น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์
|
ในยุคที่ลูกเปรียบเสมือน
หนึ่งดวงใจของพ่อแม่นี้
เชื่อแน่ว่า
คุณพ่อคุณแม่ทุกคน
คงจะไม่อยากให้ลูกเป็นอะไรไป
โดยเฉพาะเมื่อเลี้ยงดู
มาจนย่างเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว
วัยรุ่นเป็นวัย
แห่งการเปลี่ยนแปลง
เป็นวัยที่เริ่มรักอิสระ
ต้องเป็นตัวของตัวเอง
เชื่อเพื่อนมากกว่าพ่อแม่
และมักจะมีปฏิกิริยาต่อต้าน
คำสั่งของพ่อแม่ เรียกว่า
บอกอย่างมักจะทำอีกอย่างเสมอ
|
จนกระทั่งมีคำคมที่ผมไปพบเมื่อเดินทางไปทัศนศึกษา
ที่ประเทศอิตาลีและไปถึงเมืองชื่อ ออร์เวียตต้า
ซึ่งเป็นเมืองที่สันตะปาปาในอดีตอาศัยอยู่และคนทั่วๆ ไป
มักจะเรียกว่า "ปาป้าโป๊ป" มีจารึกเป็นคำกลอน
ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อถือของคนวัยต่างๆ
ต่อผู้ที่เป็นพ่อแม่และปาป้าโป๊ปว่า
"เมื่อตอนอายุ 3 ขวบ... พ่อของฉันรู้เรื่องราวทุกอย่างในโลกนี้ (รวมแม่ด้วยก็คงได้)
พออายุ 8 ขวบ... พ่อรู้เกือบทุกอย่างในโลกนี้
(เห็นไหมครับว่าเชื่อน้อยลง)
พอย่างเข้า 12 ขวบ... พ่อรู้เรื่องอะไรเป็นส่วนใหญ่
พอวัยรุ่น 15 ขวบ... พ่อไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ครั้นอายุ 20 ขวบ... ถ้าเราจะต้องสอนพ่อแม่บ้างแล้ว งี่เง่าจัง"
เห็นไหมครับว่า คุณแม่ที่รอสอนลูกตอนเริ่มเข้าวัยรุ่นน่ะ
ยากแล้วที่จะสอนเขา เพราะเขาคิดว่า พ่อแม่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ซ้ำร้ายเมื่อเขาอายุเข้า 20 ปี อยู่ในมหาวิทยาลัย
กลับคิดจะสอนพ่อแม่ด้วยเนื่องด้วยไม่ทันสมัย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
คุณแม่เคยนึกอย่างนั้นบ้างไหมครับตอนเป็นวัยรุ่น
แต่คำกลอนดังกล่าวยังไม่จบนะครับ
เพราะประโยคสุดท้ายยังมีอยู่ว่า
"เมื่ออายุได้ 40 ปี จะรู้สึกว่า นี่ถ้าพ่อแม่เราอยู่ให้ปรึกษา
ชีวิตเราคงจะดีกว่านี้"
เพราะฉะนั้นไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ตาม
เรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นจึงเป็นปัญหาของช่องว่างระหว่างวัย
และเป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปแล้วว่า วัยรุ่น อยากรู้ อยากลองไปหมดเกือบจะทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องเพศ
เป็นเรื่องที่วัยรุ่นให้ความสนใจมากเกือบจะในอันดับแรกๆ เพราะเป็นวัยที่อวัยวะแห่งการเจริญพันธุ์เริ่มทำงาน ในวัยรุ่นชายลูกอัณฑะจะทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศชายออกมา
ทำให้เกิดอารมณ์ความต้องการทางเพศและสนใจที่จะตอบสนอง
ต่อความต้องการของตนเอง นอกจากนี้ฮอร์โมนเพศชาย
ยังจะทำให้วัยรุ่นชายอยากจะแสดงพละกำลังความสามารถ
พูดง่ายๆ ก็คือมีพลังงานมากจากแรงขับดันของฮอร์โมนเพศชาย ทางออกที่ดีก็คือการแนะนำให้ไปเล่นกีฬา ซึ่งจะเป็นวิธีการ
ที่ทำให้วัยรุ่นชายได้ระบายพลังงานทีเหลือเฟือออกไปบ้าง และมีความสุขความพอใจจากการออกกำลังกาย
เนื่องจากมีสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนโดฟิน หลั่งออกมา ซึ่งก็เป็นสารแห่งความสุขเดียวกันกับที่หลั่งออกมา
เมื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศที่สุขสมนั่นเอง พอมีความสุขแล้วกลับบ้าน
ก็จะได้นอนหลับสบายไม่หมกมุ่นในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศมากนัก
ส่วนวัยรุ่นหญิงถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีฮอร์โมนเพศชายมากมาย
เหมือนกับผู้ชาย แต่ความอยากรู้อยากลองไม่ได้ด้อยน้อยกว่ากันเลย
ซ้ำในวัยนี้มักจะเริ่มดื้อเงียบ และมีพฤติกรรมในทางตรงกันข้าม
กับที่พ่อแม่อยากให้เป็นเพราะเป็นวัยที่ชอบต่อต้าน
ชอบเลียนแบบเพื่อน ที่น่ากลัวก็คือ ในการเลียนแบบอย่าง
โดยเฉพาะเรื่องรักใคร่ เห็นเพื่อนมีคู่รักก็อยากมีบ้าง
เพราะว่าไม่มีก็กลัวจะอายเพื่อน แต่บางคนไม่รู้ว่า
บางครั้งความรักมันก็ต่อเนื่องไปจนถึงการมีเพศสัมพันธ์กัน
เพราะความอยากรู้ อยากลองอยากเหมือนเพื่อน
เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวเล็กๆ แต่น่าสนใจลงในนิตยสารฉบับหนึ่งว่า
มีเด็กสาวๆ ไปขอทำแท้งที่คลินิกแห่งหนึ่ง เมื่อแพทย์ถามว่า
ทำไมจึงตั้งท้อง เด็กสาวก็ตอบโดยไม่ลังเลว่าพลาดไปลืมคุม
แต่ที่ตอบต่อไปสิครับน่ากลัวคือบอกว่า ต้องมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนชาย
มิฉะนั้นจะไม่เหมือนเพื่อน จะอับอายขายหน้าว่าไม่มีผู้ชายมาชอบ แสดงให้เห็นว่าการคบเพื่อนนั้นสำคัญ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่กวดขันในเรื่องนี้แล้ว ผลคงจะลงเอยตามตัวอย่างข้างต้น
คุณพ่อคุณแม่จะทนได้หรือครับ
ยิ่งมายุคนี้ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ รวมทั้งการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
ทำได้สะดวกมากไม่ว่าจะโทรศัพท์มือถือ เพจเจอร์ รวมทั่งการติดต่อคุยกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
และมีแช็ทรูมให้เข้าไปคุยกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่ มีบริการเซ็กซ์โฟนซึ่งสามารถโทรเข้าไปคุยและพูดจา
ในเรื่องเกี่ยวกับเพศและเพศสัมพันธ์ได้อย่างอิสระเสรี
โดยกฎหมายเอื้อมไปไม่ถึง
แต่ไม่ใช่ว่าวัยรุ่นเป็นคนไม่ดีนะครับ
ก่อนอื่นคุณแม่ทั้งหลายจะต้องเข้าใจให้ดีว่า
ลูกๆ ของคุณทุกคนเกิดมาต้องหวังจะเป็นคนดี
แต่ถ้าไม่มีแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาทำตามแล้ว
เขาจะทราบได้อย่างเล่าครับว่าแบบอย่างที่เห็นนั้น
เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี ถ้าไม่เคยเห็นแบบอย่างที่ดีมาก่อน
บางครั้งคุณแม่คอยแต่บ่นว่า ทำไมลูกทำอย่างนี้
ไม่ทำอย่างนั้นเหมือนที่แม่อยากให้ทำ
คุณแม่ลองกลับไปอ่านบทจารึกตอนต้นดูสิครับว่า
ในช่วงอายุที่เขาบูชาคุณพ่อคุณแม่ว่าเก่งที่สุดในโลกนะ ได้สั่งสอนอะไรไว้เป็นรากฐานในการดำเนินชีวิตของเขาหรือเปล่า
ถ้าพ่อแม่มีเวลาให้ลูกตั้งแต่ในวัยเด็ก เป็นที่พึ่งในยามยาก
ชมเชยเมื่อเขาทำความดีบ้าง เขาจะภูมิใจและหมั่นทำความดีมากขึ้นเสมอๆ
เพราะใครๆ ก็อยากได้คำชม...จริงไหมครับ
ในสังคมไทยเรามีแต่ตำหนิว่าเวลากระทำผิด เคยชมเชยเวลาคนเขากระทำความดีกันบ้างไหมครับ... ลูกๆ วัยรุ่นน่ะรอคำชมจากคุณแม่คุณพ่ออยู่นะครับ
เขาอยากเป็นคนดีครับ บางครั้งที่เขาระบายอะไรออกไป
ก็เพราะเขาเก็บกด
ดูตัวอย่างดีๆ ของสังคมตะวันตกบ้างฝรั่งเขาจะติดคำว่า
"GOOD BOY GOOD GIRL" กันมากๆ เวลาลูกทำดี
ทำตัวน่ารักๆ เราเอาแต่ตัวอย่างที่ไม่ดีของเขามาใช้ คงจะต้องหันมาเอาตัวอย่างในการยกย่องเชิดชูคนดีกันบ้างนะครับ
เพราะโลกยุคนี้มันเป็นยุคไปทัวร์ต่างดาวกันแล้ว
เราคงจะเอาคำกล่าวที่ว่า "ยอครูยอต่อหน้า ยอข้ายอลับหลัง
ลูกเมียยังอย่าสรรเสริญ" มาใช้ไม่ได้หรอกครับ
เราต้องหาตัวอย่างวัยรุ่นที่ทำความดีออกมาให้ชมเชย และส่งเสริมให้วัยรุ่นแข่งกันทำความดี เรื่องราวร้ายๆ ต่างๆ
ที่เราไม่อยากให้เกิดก็จะได้ไม่เกิด
วัยรุ่นจะเป็นวัยอันตราย ถ้าคุณแม่คุณพ่อไม่ให้ความรัก
ความเข้าใจพวกเขา แต่วัยรุ่นจะเป็นวัยน่ารักขึ้นมาในทันที
ที่คุณแม่คุณพ่อเข้าใจ รักและเป็นเพื่อนคิดเป็นที่ปรึกษาของเขา
อย่าไปคิดนะครับว่า วัยรุ่นอยากจะปรึกษาเพื่อนไปทั้งหมด มีการสำรวจวัยรุ่นว่าได้รับความรู้ด้านเพศจากใครมากที่สุดกันมาแล้ว
ได้ผลดังนี้ครับ
ร้อยละ 28 ตอบกลับมาว่าได้จากเพื่อน
ได้จากพ่อแม่เพียงร้อยละ 12 แต่เมื่อถามเขาต่อไปว่า อยากได้ความรู้ด้านเพศศึกษาที่ถูกต้องจากใครมากที่สุด
ส่วนใหญ่กลับมาว่า อยากได้จากพ่อแม่
คุณพ่อคุณแม่เป็นครูคนแรกๆ ของลูกครับ...ลูกๆ
รอคำสอนที่ดีของคุณอยู่ เพียงแต่ต้องสอนเขาด้วยความรัก
ความเข้าใจเท่านั้น แล้วเขาก็จะรับฟัง
มาลองดูผลการสำรวจของ DUREX GLOBAL SURVEY
ประจำปี พ.ศ.2542 จะพบว่า วัยรุ่นได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศ
จากเพื่อนมากที่สุดถึงร้อยละ 28 รองลงมาได้จากหนังสือ
และคู่นอนเท่ากันคือร้อยละ 13 ได้รับการสอนเรื่องเพศศึกษา
มาจากโรงเรียนเพียงร้อยละ 18 และที่พูดกันมานานหนักหนาแล้วว่า
เพศศึกษาควรจะเริ่มที่บ้าน ปรากฏว่าผลการสำรวจนี้ได้ความว่า คุณพ่อคุณแม่ให้ความรู้ด้านเพศศึกษาแก่ลูกๆ เพียงร้อยละ 12 เท่านั้น
และที่น่าประหลาดก็คือ กลายเป็นคุณแม่ให้ความรู้ด้านเพศศึกษาแก่ลูก
ร้อยละ 10 ในขณะที่คุณพ่อมีบทบาทในเรื่องนี้เพียงร้อยละ 2 เท่านั้นเอง
แต่ถ้าแยกในรายละเอียดแล้วจะปรากฏว่า วัยรุ่นชายได้รับความรู้ด้านเพศศึกษาจากคุณพ่อคุณแม่เท่าๆ กัน
คือร้อยละ 6 ส่วนวัยรุ่นหญิงนั้นได้รับความรู้ด้านเพศศึกษาจากคุณแม่
ร้อยละ 11 ในขณะที่สอบถามคุณพ่อเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
ถ้าเราเป็นคุณแม่ยุคใหม่ ที่ไม่ยึดติดกับรูปแบบกับวิธีเดิมๆ
แนวคิดเดิมๆ ซึ่งไม่พัฒนาให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง
ของสังคมในปัจจุบันนี้ เราจะต้องหันมาพัฒนาตัวเอง
ให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของวัยรุ่น
เข้าใจในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ดังกล่าว
พยายามเป็นเพื่อนพูดคุยสอบถามข้อข้องใจ
และหาคำตอบที่เป็นที่พอใจของทุกฝ่าย
ที่จะช่วยให้ลูกของเราไม่ต้องไปหาความรู้
หรือประสบการณ์เรื่องเพศอย่างไม่ถูกต้อง
จากเพื่อนและคู่นอน
คุณแม่ยุคใหม่คงจะต้องทำความเข้าใจกับลูกวัยรุ่นให้ได้ว่า
- การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและสภาพอารมณ์
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นเป็นอย่างไร โดยโยงใยให้เข้ากับตอนที่ตัวเอง
เป็นวัยรุ่นแต่ปรับให้เข้ากับยุคสมัย
- ความรักเป็นเรื่องปกติ แต่แนวทางในการคบกับคนรักนั้น
ควรจะมีกรอบที่ยึดถือประเพณีที่ดีงาม
- ไม่ควรชิงสุกก่อนห่าม โดยอธิบายถึงคุณและโทษ
รวมทั้งผลเสียที่จะตามมาในอนาคต
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้เตรียมตัวจะติดโรคร้ายแรงได้
โดยเฉพาะเอดส์ แลไม่มีใครที่จะปลอดภัยแน่นอน ดังนั้น
เมื่อมีคนรักก่อนแต่งงานจะต้องปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจก่อน
- ทางออกที่ควรตะทำเมื่อเกิดอารมณ์เพศควรเป็นอย่างไร
สอนให้มีความอดทนอดกลั้น หรือเบี่ยงเบนไปสนใจด้านอื่นเช่น
กีฬา ดนตรี ฯลฯ
เท่านี้คุณแม่ก็จะคลายกังวลใจได้ว่าลูกของเรา
จะยังคงเป็นลูกของเราต่อไป
|