มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[คัดลอกจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2542]

วิธีชันสูตรอาหาร GMO
ปลอดภัยหรืออันตราย เขาดูกันอย่างไร


หมายเหตุ --- เพื่อให้ทราบถึงวิธีการประเมินความปลอดภัย อาหารตัดแต่งยีน "มติชน" ขอนำเสนอเนื้อหาการบรรยายเรื่อง การประเมินความปลอดภัยของอาหารตัดแต่งพันธุกรรม ซึ่ง ดร.รุจ วัลยะเสรี จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ (ไบโอเทค) ได้บรรยายให้ที่ประชุมสมาคมอารักขาพืช เมื่อไม่กี่วันมานี้มาเสนอโดยละเอียดดังนี้

พูดกันว่า อาหารตัดต่อพันธุกรรมเป็นอาหารแฟรงก์เก็นสไตน์ บอกกินมันฝรั่งเข้าไปแล้วจะมีมันฝรั่งงอกออกมาจากหลังบ้าง อะไรบ้าง แต่ความจริงแล้วมีการอนุญาตให้ใช้อาหาร ตัดแต่งพันธุกรรมมากัน 5-10 ปีมาแล้ว ท่านอาจจะไม่ทราบว่า 90% ของเนยแข็งทำมาจากเอนไซม์ ซึ่งมาจากการตัดแต่งเชื้อรา เพราะการผลิตเอนไซม์เดิมค่อนข้างยุ่งยาก ต้องผลิตเอนไซม์จากลำไส้แกะ

นายศักกรินทร์ ภูมิรัตน์
ผู้อำนวยการศูนย์พันธุวิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค)

ขณะที่หลายคนกำลังวิตกกังวล เรื่องอาหารและผลิตภัณฑ์อาหาร ที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม ผมอยากจะตั้งคำถามว่า ทุกคนได้รู้จักกับเทคโนโลยีเหล่านี้ดีพอหรือยัง ที่บอกว่าการรับประทาน หรือสัมผัสกับเทคโนโลยีเหล่านี้ ถือเป็นความเสี่ยงนั้น ถามว่าในอนาคตหากจำเป็นต้องใช้ เทคโนโลยีเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นความเสี่ยงหรือไม่

ปัจจุบันนี้มีผลิตภัณฑ์จากจีเอ็มโอ จำนวนมากที่ปะปนอยู่ในโลก รวมทั้งในสังคมไทย เช่น ยา ขณะนี้มียากว่า 80 ชนิดที่เป็นจีเอ็มโอ และอยู่ระหว่างการใช้กับผู้ป่วยกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก เช่น อินซูลิน ที่ใช้รักษากับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน หรือยาประเภทแอนตี้ไบโอติก รวมทั้งมีผู้ป่วยอีกลายสิบล้านคน ที่รอผลการวิจัยตัวยาชนิดใหม่ ที่มีแนวโน้มว่าจะมาจาก การตัดต่อพันธุกรรมอีกกว่า 350 ชนิด นอกจากนี้ยังพบว่า 75% ของเอนไซม์ ที่ใช้ผลิตเนยแข็งทั่วโลก ยีสต์ที่นำมาใช้ประโยชน์ เกือบทุกชนิดในโลก หรือแม้กระทั่ง เอนไซม์ที่อยู่ในผงซักฟอก ก็มาจากการตัดต่อพันธุกรรม

ทั่วโลกขณะนี้มีการทดลอง การตัดต่อพันธุกรรมกับพืช ไปแล้วกว่า 4,500 ชนิด มีปริมาณการซื้อขายกันในท้องตลาด กว่า 3,000 ล้านบาท ทุกประเทศจึงมองข้าม เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ เพราะนับวัน จะเข้าใกล้กับชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกที
ผลิตภัณฑ์ที่มาจากการตัดแต่งยีน ชิ้นแรกก็คือ มะเขือเทศ

เขาทำมะเขือเทศ ไม่ให้เอนไซม์ไปย่อยสลายผนังมะเขือเทศ เวลามะเขือเทศสุกจะไม่นิ่ม มีเนื้อที่ดี มีความเข้มข้นของเนื้อสูง เพราะการผลิตซอสมะเขือเทศ ต้องมีความหนืดและความเหนียว ถ้ามะเขือเทศมีความหนืด ความเหนียวเพราะเนื้อเข้มข้นสูง ก็จะทำให้มะเขือเทศมีราคาสูงขึ้น และชาวนาก็จะเก็บเกี่ยวได้ช้าลง เมื่อก่อนต้องรีบเก็บ ถ้าปล่อยให้สุกกว่าจะถึงโรงงานมันจะนิ่ม เวลาขนส่งก็มีปัญหาน้อยลง และเขาเชื่อกันว่า จะทำให้กลิ่นและรสดีขึ้น ถึงแม้จะทำออกมาได้ 8 ปีแล้ว แต่ปัจจุบันสหรัฐก็ไม่ได้ผลิตออกมาแล้ว เพราะว่าตันทุนการจำหน่ายสูง ทำให้ไม่ได้รับความนิยม และรสชาติก็ไม่แตกต่าง จากมะเขือเทศทั่วไป

ข้าวโพดก็ได้รับการตัดต่อยีน เพื่อให้มีความทนทาน ต่อสารเคมีที่มีฤทธิ์ต่อวัชพืช พวกพืชไร่ใหม่ๆ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฯลฯ พวกนี้เวลาปลูกใหม่ๆ จะมีวัชพืชพวกหญ้าต่างๆ ขึ้นมาแย่งอาหาร แย่งแสงอาทิตย์ จึงต้องใช้สารเคมีปราบ ซึ่งก็จะมีผลต่อพืชไร่เหล่านี้ด้วย เมื่อพัฒนาสายพันธุ์ก็จะสามารถต้านทาน สารปราบวัชพืชได้

ถั่วเหลืองนั้นเป็นพืชไร่ที่ได้รับการนิยมมากที่สุด และมีการผลิตมาจากเทคโนโลยีการตัดแต่งพันธุกรรมมากที่สุด ในสหรัฐนั้นถั่วเหลือง 52% ที่ผลิตขึ้นมาทั้งหมดในปี 1998 จะมาจากการตัดแต่งพันธุกรรมทั้งหมด และคาดกันว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ถั่วเหลืองทั้งหมดที่ผลิตจากสหรัฐ จะเป็นถั่วเหลืองที่ตัดต่อพันธุกรรม รองลงมาคือข้าวโพด ผลิตจากการตัดแต่งยีน 24% อันดับสามคือ ฝ้าย 9% นี่เป็นสถิติเมื่อสองปีที่แล้ว

นอกจากสหรัฐแล้วมีหลายประเทศที่อนุญาต ให้ใช้พืชตัดแต่งพันธุกรรมเช่น แคนาดา ญี่ปุ่น อาร์เจนตินา จีน เกาหลี ในยูโรปเองก็มีหลายประเทศ ฝรั่งเศส อังกฤษ ก็ด้วย

วิธีการตัดแต่งยีนนั้นเราต้องรู้ว่า ยีนที่จะใช้นั้นมีโครงสร้างอะไร เช่น เป็นโปรตีนที่มีคุณสมบัติในการฆ่าแมลง เมื่อใส่ลงไป ในโครโมโซมของดีเอ็นเอหรือฐานพันธุกรรมของเซลล์แล้วดูว่า ลักษณะที่จะออกมาตรงกับความต้องการหรือไม่ และมีสิ่งอื่นๆ เกิดขึ้นไหม อย่างในถั่วเหลืองยีนที่ใส่เข้าไป จะทำให้พืชสามารถทนทานต่อยาปราบวัชพืชได้ ในแคนาดามียืนสามสายพันธุ์ที่สามารถต้านทานสารเคมี ที่ฆ่าวัชพืชได้ สองสายพันธุ์มาจากการปรับปรุงพันธุ์แบบเดิม อีกหนึ่งมาจากเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม

จะว่าไปแล้วการปรับปรุงพันธุ์แบบเดิมก็คือ การเอายีนที่มีอยู่แล้วมาใช้ แต่การตัดแต่งยีนเป็นวิธีการ ที่ทำให้มันง่ายขึ้น และเราจะสามารถควบคุมการผลิต ของสารเอนไซม์ได้ด้วยว่าให้มีปริมาณเท่านั้นๆ จึงมีผลดีกว่าวิธีการดั่งเดิม ซึ่งผสมกันแล้ว ให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาโดยเราไม่รู้ว่า มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ข้าวโพดและฝ้ายนั้นจะใส่โปรตีนที่ฆ่าแมลงได้ มะเขือเทศก็เป็นการปรับปรุงเพื่อไม่ให้มันยับยั้ง การผลิตเอนไซม์ตัวหนึ่ง ซึ่งทำผนังของเซลล์มะเขือเทศนิ่ม

การแต่งยีนเราต้องใส่มาร์กเกอร์ยีน ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นยาปฏิชีวนะซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่า เมื่อใส่มาร์กเกอร์ยีนเข้าไปแล้วจะมีผลต่อระบบนิเวศหรือไม่

ในยุโรปจะเรียกอาหารตัดแต่งพันธุกรรมว่า อาหารใหม่

การพิจารณาว่าอาหารใหม่ๆ เหล่านี้มีความปลอดภัยหรือไม่ ก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาดังนี้

  1. ดูว่ามันจะสร้างพิษอะไรออกมาหรือไม่ และถ้าอาหารดั่งเดิม หรืออาหารที่มาจากธรรมชาติมีสารพิษอยู่ในมะเขือเทศอยู่แล้ว ความเป็นพิษที่ว่านี้จะมีมากขึ้นในมะเขือเทศตัดต่อพันธุกรรมหรือไม่ ต้องมีการประเมินความปลอดภัย

  2. ต้องดูสารโภชนาการต่างๆ เช่น โปรตีน วิตามิน คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ ในอาหารตัดแต่งพันธุกรรม มีมากหรือน้อยเกินไป

  3. ดูสารภูมิแพ้ว่า จะทำให้ประชาชนบางกลุ่มแพ้สารอะไรหรือไม่ เช่น บางคนกินกุ้งตาอาจจะปูด บวมขึ้นมา เพราะกุ้งจะมีสารโปรตีน ที่ทำให้เกิดการแพ้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อเอาโปรตีนเช่นที่ว่านี้ ไปใส่ในอาหารอื่นๆ ก็จะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้บริโภค อันนี้ก็ต้องมีการศึกษาว่า ถ้ามันมีปัญหาเรื่องสารภูมิแพ้ จะมีผลกระทบต่อประชาชนบางกลุ่มหรือไม่ ซึ่งก็ต้องจำแนก เป็นประชาชนหลายกลุ่มเช่น กลุ่มคนแก่ เด็กอ่อน เยาวชน ฯลฯ

  4. ดูถึงความมั่นคงของยีนว่า ยีนที่ใส่เข้าไปนั้น ต้องไม่สามารถถ่ายทอดได้ เช่น ถ้าใส่เข้าไปในข้าวโพดแล้ว เมื่อต้นแก่ลงต้องไม่ให้ยีนที่ว่าถ่ายทอดไปสู่ใต้ดิน หรือจุลินทรีย์หรือผีเสื้อ ถ้ามันถ่ายทอดได้จะมีผลต่อระบบนิเวศ

นี่คือสิ่งต้องห้าม เวลาจะทำผลิตใหม่อะไรออกมา เขาก็ต้องตรวจสอบก่อนว่า มันจะทำให้เกิดโรคอะไรหรือไม่

ในภาพรวมเมื่อจะมีการศึกษาว่า มันปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย สิ่งแรกที่เลยที่ต้องดูว่าเมื่อเอายีนหรือโปรตีนใหม่ใส่เข้าไปก็คือ มันเป็นพิษหรือต้านทานสารภูมิแพ้หรือไม่ ทำให้เกิดผลอื่นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือไม่

ทางตรงก็คือ เมื่อเราใส่ยีนเข้าไปเราก็จะรู้ว่า มันจะไปทำอะไร ถ้ามันไม่ดีเราก็ไม่ใส่เข้าๆ ไป เพราะจุดประสงค์ของเราคือ ต้องการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ให้มันดีขึ้น เมื่อใส่โปรตีนเข้าไปแล้วโมเลกุลมันจะเกิดขึ้นก็ต้องดูว่า โมเลกุลที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องการ เราต้องคำนึงว่า สิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นนั้นมันจะเกิดขึ้นไหม มันจะส่งผลกระทบทางอ้อมหรือไม่

วิธีการประเมินผลกระทบทางอ้อมก็คือ ดูว่าเมื่อเราใส่ยีนเข้าไป เราใส่เข้าไปตรงไหน ของโครโมโซมดีเอ็นเอของพืช เพราะถ้ามันไปลงตรงกลางยีนอื่น ที่ไม่ต้องการมันอาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางระบบสรีระวิทยาของเชื้อได้ อาจจะสร้างโปรตีนอะไรออกมามากมาย อาจจะมีสารพิษเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงศึกษากันก่อนว่า เมื่อใส่เข้าไปจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบบชีววิทยา ทั้งระบบของสิ่งมีชีวิตและคน

ผลกระทบโดยตรงเขาก็จะศึกษาถึงสารโภชนาการ สารพิษ สารภูมิแพ้แล้วดูปริมาณของการแสดงออกของยีนที่ใส่เข้าไป มันมากแค่ไหนมากจนเป็นพิษหรือไม่หรือน้อยเกินไป มีผลต่อการสร้างโปรตีนอื่นๆ หรือไม่จะทำให้เกิดการกลายพันธุ์หรือไม่

ในปี 1993 องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ และองค์การอนามัยโลกได้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์ไปหารือกันว่า จะทำอย่างไรดีถึงจะกำหนดว่า อะไรปลอดภัยอะไรไม่ปลอดภัย ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือ ต้องตั้งกฎเกณฑ์เพื่อบอกว่าอะไรปลอดภัย อะไรไม่ปลอดภัย ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือ ต้องตั้งกฎเกณฑ์เพื่อบอกว่า อะไรปลอดภัย อะไรไม่ปลอดภัย เขาก็สรุปกันว่า เราต้องใช้อะไรที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ถ้าจะดูมะเขือเทศตัดแต่งยีนก็ต้องดูมะเขือเทศทั่วไป ทีกินกันอยู่ว่ามันมีสารทางโภชนาการอย่างไร เกลือแร่ ไขมัน ฯลฯ เท่าไหร่ มีสารพิษเท่าไหร่ มีสารภูมิแพ้อยู่เท่าไหร่ แล้วเอามะเขือเทศตัดแต่งยีนมาดูค่าว่าในช่วงนั้นหรือไม่ ถ้าอยู่ก็ถือว่าปลอดภัย ถ้ามากเกินไปก็ต้องดูว่ามันมากเกินไป จนทำให้เป็นภัยต่อผู้บริโภคหรือไม่

นี่เรียกว่า Supstantial equivalent หรือการประเมินเทียบเท่า

เทียบเท่าอะไร เทียบเท่ากับพืชที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ซึ่งเรามีประวัติการใช้ เรากินมานานปีไม่เป็นไร ถ้าเทียบแล้วมันอยู่ในช่วงนั้นก็ถือว่ามีความปลอดภัยเท่ากัน กับอาหารที่ได้จากธรรมชาติ แต่การประเมินเทียบเท่า ก็เป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น เป็นเครื่องมือในการจัดกลุ่มอาหารตัดแต่งยีน ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มๆ ดังนี้

  1. เทียบเท่าอาหารจากธรรมชาติทุกอย่าง ไม่มีอะไรแปลกปลอมไม่มีอะไรเพิ่มขึ้นเมื่อเหมือนธรรมชาติ เขาก็บอกว่าไม่น่าจะมีประเด็นของความไม่ปลอดภัย แต่การตัดแต่งยีนเป็นการเอายีนใหม่เข้าไป ทำให้เกิดโปรตีนขึ้นมาเพื่อทำให้เซลล์มีคุณสมบัติเพิ่มขึ้น ดีขึ้น ซึ่งโปรตีนนี้จะไม่มีอยู่ในสายพันธุ์เดิมหรือสายพันธุ์ธรรมชาติ อาหารตัดแต่งพันธุกรรมส่วนมากจึงไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ เพราะกลุ่มนี้จัดว่าเหมือนกับอาหารธรรมชาติ 100% ยกเว้นผลิตภัณฑ์บางอย่างเช่น น้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งทำให้บริสุทธิ์ 100% แล้วไม่ควรมีโปรตีนเหลืออยู่

  2. มีความเทียบเท่ากับสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ แต่มีความแตกต่างจำเพาะเจาะจง สมมุติว่าเราใส่ยีนเข้าไปอันหนึ่ง เพื่อสร้างโปรตีนอันหนึ่ง แล้วปรากฏสิ่งที่แตกต่างจากธรรมชาติ เพียงอย่างเดียวคือ โปรตีนอันนั้น ส่วนอื่นเช่นสารอาหาร คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ฯลฯ จะเหมือนกันหมด ยกเว้นโปรตีนอันนั้น แล้วดูว่าโปรตีนที่เกิดใหม่นั้นเป็นสารพิษหรือไม่ เป็นสารภูมิแพ้หรือเปล่า ฯลฯ

    กลุ่มสุดท้ายกลุ่มนี้ยังไม่เกิดขึ้นคือ

  3. กลุ่มที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสิ่งที่สามารถเทียบเท่าได้ในธรรมชาติ เป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมาเลย ซึ่งต้องมีการประเมินความปลอดภัย อย่างเคร่งครัด แต่สิ่งนี้ยังไม่เกิดขึ้นมา เท่าที่ทราบองค์การอนามัย องค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ ฯลฯ ยังไม่มีขั้นตอน การประเมินกลุ่มนี้ว่า ถ้ามีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาจะทำอย่างไร

การจะจัดสิ่งที่ผ่านตัดแต่งพันธุกรรมว่า อยู่ในกลุ่มไหน เขาต้องศึกษากันทั้งระบบอยู่แล้ว ต้องมีข้อมูลทั้งหมดก่อน โดยต้องศึกษาอย่างลึก

การประเมินการเทียบเท่าเป็นการศึกษาจำเพาะ โดยดูสารพิษ สารโภชนาการและสารภูมิแพ้ แล้วเอาข้อมูลนี้ มาเทียบเท่ากับสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ นอกจากดูว่า เป็นอันตรายทางสรีระวิทยาแล้วยังดูด้วยว่า เชื้อที่ใช้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีประวัติว่าจะเป็นเชื้อโรคได้ไหม บรรพบุรุษมันมาจากไหน ส่วนผสมทางเคมีเป็นอย่างไร ทดลองกับสัตว์ทดลองแล้วเป็นอย่างไร การนำมาใช้นั้นบริโภคต้องอย่างไรต้องผ่านความร้อนไหม หรือกินได้ดิบๆ

วิธีการประเมินความเทียบเท่าจึงเป็นเรื่อง ที่ต้องใช้ข้อมูลเยอะมาก
  1. ข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับส่วนผสมหรือคุณสมบัติของพ่อแม่ ของพืชที่เราเอามาใช้ว่ามีประวัติอย่างไร คุณสมบัติอย่างไร
  2. ความรู้เกี่ยวกับคุณลักษณะที่เกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เราเอายีนเข้าไปโดยใช้ไฟฟ้าแรงสูงนั้นอาจจะกระทบ กับระบบภายในของพืชก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องดูผลกระทบที่จะเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคืออะไร และโปรตีนใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น มีรูปร่างลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร เมื่อประเมินเทียบเท่า กับที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นอย่างไร แล้วก็ถึงจะบอกได้ว่า ปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย

สรุปก็คือ ต้องดูสารพันธุกรรมนั้นว่าคืออะไร ประวัติมันเป็นมาอย่างไร มาจากไหน ใครจะเป็นผู้บริโภค และมีวิธีการบริโภคอย่างไร ส่วนผสม สารประกอบของอาหารทั้งหมด คืออะไร ทั้งสารโภชนาการ สารพิษและสารภูมิแพ้ มันมีการเปลี่ยนแปลงในพืชนั้นๆ หรือไม่ จะบริโภคอย่างไร คุณลักษณะของโมเลกุลของสารใหม่นี่คือหลักของการประเมิน

เรื่องภูมิแพ้เขาจะดูโครงสร้างของโปรตีน ดูน้ำหนักโมเลกุล โครงสร้างโปรตีน ดูความทนทานความร้อนของโปรตีนนั้นๆ เพราะสารโปรตีนที่ทำให้เกิดภูมิแพ้จะทนทานความร้อน และเป็นกรด ฯลฯ

ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์เขามีการวิเคราะห์มากกว่า การประเมินเทียบเท่า เพราะเขาศึกษาดีเอ็นเอทั้งหมด เขาจะดูโครโมโซมของดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตใหม่ๆ ทั้งหมดเลย เขาจะศึกษาทั้งหมดทั้งที่รู้และไม่รู้

ที่มีการกล่าวกันมากถึงการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ชาวสกอตแลนด์ว่า ถ้าให้กินมันฝรั่งตัดแต่งยีน หนูจะน้ำหนักลดลงและลำไส้บวมขึ้นซึ่งก็ถูกวิจารณ์มากกว่า อาจจะเป็นงานที่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับทางวิทยาศาสตร์ วารสารที่เอางานวิจัยนี้ไปลงก็ถูกโจมตีว่าเอางาน ที่ไม่เป็นที่ยอมรับไปตีพิมพ์ เหตุที่ยอมรับงานวิจัยนี้ไม่ได้เพราะ

  1. หนูที่ใช้การทดลองนั้นมีเพียง 5 ตัว
  2. การที่ให้หนูกินแต่มันฝรั่งเป็นอาทิตย์ๆ นั้นทำให้หนูขาดโปรตีนได้

วิธีการประเมินความปลอดภัยเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เกิดขึ้นจากพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เรามีอยู่ในขณะนี้ ในอนาคตเมื่อเรามีความรู้มากขึ้น เราก็ต้องพัฒนาวิธีการให้ครบถ้วนมากขึ้น

ข้อขัดแย้งอีกอันหนึ่งก็คือ กรณีของถั่วเหลืองนั้น ถั่วเหลืองตัดแต่งยีนมีการอนุมัติใช้แล้วไม่ต่ำกว่า 3 ปี ทุกวันนี้มีผู้บริโภคถั่วเหลืองนี้กว่า 500 ล้านคน แต่ยังไม่มีรายงานว่าผู้บริโภคเหล่านี้จะได้รับอันตราย จากการบริโภคแต่อย่างใด


ขอบคุณหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600