มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam
[ คัดลอกจากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 12 ธันวาคม 2540]
ติดเอดส์จากแม่
ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค
จากคนที่มีเชื้อเอดส์อยู่ในตัวและยังมีชีวิตอยู่ 22.6 ล้านคนทั่วโลก
เมื่อปลายปี 2539 จำนวนนี้จะเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี อยู่ถึง 1 ล้านคน
โดยที่กว่าร้อยละ 90 ของเด็กเหล่านี้ติดเอดส์จากแม่ ดังนั้น
จำนวนเด็กที่ติดเอดส์จะมีมากหรือน้อยขึ้นกับว่า มีการติดเอดส์
ในหญิงวัยเจริญพันธุ์หรือผู้หญิงที่จะเป็นแม่คนได้มากน้อยเพียงใด
สถานการณ์ติดเอดส์ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ
และแต่ละชุมชน เช่น หญิงผิวดำจนๆ ในเมืองใหญ่ๆ ของสหรัฐอเมริกา
บางเมืองอาจติดเชื้อเอดส์สูงถึง 2% ในประเทศแถบแอฟริกาใต้ อัตราการติดเชื้อเอดส์ในหญิงตั้งครรภ์สูงถึง 30-40% ในประเทศไทยเอง ตัวเลขเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 2% ในขณะที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน
อาจสูงถึง 5-6%
เพียงร้อยละ 15-40 ของเด็กที่คลอดออกมา จะมีโอกาสติดเอดส์จากแม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับภูมิต้านทานของแม่ระหว่างตั้งครรภ์ วิธีที่คลอด
โอกาสที่ทารกจะสัมผัสกับเลือด หรือสิ่งคัดหลั่งจากแม่ระหว่างคลอด
และวิธีการให้นมบุตร เป็นต้น
โอกาสที่ทารกจะได้รับเชื้อเอดส์จากแม่เกิดขึ้นได้ 3 ช่วง
ช่วงแรก
ช่วงที่ทารกยังอยู่ในครรภ์แม่ โดยเชื้อจากแม่สามารถผ่านรกเข้าสู่ลูกได้ ช่วงนี้โชคดีที่เกิดขึ้นได้น้อย เพราะป้องกันยาก จะป้องกันได้ก็ต้องโดยการ
ให้ยาต้านไวรัสเอดส์แก่แม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ยาแรงๆ แต่เนิ่นๆ
เช่น ตั้งครรภ์ใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นอันตรายต่อทารกที่กำลังสร้างแขนขาขึ้นหรือไม่
ช่วงที่ 2
เป็นช่วงระหว่างการคลอด หรือ 1-2 สัปดาห์ก่อนคลอด เชื้อเอดส์อาจเข้าสู่ตัวลูก ระหว่างการบีบรัดตัวของมดลูกตอนเจ็บท้อง หรือจากการที่มีเลือดแม่
ปนเปื้อนตัวเด็กขณะคลอด ช่วงนี้เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการติดเชื้อเอดส์ในเด็ก คือเป็นสาเหตุถึงร้อยละ 50-60
การป้องกันในช่วงนี้อาจทำได้หลายวิธี เช่น การล้างช่องคลอดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเอดส์ก่อนเด็กคลอด วิธีการทำคลอดที่ทำให้มีปนเปื้อนเลือดแม่น้อยที่สุด เช่น
การผ่าตัดทำคลอดทางหน้าท้อง การล้างตัวเด็กให้เร็วที่สุดหลังคลอด
การให้วัคซีนและเซรุ่มป้องกันเอดส์ (ถ้ามีวัคซีนและเซรุ่ม) แก่ทารกทันทีหลังคลอด คล้ายการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ตลอดจนถึงการให้ยาต้านไวรัสเอดส์
ทั้งแก่แม่ในช่วงท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์ เพื่อลดปริมาณเชื้อเอดส์ในเลือดก่อนคลอด และเพื่อให้มียาผ่านไปสู่ตัวลูกด้วย และแก่ลูกในช่วงสั้นๆ หลังคลอดคล้ายการให้ยาป้องกันในคนที่ถูกเข็มที่เปื้อนเลือดเอดส์ตำ
ช่วงที่ 3
ช่วงที่เด็กอาจติดเอดส์จากแม่ได้ คือ การผ่านจากน้ำนมแม่เข้าสู่ปาก
และทางเดินอาหารของลูก ช่วงนี้พบเป็นสาเหตุของการติดเอดส์
ในประมาณร้อยละ 20 ในทารกที่เลี้ยงด้วยนมแม่ พบว่า
ยิ่งดูดนมแม่นานจะยิ่งติดเอดส์มากขึ้น
การป้องกันการติดเอดส์ในช่วงนี้คือ การใช้นมผงเลี้ยงลูก
แทนนมแม่ตั้งแต่เกิด ซึ่งเป็นวิธีที่ประเทศที่พัฒนาแล้วใช้กัน
รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลดอัตราการติดเอดส์จากแม่
เดิมที่เคยติดร้อยละ 25-30 ลงมาเหลือเพียงร้อยละ 18-20 หลังจากแนะนำ
ให้เลิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมผงไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะทำได้เสมอไป ในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศที่ยากจนในแถบแอฟริกา เพราะถ้าแนะนำไม่ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจมีทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ (ซึ่งตัวเองอาจไม่ติดเอดส์ก็ได้) จำนวนมาก ตายจากโรคขาดอาหาร หรือโรคท้องร่วงจากอุปกรณ์การชงนมที่ไม่สะอาดก็ได้
ในปัจจุบันจึงมีความพยายามที่จะศึกษาดูว่า ถ้าให้นมแม่เพียงช่วงสั้นๆ
(3-6 เดือน) หรือการงดนมแม่ในช่วง 3 วันแรกหลังคลอด ซึ่งหัวน้ำนมในช่วงนั้น
มีเม็ดโลหิตขาว ซึ่งมีเชื้อเอดส์ปนเปื้อนอยู่มาก หรือการใช้วิตามินเอ
และแร่ธาตุ แก่แม่และลูกขณะให้ลูกกินนม ซึ่งจะไปช่วยลดการเจริญเติบโต
ของเชื้อเอดส์ จะช่วยลดการถ่ายทอดเอดส์จากแม่สู่ลูกในประเทศที่ยากจนได้หรือไม่
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการให้ยาต้านไวรัสเอดส์แก่แม่และลูก
เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่จะลดการติดเชื้อเอดส์ในเด็กได้จริงๆ
แล้วยังมีอีกหลายวิธีที่ไม่ได้กล่าวถึง เช่น การลดการติดเอดส์ในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นต้นตอหลักของการติดเอดส์ในเด็ก นอกจากจะแนะนำไม่ให้ติดยาเสพติด และการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
ที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่ไม่ใช่สามี หรือแม้กระทั่งกับสามี หรือการที่ถุงยางอนามัยสตรี ที่ผู้หญิงสามารถสวมไส่ได้เองโดยไม่ต้องไปวอนง้อให้ผู้ชายเป็นฝ่ายใส่ ซึ่งผู้ชายบางคนอาจไม่ยอมใส่ก็ได้
ในปัจจุบันที่มีการศึกษากันมาก คือ การใช้ยาเหน็บช่องคลอด ที่ประกอบด้วยตัวยาซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อเอดส์ได้ โดยที่ในขณะเดียวกัน
ก็ไม่ระคายเคือง หรือเป็นอันตรายต่อช่องคลอดหรือปากมดลูก ถ้าศึกษาแล้วได้ผลก็คงจะทำให้สตรีมีอำนาจในการป้องกันตนเอง
จากการร่วมเพศที่อาจไม่ปลอดภัยได้ การให้ยาต้านไวรัสเอดส์แก่ผู้ชายที่ติดเชื้อ
ก็เป็นอีกวิธีที่จะป้องกันการติดเอดส์ไปสู่ผู้หญิงได้ เพราะยาต้านเอดส์ที่แรงๆ จะช่วยลดปริมาณเอดส์ในน้ำกามลงได้มาก
การตรวจเอดส์ก่อนการมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักก่อนแต่งงาน
ก่อนการตัดสินใจที่จะมีลูก ก็เป็นมาตรการสำคัญในการป้องกันการติดเอดส์ในเด็ก
ถ้าตรวจพบก็คงต้องแนะนำว่า ไม่ให้มีบุตร แต่ก็มีสามีภรรยาอีกจำนวนมาก
ที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์อยู่ก่อน จนภรรยาตั้งครรภ์ขึ้นมา แล้วไปตรวจพบขณะคลอดหรือตอนไปฝากครรภ์ ดังนั้น ข้อแนะนำสำหรับหญิง
ที่ตั้งครรภ์คือ ให้รีบไปฝากครรภ์เสียแต่เนิ่นๆ รับการตรวจเอดส์
ถ้าพบว่าติดเชื้อเอดส์ ให้ปรึกษาแพทย์และสามีว่าจะวางแผน
กับการตั้งครรภ์ต่อไปอย่างไรดี สามีภรรยาหลายคู่อาจเลือกที่จะยุติการตั้งครรภ์
โดยขอแพทย์ทำแท้ง โดยอาจมีเหตุผลต่างๆ กัน เช่น บางคู่อาจมีลูกอยู่แล้ว บางคู่อาจไม่อยากเสี่ยงที่ลูกอาจติดเอดส์ แม้จะน้อยเพียงใดก็ตาม บางคู่อาจไม่มั่นใจว่าตัวเองหรือครอบครัวจะสามารถเลี้ยงดูลูกให้เติบโต
อย่างมีคุณภาพได้ ในเมื่อตัวเองก็ติดเอดส์อยู่ ถ้าจะตัดสินใจทำแท้ง
ก็จะได้ปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นๆ เพราะแพทย์จะไม่ทำแท้งถ้าท้องแก่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจจะทำแท้ง ขอให้เป็นการตัดสินใจของคู่สามีภรรยาเอง หลังจากปรึกษาหารือกับแพทย์ และญาติพี่น้อง หรือมิตรสนิทที่ตนเองไว้ใจแล้วเท่านั้น โดยต้องรับทราบและทำความเข้าใจกับข้อมูลและทางเลือกทุกๆ ทางให้ดี
ดูข้อดี/ข้อเสีย ของทางเลือกต่าง ๆ แล้วตัดสินใจเลือก ทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุด
สำหรับตนและครอบครัว อย่าให้ใครหลอกหรือชักจูงใจให้ทำในสิ่งที่ตนเอง
หรือสามีไม่ได้ต้องการจริงๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยด่าง หรือความเสียใจ
ไปตลอดชีวิตเลยก็ได้
ถ้าตัดสินใจว่าจะตั้งครรภ์ต่อไป คู่สามี-ภรรยา จะต้องรับทราบว่า
มีวิธีการอย่างไรบ้าง ที่จะลดโอกาสที่ลูกที่เกิดออกมาจะติดเอดส์น้อยที่สุด
เช่น การให้ยาต้านไวรัสเอดส์กับแม่และลูก การผ่าตัดทำคลอดทางหน้าท้อง และการไม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เป็นต้น ถ้าตัดสินใจจะใช้ยาต้านไวรัสเอดส์
ต้องรู้ถึงข้อดีข้อเสียของการใช้ยา วิธีการใช้ยาหรือถ้าไม่มีสตางค์จะซื้อยาได้เอง
จะไปรับยาฟรี จากหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรอะไรได้บ้าง หรือจะไปเข้าร่วมโครงการศึกษาวิจัยที่ใดได้บ้าง หรือถ้าไม่มีสตางค์จะซื้อนมผงมาเลี้ยงลูก จะไปขอรับการสงเคราะห์จากที่ใดได้บ้าง เป็นต้น
ปลายปี 2536 นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้รับทราบช่วงที่อาจเรียกได้ว่า
เป็นข่าวที่น่ายินดีที่สุด ในช่วงทศวรรษของโรคเอดส์ก็ว่าได้ เป็นข่าวของผลการศึกษาวิจัยที่ทดสอบการใช้ เอ-แซด-ที ยาต้านไวรัสเอดส์
ขนานแรกของโลก ว่าสามารถลดการถ่ายทอดเอดส์ จากแม่สู่ลูกได้ 2 ใน 3
เป็นผลการศึกษาวิจัยร่วม ของโรงพยาบาลสิบกว่าแห่งในสหรัฐอเมริกา
ใช้คนไข้กว่า 300 ราย และใช้เวลาในการศึกษาเกือบ 3 ปี ผลการศึกษาพบว่า ถ้าแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ไม่ได้ยาอะไรเลย ลูกที่เกิดมาจะติดเอดส์ประมาณร้อยละ
25 แต่ถ้าแม่ไม่ได้รับยา เอ-แซด-ที ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 14 สัปดาห์เป็นต้นไป
จนคลอดและใช้ เอ-แซด-ที กับลูกอีก 6 สัปดาห์หลังคลอด ลูกที่เกิดมาจะติดเอดส์
เพียงร้อยละ 8 ลดลงได้ 2 ใน 3 นับเป็นการค้นพบที่ใหญ่หลวงมาก
เพราะเป็นการค้นพบว่า ยาสามารถช่วยชีวิตเด็กไม่ให้ติดเอดส์ได้
ต้นปีต่อมาผลการศึกษาดังกล่าวได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก
และในปลายปีนั้น หน่วยงานสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา ก็ได้ประกาศ
ให้การใช้ยาดังกล่าว เป็นการรักษามาตรฐานที่จะให้กับแม่ที่ติดเอดส์ทุกราย
ในสหรัฐอเมริกา ถ้าต้องการเกือบทุกประเทศทั่วโลก ก็ประกาศใช้มาตรการเดียวกัน
เช่น ประเทศจีน, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, และบราซิล
ถ้าหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อเอดส์ และอยากได้ยา เอ-แซด-ที แต่ไม่มีสตางค์จะซื้อ
รัฐบาลจะจ่ายยาให้ฟรีทันที
เมื่อวันที่ 3-6 กันยายน 2540 ที่ผ่านมา 4 ปีหลังจากผลการศึกษา
การใช้ยา เอ-แซด-ที ในหญิงตั้งครรภ์ได้รับการเผยแพร่ ได้มีการประชุม
ระดับนานาชาติที่กรุงวอชิงตัน ดี ซี เพื่อติดตามประมวลผลของการใช้ยา และหากลยุทธ์จะลดการติดเอดส์ในเด็กทั่วโลก ไม่ว่าประเทศจะรวยหรือจนก็ตาม มีหมอไทยไปร่วมประชุมและเสนอผลงานกว่า 10 ราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานที่ทำในภาคเหนือตอนบนของประเทศ
จากการติดตามเด็กที่แม่ได้รับยา เอ-แซด-ที ขณะตั้งครรภ์
และตัวเด็กเองได้รับยาช่วง 6 สัปดาห์แรกของชีวิต ไม่พบว่า
เด็กมีมีความผิดปกติแต่อย่างไร เด็กบางรายได้รับการติดตามจนอายุได้
8 ขวบแล้ว เด็กที่แม้จะได้รับ เอ-แซด-ที แล้วก็ยังติดเอดส์ ก็ไม่พบว่า
โรคเอดส์จะกำเริบเร็วกว่าเด็กที่ไม่เคยได้รับยาแต่อย่างไร เชื้อในตัวเด็ก หรือในตัวแม่ก็ไม่พบว่ามีการดื้อยา เอ-แซด-ที จากการที่ได้รับยานี้ช่วงสั้นๆ
ในระหว่างการตั้งครรภ์ แล้วหยุดไป
จากรายงานพบว่า มีการใช้ยา เอ-แซด-ที ในหญิงตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา ทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรป ตัวเลขล่าสุดในปี 2540
พบว่า ประมาณร้อยละ 80-90 ของหญิงตั้งครรภ์ในประเทศเหล่านี้ ได้รับยา เอ-แซด-ที กันทำให้ตัวเลขเด็กที่ติดเอดส์ลดลงทันตาเห็น และเมื่อเทียบดูความคุ้มค่า
ของการใช้ยา เอ-แซด-ที ในการป้องกันไม่ให้เด็กติดเอดส์ กับการใช้วัคซีนป้องกันโปลิโอ
และไวรัสตับอักเสบบีในเด็กแล้ว พบว่าการให้ เอ-แซด-ที ก็แพงกว่าไม่มากนัก
ขณะนี้ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกได้เขยิบให้ยา 2 ตัวหรือ 3 ตัวร่วมกัน
ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภูมิต้านทานต่ำๆ หรือมีปริมาณไวรัสเอดส์ในเลือดมาก
โดยหวังว่าการให้ยาหลายๆ ตัวร่วมกันจะทำให้โอกาสลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก
มีมากขึ้น และระยะยาวของยาต่างๆ ในเด็กจะยังไม่ทราบชัดก็ตาม
ดังนั้น ประเด็นปัญหาของการใช้ยา เอ-แซด-ที ในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์ จึงไม่ใช่อยู่ที่ประสิทธิภาพ หรือความปลอดภัยของยา แต่อยู่ที่ค่ายาและค่าใช้จ่าย
ในการบริหารยา ซึ่งรวมถึงขบวนการในการทดสอบการติดเชื้อเอดส์ และการให้คำปรึกษาแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์ และการติดตามลูก
ตลอดจนถึงค่านมผงสำหรับเด็ก เฉพาะค่ายาของสูตร เอ-แซด-ที
ที่ใช้กันจะตกประมาณ 1,000 เหรียญในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่เมืองไทยซื้อ
เอ-แซด-ที ได้ถูกกว่า คิดแล้วจะตกประมาณ 400 เหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ
10,000 บาทไทยตอนที่ค่าเงินบาทยังไม่ตก ค่าใช้จ่ายขนาดนี้ แม้ดูจะไม่มาก แต่ก็มากอยู่สำหรับประเทศจน ๆ ในแอฟริกา แม้บางคนจะบอกว่า
ถ้ารัฐบาลซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะไป เข่นฆ่ากันน้อยลงหน่อย ก็จะสามารถซื้อยา
เอ-แซด-ที มาใช้กัน แม่และเด็กในประเทศแถบแอฟริกาใต้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายในการตรวจเอดส์และการให้คำปรึกษาแนะนำนั้น หลายประเทศถือว่าเป็นประเด็นรอง เพราะเป็นบริการที่ทุกประเทศ
จะต้องจัดให้มีขึ้นอยู่แล้ว ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเอดส์
ในประเทศนั้นๆ ไม่ว่าจะมี เอ-แซด-ที ให้ใช้หรือไม่
จากปัญหาของค่ายา เอ-แซด-ที ในสูตรที่ใช้ยังแพงอยู่
จึงได้มีผู้ทำการทดสอบสูตรยา เอ-แซด-ที ที่สั้นลงว่าจะยังได้ผลอยู่หรือไม่
หลายรายทั่วโลก เช่น แทนที่จะให้ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 14 สัปดาห์
ถ้าให้ตอนตั้งครรภ์ได้ 36-38 สัปดาห์ ซึ่งเท่ากับให้เพียง 2-4 สัปดาห์ก่อนคลอด
จะได้ผลหรือไม่ หรือถ้าไม่ให้ยากับเด็ก หรือให้สั้นลงเพียง 2 สัปดาห์
แทนที่จะเป็น 6 สัปดาห์หลังคลอด จะยังได้ผลหรือไม่ เป็นต้น ถ้าได้ผล
ก็จะประหยัดค่ายาลง ในประเทศไทยเองก็มีการศึกษาวิจัยในลักษณะนี้อยู่ 3
การศึกษาวิจัยด้วยกัน บางการศึกษาวิจัยก็เทียบกับการให้ยาหลอกด้วย
เพื่อจะได้รู้ผลเร็วขึ้น การศึกษาเหล่านี้กว่าจะรู้ผลก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย
2-3 ปี ตั้งแต่เริ่มต้น บางการศึกษาในเมืองไทยก็ปรากฏออกมาแล้วว่า
ไม่ได้ผลเพราะในช่วงสั้นเกินไป บางการศึกษาก็ยังกำลังดำเนินอยู่ หวังว่าคงจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์บ้างในการลดค่ายา
สำหรับประเทศไทยค่ายา เอ-แซด-ที ต่อแม่-ลูก คู่ละ 400 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 10,000 บาท ตอนก่อนลดค่าเงินบาท อาจจะดูไม่มากนัก
ถ้าเทียบกับประเทศจนๆ อื่นๆ แต่ถ้าต้องซื้อยาให้แม่ 20,000 คนที่ต้องการยา
ทั่วประเทศในแต่ละปี หรือปีละ 200 ล้านบาท ก็อาจต้องคิดหนักหน่อย ไหนจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเจาะเลือด การให้คำปรึกษาแนะนำ
และค่านมผงสำหรับเลี้ยงเด็ก ก็ทำให้รัฐบาลต้องยิ่งคิดหนักขึ้น ประกอบกับการถดถอยทางเศรษฐกิจในบ้านเราอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ก็เลยยิ่งไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้มากน้อยเพียงใด
กว่าจะรอให้รัฐบาลตัดสินใจ หรือกว่าผลการศึกษาวิจัยที่จะประหยัดค่ายา
จะออกมา คงจะมีเด็กไทยติดเอดส์เพิ่มขึ้นทุกวันๆ วันละ 20 คน
(ทั่วโลกมีเด็กติดเอดส์เพิ่มวันละ 1,000 คน) เมื่อปลายปี 2538 สภากาชาดไทยจึงคิดว่า น่าจะมีใครเริ่มต้นทำอะไรสักอย่างที่จะช่วยผ่อนคลายสถานการณ์นี้ลงได้บ้าง และได้นำความรู้ขึ้นกราบทูล พระเจ้าวรวงค์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรราชาธินัดดามาตุ ให้ทรงทราบเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในวโรกาสที่สภากาชาดไทยนำคณะกรรมการจัดงานเทียนส่องใจ และผู้ติดเชื้อเข้าเฝ้าเนื่องในวันเอดส์โลก วันที่ 1 ธันวาคม 2538
ต่อมาสภากาชาดไทยก็ได้ทำโครงการรณรงค์เพื่อรับบริจาคเพื่อซื้อยา เอ-แซด-ที สำหรับแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์ ซึ่งยากจนและมีความต้องการจะรับยา เอ-แซด-ที เพื่อช่วยลดการติดเอดส์ไปสู่ลูก โดยคำนวณว่าเงินหนึ่งหมื่นบาท สามารถซื้อยาให้กับแม่และลูกได้ 1 คู่
เลยอาจเรียกโครงการนี้ว่า "หมื่นบาทช่วยชีวิตเด็กไทยให้ปลอดเอดส์" โดยสภากาชาดไทยมีดำริจะทำโครงการดังกล่าว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก โดยตั้งเป้าหมายว่า
จะหาเงินบริจาค 50 ล้านบาท เพื่อซื้อยา เอ-แซด-ที แก่แม่ทั่วประเทศ 5,000 ราย
จนถึงสิ้นปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่สิ้นสุด การเฉลิมฉลองปีกาญจนาภิเษก
สภากาชาดไทย ได้นำโครงการดังกล่าวขึ้นกราบทูล พระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เพื่อรับพระราชทานแนวพระดำริ และเสนอโครงการไว้ภายใต้พระอุปถัมภ์ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2539
ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
ได้ทรงรับโครงการฯ ดังกล่าวไว้ในพระอุปถัมภ์ พร้อมประทานเงินหมื่นบาทไว้
เป็นปฐมฤกษ์ ข่าวคราวของโครงการดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ทางสื่อมวลชนทุกแขนง ได้มีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเดือนมกราคม 2540
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ยังไทรงบริจาคเงินส่วนพระองค์ทบทุนโครงการฯ อีกจำนวน 1 ล้านบาท
ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2539 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2540 มีผู้มีจิตศรัทธา
จำนวน 582 ราย บริจาคเงินมาทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 4,833,008 บาท นอกจากนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา องค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย
ก็ได้ทรงบริจาคยา เอ-แซด-ที มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท ให้กับโครงการด้วย
กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ให้การสนับสนุนยา เอ-แซด-ที
มูลค่าเกือบ 2 ล้านบาท ให้กับโครงการด้วยเช่นกัน
สภากาชาดไทย ได้เริ่มแจกจ่ายยาให้กับโรงพยาบาลต่างๆ
ที่ขอยาเข้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2539 จำนวนโรงพยาบาล และจำนวนผู้ป่วย
ที่ขอเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงสิ้นสุดเดือนสิงหาคม 2540 มีผู้ป่วยที่ขอยา
เข้ามาทั้งสิ้น 1,040 รายจาก 57 โรงพยาบาลใน 35 จังหวัดทั่วประเทศในจำนวนนี้ มีเด็กที่คลอดออกมาแล้ว 552 ราย จากการติดตามผลเลือดในเบื้องต้นของทารก
ที่คลอดออกมา 202 ราย โดยเป็นทารกที่มีอายุตั้งแต่ 1 สัปดาห์ขึ้นไป 134 รายพบว่ามีการติดเชื้อเอดส์เพียง 11 ราย หรือคิดเป็นอัตราการติดเชื้อเพียง 8.2% ซึ่งน้อยลงกว่าเดิมประมาณ 3 เท่าตัว หรือพูดอักนัยหนึ่ง จนถึงขณะนี้
จากแม่ที่ได้รับยา 1,040 ราย
โครงการนี้สามารถช่วยชีวิตเด็กไทยไว้ได้แล้วประมาณ 160-200 ราย จึงเป็นความภูมิใจที่โครงการดังกล่าวของสภากาชาดไทย ได้รับการกล่าวขวัญถึง
3 ครั้ง โดยผู้อภิปราย 3 คน ในพิธีเปิดการประชุมนานาชาติที่กรุงวอชิงตัน ดีซี
เมื่อวันที่ 3-6 กันยายน 2540 ว่าเป็นตัวอย่างของความคิดริเริ่ม ที่ประเทศต่างๆ สามารถนำไปเป็นตัวอย่างได้ที่เอกชนหรือองค์กรสาธารณกุศลจะร่วมมือกับราชวงศ์ และรัฐบาลในความพยายามที่จะลดการติดเชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูก
ก่อนที่ความช่วยเหลือของรัฐจะไปถึง
จากการที่ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการออกไปประเมินผล
โครงการบริจาคยา เอ-แซด-ที ของสภากาชาดไทยที่โรงพยาบาล 4 แห่ง
ที่ขอรับยาเข้ามามากที่สุด ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี
ณ ศรีราชา, โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา, โรงพยาบาลตำรวจ และ
โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี พบว่าประเด็นสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของโครงการคือ การที่ผู้บริหารของโรงพยาบาลมีนโยบายที่เด่นชัดที่จะดำเนินการในเรื่องนี้
ประกอบกับมีสูติแพทย์ และกุมารแพทย์ที่มีความสนใจ และตั้งใจที่จะดำเนินการเพื่อลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก และที่สำคัญที่สุดคือ การมีเจ้าหน้าที่ระดับพยาบาล ซึ่งรับผิดชอบด้านการให้คำปรึกษาแนะนำ
การแจกจ่ายยา และการติดตามพร้อมอำนวยความสะดวกแก่คนไข้โดยตรง
ซึ่งแน่นอน ย่อมต้องอาศัยระบบการบริหารจัดการที่ดีของโรงพยาบาล
หลายโรงพยาบาล มีโครงการที่อยากจะทำไกลไปกว่านั้น เช่น การดูแลแม่
ที่ติดเชื้อหลังการตั้งครรภ์ และการดูแลลูกที่ติดเชื้อ เป็นต้น กระทรวงสาธารณสุขหวังว่า ข้อมูลที่ได้จากโรงพยาบาลตัวอย่างทั้ง 4 แห่ง จะได้นำไปสู่การปรับปรุง
ระบบการบริการในโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ของรัฐต่อไป เพื่อให้มีโรงพยาบาล
ที่มีความพร้อม ที่จะให้บริการแก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
จากผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา ของโครงการรับบริจาค
และจ่ายยาเพื่อช่วยลดการติดเชื้อเอดส์จากแม่สู่ลูกของสภากาชาดไทย ซึ่งร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ได้ข้อมูลว่า
มีประชาชนที่สนใจจะบริจาค เพื่อซื้อยาให้กับแม่ที่ยากจน มีโรงพยาบาลหลายแห่งทั่วประเทศที่ต้องการจะใช้ยา และมีความพร้อม
ในการบริหารจัดการซึ่งรวมถึงการตรวจเอดส์ และการให้คำปรึกษาแนะนำ
แก่แม่ที่ติดเชื้อ และการติดตามทารกหลังคลอดเพื่อดูผลของการใช้ยา
และวิธีการให้ยา ซึ่งดัดแปลงจากสูตรเดิมเล็กน้อยก็ได้ผลดีในคนไทย
ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้รัฐวางแผนการดำเนินงาน
ที่จะครอบคลุมถึงหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อทั่วประเทศต่อไปในอนาคต
ได้อย่างมีประสิทธิผล และแม้รัฐจะสามารถให้บริการแก่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อทุกคน
ได้ในอนาคต กระทรวงสาธารณสุขก็ยังอยากเห็นการรณรงค์ของสภากาชาดไทย
ในเรื่องนี้ดำเนินต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อยากให้เน้นการรณรงค์ในระดับท้องถิ่น
เช่น ระดับจังหวัด เพื่อให้ประชาชนมีความตระหนักในการป้องกันตนเองและครอบครัว และมีความรู้สึกร่วมในการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก แทนที่จะรอรับบริการที่รัฐยื่นให้แต่ฝ่ายเดียว
จึงเป็นความภาคภูมิใจของทุก ๆ คนที่มีส่วนร่วมกันในโครงการนี้
ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค
ขอบคุณนิตยสารใกล้หมอ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่
[ BACK TO LIST]
มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]
Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600