ช่วงสองสามปีมานี้ นักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนหลายแห่ง ได้เรียกร้องให้รัฐบาลและสาธารณชนให้ความสนใจ
กับปฏิบัติการของบริษัทเอกชน และเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรฯ บางส่วน ที่นำเอาพันธุ์พืชที่ผ่านการตกแต่งสารพันธุกรรม หรือที่เรียกสั้นๆ
ว่า จีเอ็มโอ (genetically modified organism) เข้ามาทำการทดลองปลูก
และเผยแพร่ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย
ประเด็นที่พยายามนำเสนอให้มีการพิจารณากันอย่างรอบคอบ
คือ ประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภค
และผลกระทบที่พืชจีเอ็มโอ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และล่าสุด
คือ ฝ้ายบีที ของบริษัทมอนซานโต อาจก่อให้เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อม
หรือระบบนิเวศเกษตร
คำเตือนของนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนเหล่านั้น
เป็นเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน
และสาธารณชนเท่าใดนัก จนกระทั่งสหภาพยุโรปแสดงทีท่าชัดเจนว่า
จะไม่รับซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่ผ่านการตัดแต่งสารพันธุกรรม
รวมถึงเนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยอาหารจีเอ็มโอ และฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต
ความกริ่งเกรงว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยจะถูกปฏิเสธ
จากตลาดยุโรป ทำให้สังคมไทยเริ่มตื่นจากอาการหลับใหล
และหันมาสนใจประเด็นนี้เพิ่มขึ้น
ทั้งฝ่ายต่อต้านและสนับสนุนพืชจีเอ็มโอ
ต่างก็หยิบยกเอาข้อมูลเชิงเทคนิคมาสนับสนุน
ข้อถกเถียงของตนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งๆ ที่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ยังไม่มีใครมีข้อมูลแท้จริง
ยังไม่มีใครทำการพิสูจน์ทดลองหรือทำการวิจัยอย่างจริงจังว่า
พืชจีเอ็มโอจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ในแง่มุมใดบ้าง ยังไม่เคยมีการทำวิจัยกันอย่างจริงจังว่า
พืชจีเอ็มโอจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอย่างไร
ระบบห่วงโซ่อาหารจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่
เมื่อแมลงศัตรูพืชถูกพืชจีเอ็มโอฆ่าจนหมดไปจากวงจร
สังคมไทยชอบถกเถียงกันบนพื้นฐานของความไม่รู้นี่แหละ
แล้วก็เดินตามก้นฝรั่งไปอย่างเชื่องช้า
แทนที่จะสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยผลกระทบกันอย่างจริงจัง
เมื่อสี่ทศวรรษก่อน ฝรั่งบอกให้เราเลียนแบบอย่างความสำเร็จ
ของตะวันตกด้วยการปรับเปลี่ยนทิศทางของการพัฒนาประเทศ
ไปสู่การผลิตในภาคอุตสาหกรรม เราก็กู้เงินเขามาทำตาม
โดยไม่เคยสำรวจตรวจสอบ เมื่อองค์การอาหารและการเกษตร
หรือ FAO นำเสนอแนวคิดเรื่องการปฏิวัติเขียว (Green Revolution)
โดยเสนอว่า ประเทศด้อยพัฒนาควรเพิ่มผลผลิตในภาคเกษตร
เพื่อสร้างรายได้และอาหารให้พอเพียงกับความต้องการ
ภายในประเทศและการส่งออก โดยนำเอาเมล็ดพันธุ์มหัศจรรย์
(miracle seeds) ซึ่งเป็นผลผลิตจากการค้นคว้าของฝรั่ง
เข้ามาใช้แทนสายพันธุ์พืชพื้นบ้าน เราก็เดินตามเขาไปอย่างเชื่องเชื่ออีก
แต่เรามักหลงลืมไปว่า บ้านเราตั้งอยู่ในเขตร้อน ไม่ใช่เขตอบอุ่นเหมือนอย่างจีนหรือสหรัฐอเมริกา เรามีหลากหลายของสายพันธุ์พืชพื้นบ้านมากมายกว่าของเขา
หลายเท่าตัวนัก ระบบนิเวศเขตร้อนของเราอุดมสมบูรณ์
ไปด้วยพืชพรรณธัญญาหาร สัตว์ แมลง จุลินทรีย์ และทรัพยากรพันธุกรรมอันทรงคุณค่ามากมายเหลือคณานับ เรายังมีเกษตรกรหลายกลุ่มหลายเผ่าพันธุ์ที่สั่งสมความรู้
และภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบนิเวศ พืช อาหาร สมุนไพร และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรพันธุกรรมมาเนิ่นนานหลายร้อยปี
หากเราสำรวจตัวเองให้ลึกซึ้งและถ่องแท้
เราจะเห็นได้โดยไม่ยากนัก
สังคมไทยพัฒนารากเหง้าและภูมิปัญญาบนพื้นฐาน
ของการผลิตภาคเกษตร ในลักษณะที่หลากหลายออกไป
ตามกลุ่มชาติพันธุ์และภูมิภาค แต่เราทอดทิ้งภูมิปัญญาท้องถิ่นของเรา
มานานแสนนาน
สังคมไทยเคยมีสายพันธุ์ข้าวกว่าสองหมื่นสายพันธุ์
แต่ในปัจจุบันเราปลูกข้าวอยู่ไม่กี่สายพันธุ์เท่านั้น
เรามีศักยภาพและความรู้อย่างลึกซึ้งในการคัดเลือก
และพัฒนาสายพันธุ์พืช ทั้งที่เป็นอาหารและยา
ดังมีประจักษ์พยานให้เห็นอยู่มากมาย
เรามีทุเรียนสายพันธุ์ดีที่สุดในโลก
เรามีมะม่วงหลากหลายสายพันธุ์และมีรสชาติดีที่สุด
เรามีข้าวที่อร่อยและหอมที่สุดในโลก จนไอ้กันต้องมาขโมยไปปลูกขาย เรามีพืชสมุนไพรที่ฝรั่งและญี่ปุ่นคอยจ้องที่จะเข้ามาขโมยไปปลูกขาย เรามีพืชสมุนไพรที่ฝรั่งและญี่ปุ่นคอยจ้องที่จะเข้ามาขโมยความรู้
และภูมิปัญญาเอาไปขายอีกมากมายหลายชนิด
แต่เรากลับไม่เคยให้ความสนใจที่จะสานต่อ
และพัฒนาภูมิปัญญาเหล่านี้อย่างจริงจัง
ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปเป็นมหาอำนาจ
ทางด้านอุตสาหกรรมอาหารและสาธารณสุขทางเลือก เป็นคลังความรู้
และแหล่งทรัพยากรพันธุกรรมของพืชอาหารที่สำคัญที่สุดของโลก แต่เรากำลังทอดทิ้งโอกาสนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
แถมยังดันทะลึ่งเปิดโอกาสให้บริษัทข้ามชาติเข้ามาผูกขาดเมล็ดพันธุ์ เอาปุ๋ยและสารเคมีซึ่งก่อมลพิษในดินและแหล่งน้ำมาขายโกยเงินทำกำไร ทิ้งไว้แต่สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานวันเข้า การผูกขาดเมล็ดพันธุ์และสารเคมีก็ยิ่งมีแนวโน้ม
ที่จะมีลักษณะเบ็ดเสร็จมากยิ่งขึ้น
พืชจีเอ็มโอ จึงเป็นความพยายามเฮือกสุดท้าย
ของแนวคิดแบบปฏิวัติเขียว ที่มุ่งทำลายสายพันธุ์พืชพื้นบ้าน
อันหลากหลายให้หมดสิ้นไป เหลือไว้ก็แต่สายพันธุ์ของบริษัท
ที่เกษตรกรต้องซื้อและสาดใส่สารเคมีตามที่บริษัท
กำหนดเอาไว้อย่างเคร่งครัด
เราก็ปล่อยให้เขาเข้ามาทดลองและเผยแพร่
โดยไม่เคยรู้เลยว่าจะมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม
และระบบนิเวศเกษตรของเราอย่างไร?
เราจะให้เขากำหนดชีวิตและอนาคตของเราไปอีกนานเพียงใด?
เราจะยังคงจมจ่อมอยู่กับแนวคิดแบบปฏิวัติเขียว
อันล้าสมัยในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของโลกหันมาให้ความสนใจกับ
"อาหารธรรมชาติ" หรือ "อาหารอินทรีย์" (organicfood) ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและเป็นมิตรกับธรรมชาติแวดล้อม
อาหารธรรมชาติที่มีอยู่อย่างหลากหลายในบ้านเรา อาหารที่ปู่ย่าตายายพัฒนาสายพันธุ์และภูมิปัญญาเอาไว้ให้กับเรา
สานต่อมรดกทางวัฒนธรรม
และสร้างองค์ความรู้ของเราเองกันบ้างจะดีไหม?
ยศ สันตสมบัติ
|