดออก แสดงว่าอาหารจีเอ็มโอปลอดภัย
อย่างนั้นจึงเป็นการสรุปไม่ตรงประเด็น
เมื่อปี พ.ศ.2537 เมื่อครั้งมีการผลิตอาหารจีเอ็มโอตัวแรก
ออกสู่ตลาดนั้น ข้อมูลเรื่องความปลอดภัยยังมีอยู่น้อย
ทางคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ เขาจึงสรุปออกมาว่า อาหารจีเอ็มโอปลอดภัยต่อการบริโภค โดยถือหลัก
substantial equivalent
แต่วันนี้ในปี 2542 มีข้อมูลทางวิชาการมากขึ้น ข้อมูลที่น่าสงสัยว่า จีเอ็มโออาจจะสร้างปัญหาต่อสุขภาพเริ่มจะมีมากขึ้น
วันนี้ทาง อ.ย.ของสหรัฐ จึงเริ่มคิดใหม่แล้วละครับ
โดยเริ่มจะเห็นด้วยว่า น่าจะติดฉลากแจ้งให้ผู้บริโภครับรู้ว่า
ผลิตภัณฑ์อาหารนั้นๆ มีจีเอ็มโอหรือเปล่า เราต้องยอมรับสักหน่อยครับว่า การต่อต้านจีเอ็มโอได้เข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคอเมริกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องไม่ลืมคือ นิยามของคำว่า สุขภาพ นั้น
องค์กรอนามัยโลกเขาให้หมายถึงร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม
สามองค์นะครับ ไม่ใช่แค่ร่างกายอย่างเดียว ในเมื่อจีเอ็มโอกลายเป็นประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และยังสร้างความไม่มั่นใจต่อจิตใจของผู้บริโภค จีเอ็มโอจึงสร้างปัญหาขึ้นถึงสองในสามองค์ของสุขภาพ จึงแทบไม่ต้องถามแล้วละครับว่ามันสร้างปัญหาต่อสุขภาพหรือเปล่า
ในประเด็นที่ว่า จีเอ็มโอสร้างปัญหาต่อร่างกายหรือไม่นั้น วันนี้มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทางด้านลบของจีเอ็มโอ
แพลมออกมาแล้วละครับ ใครที่กล้าออกมายืนยันว่า
จีเอ็มโอของบริษัทอเมริกันปลอดภัยต่อสุขภาพ
เตรียมปี๊บคลุมหัวไว้ก็แล้วกัน
ประเด็นที่สาม
คือ ประเด็นทางด้านการติดฉลาก
เรื่องนี้เห็นทีจะต้องคุยกันยาวทีเดียว
เพราะการติดฉลากนั้นหลายประเทศทั่วโลก
กำลังคุยกันเคร่งเครียดว่าควรจะติดฉลากหรือไม่ควรจะติด ประเทศไทยก็กำลังคุยกันเครียดเหมือนกัน
การติดฉลากบนผลิตภัณฑ์ ว่าในอาหารชนิดนั้นๆ
มีวัตถุดิบที่เป็นจีเอ็มโอปนอยู่หรือเปล่า
ดูเหมือนจะเป็นผลประโยชน์ของผู้บริโภคโดยตรง
เพราะผู้บริโภคจะได้รับรู้ว่า ตนเองควรจะซื้อหรือไม่ควรจะซื้อ
ผลิตภัณฑ์นั้นๆ เรียกว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคเลยก็ได้
ที่ว่าเป็นสิทธิในการรับรู้คำพรรณนาที่ถูกต้องเกี่ยวกับ
ผลิตภัณฑ์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
ผู้บริโภคที่ไม่มั่นใจในจีเอ็มโอเกรงว่ามันจะก่ออันตราย
จะได้มีโอกาสหลีกเลี่ยง ส่วนผู้บริโภคคนไหนเห็นว่า
จีเอ็มโอมีประโยชน์ จะได้เลือกเฉพาะจีเอ็มโอ
ใครที่ไม่กังวลเลยก็มีสิทธิที่จะไม่สนใจฉลาก
ไม่ว่าจะเป็นจีเอ็มโอหรือไม่ ตนเองก็ไม่สนใจ
เพราะซื้อชนิดไหนก็ได้
การติดฉลากจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคเต็มๆ
ญี่ปุ่นมีข่าวออกมาแล้วว่าหลังเดือนมีนาคม 2544
ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจีเอ็มโอจะต้องติดฉลาก
ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ยุโรป หลายประเทศ
กำลังคุยกันในเรื่องนี้เครียด และคาดว่ามาตรการ
ในการติดฉลากจะต้องตามออกมาในที่สุด
ส่วนประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจ
ที่ว่าจะติดหรือไม่ติด
ในเรื่องการติดฉลาก ผู้เขียนเห็นว่า
ควรติดฉลากให้ผู้บริโภคได้มีสิทธิเลือกและไม่คิดว่า
การติดฉลากจะกลายเป็นเสมือนการติดเครื่องหมายหัวกะโหลกไขว้ ดั่งที่บริษัทผลิตจีเอ็มโอเขาเกรงกัน หากผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอดีจริง ทางบริษัทเหล่านั้นไม่น่าจะต้องกลัว เพราะบริษัทเหล่านั้น
ออกมายืนยันเสมอว่า จีเอ็มโอไม่เป็นอันตราย จึงไม่มีอะไรจะต้องน่าห่วงในประเด็นของการติดฉลาก
การติดฉลากทำได้หลายวิธี เป็นแบบสมัครใจก็ได้
เป็นแบบบังคับก็ได้ จะติดฉลากว่าเป็นผลิตภัณฑ์มี
"จีเอ็มโอ" ก็ได้ หรือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ "ปลอดจีเอ็มโอ" ก็ได้ ทางบริษัทผู้ผลิตอยากจะให้เป็นการติดฉลากแบบสมัครใจ
ผู้เขียนเห็นว่า หากจะต้องมีมาตรการในการติดฉลาก
ก็น่าจะบังคับติดฉลากกันไปเลย เพราะถ้าติดบ้าง ไม่ติดบ้าง เกรงว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์ไม่สมบูรณ์
หากผู้ประกอบการรวมหัวกันไม่ติดฉลากเลย
หรือติดฉลากกันกระหรอมกระแหรม ติดฉลากหรือไม่ติดฉลาก
ก็เห็นจะไม่ต่างกัน เพราะผู้บริโภคก็ยังไม่มีสิทธิเลือก
วิธีการนำไปสู่การติดฉลาก ดูจะเป็นประเด็นที่ยังตกลงกันไม่ได้ หลายคนมีความเห็นว่าจะต้องตรวจในทางห้องปฏิบัติการ
วิทยาศาสตร์ตรวจสอบดูว่า ผลิตภัณฑ์อะไรของใครมีจีเอ็มโออยู่บ้าง เรื่องนี้จะสร้างความโกลาหลกันพอสมควร เพราะหากเป็นกรณี
ที่บังคับติดฉลาก เห็นทีจะมีผลิตภัณฑ์เป็นหมื่นชนิด
ที่จะต้องขอเข้าไปตรวจสอบ รอคิวกันนานเป็นปีกว่าจะได้ผล
ความเสียหายจะเป็นไปเท่าไหร่ คงยากที่จะประเมิน
ห้องปฏิบัติมีเพียงพอไหม ตรวจสอบได้ครอบคลุมหรือเปล่า
เทคนิคการตรวจสอบแม่นยำหรือไม่ อภิปรายกันไม่จบ
ที่สำคัญก็คือ ประเทศจะต้องลงทุนซื้อเครื่องมือกัน
มากมายมหาศาลเป็นเงินตราต่างประเทศทั้งนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า การตรวจสอบผลิตภัณฑ์อย่างนั้น อาจจะไม่คุ้มค่า
และเห็นว่าน่าจะหาทางออกกันใหม่ โดยยึดอยู่ที่เป้าหมาย
ที่ว่าจะต้องติดฉลาก การรับรองกระบวนการผลิต
โดยตรวจสอบที่การใช้วัตถุดิบ น่าจะทำได้ง่ายกว่า
การตรวจสอบที่ผลิตภัณฑ์สุดท้าย
เรารู้กันอยู่แล้วว่า วัตถุดิบใดบ้างที่เป็นจีเอ็มโอ
อย่างเช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมล็ดฝ้าย
กับวัตถุดิบอื่นๆ รวมแล้วประมาณ 40 ชนิด เรามีบัญชีอยู่แล้ว และรู้ว่าแหล่งผลิตใดบ้างที่จำหน่ายผลิตผลจีเอ็มโอเหล่านั้น ผลิตภัณฑ์ใดไม่ใช้วัตถุดิบในบัญชีรายชื่อเลย
ก็สามารถติดฉลากได้เลยว่า "ปลอดจีเอ็มโอ"
ผลิตภัณฑ์ใดใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในบัญชีรายชื่อ ว่าอาจเป็นจีเอ็มโอ
ก็ต้องแจ้งแหล่งวัตถุดิบ หากเป็นแหล่งที่มีปัญหา ก็ต้องให้ทางผู้จัดส่งวัตถุดิบทำหนังสือยืนยันว่าวัตถุเป็นจีเอ็มโอหรือไม่ใช่ หากเป็นวัตถุดิบปนเปื้อนกันมา มีทั้งจีเอ็มโอและไม่เป็นจีเอ็มโอ
เห็นทีจะต้องสรุปว่าเป็นจีเอ็มโอ เพราะแยกกันไม่ออก
หากไม่ต้องการให้เป็นจีเอ็มโอ ผู้ประกอบการก็ต้องแยกซื้อวัตถุดิบ
การตรวจสอบแหล่งวัตถุดิบหรือการตรวจสอบ
กระบวนการผลิตอย่างนี้ ก็เหมือนการรับรอง ISO หรือ GMP
ที่เขาทำกันทั่วไป ซึ่งทำได้ง่ายกว่า เป็นการแสดงเอกสาร ผู้ประกอบการจะต้องใส่ใจในการคัดเลือกวัตถุดิบ การตรวจสอบทางห้องปฏิบัติการก็ไม่จำเป็นมากนัก
เพราะไม่ได้ไปตรวจสอบกันที่ระดับผลิตภัณฑ์
เมื่อห้องปฏิบัติการไม่จำเป็น การลงทุนทางห้องปฏิบัติการ
ซึ่งต้องใช้เงินมหาศาล ก็ประหยัดไปได้มากโข เมื่อประหยัดเงินได้ รัฐบาลก็อาจจะจัดสรรงบประมาณบางส่วนไปให้ทางศูนย์วิจัยของ
BIOTEC หรือมหาวิทยาลัย หรือหน่วยงานอื่น
คิดค้นพัฒนางานด้านการวิเคราะห์ใหม่ๆ ได้
ปัญหาที่ว่า การแสดงข้อมูลวัตถุดิบอาจจะเป็นเท็จ เห็นทีจะต้องเพิ่มบทลงโทษในประเด็นการหลอกลวงผู้บริโภคด้านฉลาก และต้องเพิ่มมาตรการทางด้านการตรวจสอบระดับ Post Marketing
ให้มากขึ้น อาจจะให้งบประมาณแก่เอ็นจีโอ หรือหน่วยงานอิสระ
ช่วยตรวจสอบ ไม่ต้องห่วงในเรื่องนี้กันมากนัก
เพราะเอ็นจีโอเขาทำงานด้านนี้เข้มแข็งกันอยู่แล้ว เพียงแต่หน่วยราชการอย่ามองเขาเป็นศัตรูให้มากนักก็แล้วกัน
ทำได้อย่างนี้เราก็ได้ทั้งการติดฉลาก ทั้งลดงบประมาณ
ซื้อเครื่องมือต่างประเทศราคาแพง ทั้งยังแบ่งเงินสนับสนุนงานวิจัย
และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค ฯลฯ
ประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องผลิตภัณฑ์อะไรบ้างในบ้านเราที่เป็นจีเอ็มโอ
เรื่องนี้บอกได้ว่าประเทศไทยมีถั่วเหลืองนำเข้ามากกว่าล้านตัน
เป็นจีเอ็มโอมากกว่า 4 แสนตัน ผลิตภัณฑ์ใดทำจากถั่วเหลือง เห็นทีต้องติดฉลากกันเข้มข้นแล้วละครับ นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องข้าวโพด โดยเฉพาะอย่างยิ่งป๊อปคอร์น ส่วนข้าวสาลีหรือแป้งสาลีนั้น ยังหาข้อมูลไม่ได้ว่ามีปนจีเอ็มโอหรือไม่ และปนสักเท่าไหร่
เริ่มด้วยการตรวจสอบวัตถุดิบ 3 ชนิดนี่ก่อนแหละครับ ดีที่สุด
|