เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม :
การค้าในทศวรรษหน้า
ในทศวรรษหน้านี้จะเป็นยุคของชีวเศรษฐกิจ ทุกธุรกิจในสาขานี้จะหันมาใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการพัฒนาเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านพันธุวิศวกรรมทางการเกษตร ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เทคโนโลยีการผลิตพันธุ์พืชที่ได้รับการตัดต่อสายพันธุกรรม
(genetically modified organisms : GMOs) ออกจำหน่ายสู่ผู้บริโภค
ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
กรณีที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ที่มีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาภาคเกษตร/อาหาร ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาขีดความสามารถ
และทำความเข้าใจเรื่องดังกล่าว ทั้งในแง่ของผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น
ในด้านบวกและด้านลบ ทั้งในภาคเกษตร อุตสาหกรรม
การพาณิชย์ รวมถึงเกษตรกรและผู้บริโภค
การจัดการความปลอดภัยทางชีวภาพ
เทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology) นั้น
ปัจจุบันเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และมีบทบาทสำคัญมากขึ้น
ในการพัฒนาการเกษตร อุตสาหกรรม และรักษาสมดุลสิ่งแวดล้อมของโลก
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีทุกอย่างเมื่อมีประโยชน์ ก็อาจเป็นโทษได้ หากการพัฒนาและการใช้ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่ควร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีชีวภาพในสาขาพันธุวิศวกรรม
(genetic engineering) ซึ่งเป็นกระบวนการปรับปรุงพันธุ์
สิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์ (species) หนึ่ง โดยนำยีนจากอีกชนิดพันธุ์หนึ่ง
ถ่ายฝากเข้าไป เพื่อจุดประสงค์ที่จะให้พันธุ์ดังกล่าวมีสมรรถนะสูงขึ้น
กระบวนการดังกล่าวมิได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีชื่อเรียกว่ GMOs (genetically modified organisms) ยีนที่ใช้ในกระบวนการมีทั้งที่อาจมีความเสี่ยงสูง ดังนั้น
ในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาทุกระดับ
ตั้งแต่ในห้องปฏิบัติการจนถึงการทดสอบภาคสนาม
จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
การประเมินความเสี่ยงของ GMOs นั้น
จะต้องพิจารณาประเด็นต่างๆ ดังนี้
- เสถียรภาพของยีน ว่าจะอยู่คงทนในพันธุ์นั้นๆ
นานแค่ไหน กี่ชั่วอายุ หรือจะหายไปในชั่วลูกชั่วหลาน
- ยีนที่มาจากจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อให้เกิดโรค
มีโอกาสที่จะกลายพันธุ์เป็นยีนก่อให้เกิดโรคได้หรือไม่
- ยีนเหล่านี้มีโอกาสหลุดไปสู่พืชพันธุ์อื่น หรือจุลินทรีย์อื่นได้หรือไม่
- ผลผลิตจะมีพิษภัยต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์หรือไม่
ในระดับนานาชาติ หลายประเทศทั้งที่พัฒนาแล้ว และที่กำลังพัฒนาได้จัดทำกฎระเบียบและแนวทางปฏิบัติ
เพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosafety)
สำหรับงานวิจัยและพัฒนาที่เกี่ยวกับพันธุวิศวกรรม กฎระเบียบและแนวปฏิบัติของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันบ้าง
แต่เนื้อหาสาระจะคล้ายคลึงกัน
ส่วนใหญ่แล้วมักนำเอากฎระเบียบ
และแนวปฏิบัติที่ใช้กันอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศนั้นๆ
ในระดับนานาชาติ พร้อมกันนี้ ประเทศไทยยังมีการเตรียมพร้อม
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ได้ให้ความสำคัญ
โดยจัดตั้งคณะกรรมการกลางด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ
(National Biotechnology Committee) โดยทำหน้าที่เป็น
Technical Advisor แก่คณะกรรมการสถาบัน
(Institutional Biosafety Committee) ของแต่ละหน่วยงานวิจัย
และพัฒนาของราชการและมหาวิทยาลัยต่างๆ
และได้มีการจัดทำแนวทางปฏิบัติ เพื่อความปลอดภัยทางชีวภาพ
ที่จะดูแลเรื่องความปลอดภัยในระดับต่างๆ ตั้งแต่การทดลองในห้องปฏิบัติการ จนถึงการทดสอบในระดับภาคสนาม เพื่อให้การดำเนินงาน
ควบคุมดูแลการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการตรวจสอบความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นจากการปลดปล่อยผลิตภัณฑ์ GMOs
สู่สภาพแวดล้อมเป็นไปอย่างเหมาะสม
โดยศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
ได้รับมอบหมายให้เป็นเลขานุการ ของคณะกรรมการกลาง
ด้านความปลอดภัยทาง ชีวภาพ
บทบาทของกฎระเบียบการค้าโลก
สินค้าผลิตภัณฑ์ GMOs ที่มีการผลิตในตลาดโลกสูง
ส่วนใหญ่เป็นสินค้านำเข้าของประเทศไทย ได้แก่ ถั่วเหลือง
ข้าวโพด เป็นต้น
ซึ่งปัจจุบันได้มีการหยิบยกเรื่องของพันธุวิศวกรรม
เป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้า อันเนื่องจาก
การขาดกฎระเบียบเกี่ยวกับการค้าผลิตภัณฑ์ GMOs ที่ชัดเจน
และเป็นที่ยอมรับในสากล ตลอดจนการขาดความรู้ความเข้าใจของผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดการประชาสัมพันธ์ การถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม
สู่ผู้บริโภค และขาดกฎระเบียบเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค
ผลิตภัณฑ์ GMOs ได้เริ่มมีบทบาทสำคัญในการค้าโลก เนื่องจากการค้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ภายใต้ข้อยกเว้นทั่วไป
มาตราที่ 20 ของแกตต์ (GATT Article XX) ความตกลงว่า
ด้วยมาตรการด้านสุขอนามัย (Sanitary and Phyto-Sanitary
Measures : SPS) ความตกลงว่าด้วยอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า
(Technical Barriers to Trade : TBT) และความตกลงว่าด้วยสิทธิ ในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า (Trade Related Aspect
of Intellectual Property Rights : TRIPs)
ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก
|