|
เชื้อไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องที่รู้จักกันดีว่าก่อให้เกิดโรคเอดส์นั้น
ปัจจุบันยังคงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าคนจะมีความรู้เรื่อง
การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยขึ้นด้วยการใช้ถุงยางอนามัย
และการใช้ยาชะลอการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีที่เพิ่งค้นพบ
องค์อนามัยโลก (WORLD HEALTH ORGANIZATION)
รายงานว่า ปัจจุบันประชากรทั่วโลกที่ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 23 ล้านคน จำนวนนี้มีทั้งชายหญิงและเด็ก ตามสถิติ 8.5 ล้านคน เชื้อเอชไอวี
ได้พัฒนาไปถึงขั้นเป็นเอดส์ นับตั้งแต่โรคเอดส์เริ่มเป็นที่รู้จัก
สำหรับผู้ที่มีอาชีพทันตแพทย์ ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
จากน้ำเมือกน้ำลายในช่องปากผู้ป่วย เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องคำนึงถึงมาก การแพร่เชื้อจากการสัมผัสเยื่อบุอวัยวะอื่นๆ ขณะมีเพศสัมพันธ์
เป็นวิธีติดเชื้อได้โดยตรงและง่ายที่สุด ช่องปากเป็นอวัยวะ
ที่มีการแพร่เชื้อโรคโดยทางอ้อม ยกเว้นกรณีการให้นมบุตรหลังคลอด
และที่เป็นไปได้คือ การสัมผัสระหว่างปากและอวัยวะเพศ
(ORALGENITAL CONTACT)
ผลการวิจัยเกี่ยวกับการแพร่เชื้อยืนยันว่า การสัมผัสโดยทั่วไป
(Casual Contract) เช่น การกอด จูบที่ปากและแก้ม รวมทั้งการรับประทานอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน
ไม่สามารถทำให้เป็นเอดส์ได้
การตรวจน้ำลายเพื่อหาเชื้อเอชไอวี โดยใช้เทคนิค
ที่ไวต่อการวัดปริมาณเชื้อโรคในระดับโมเลกุลพิเศษ เช่น
PCR (POLYMERASE CHAINREACTION) สามารถตรวจพบเชื้อไวรัส
ขณะที่เจาะเข้าสู่เซลล์ของมนุษย์เพื่อขยายพันธุ์ในร่างกายมนุษย์
ในปริมาณที่ต่ำกว่าที่พบในน้ำเลือด (Plasma) สันนิษฐานว่า ไวรัสเอชไอวีเข้าสู่ช่องปากและอาจมีการแพร่พันธุ์ในช่องปาก
หรือช่องท้องส่วนบนมีความเป็นไปได้
เชื้อไวรัสเอชไอวีจำเป็นต้องอาศัยเซลล์ของผู้ที่ติดเชื้อ (HOST)
ในการแพร่พันธุ์ เซลล์ของผู้ที่ถูกไวรัสคุกคามก็คือ เซลล์ที่ปกติ
จะทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันโรคนั่นเอง เช่น เซลล์ของต่อมน้ำเหลือง
Macrophage และ Langeshans ที่ผลิตจากตับอ่อน
แต่ในช่องปากเซลล์ส่วนใหญ่เป็น Epithelial Cell
ซึ่งไม่มีรีเซปเตอร์ (RECEPTOR) ที่จำรับเชื้อ มีน้อยรายจะพบว่า เซลล์ในช่องปากมีการติดเชื้อเอชไอวี นอกจากกรณีมีแผลถลอก
หรือมีเหงือกอักเสบเอชไอวีเข้าไปอาศัยขยายพันธุ์ได้ ต่อมทอนซิล
และอะดีนอยด์ส์ (Adenoids) ซึ่งเต็มไปด้วยเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ
เป็นเป้าหมาย (Target cell) ที่เชื้อเอชไอวีจะใช้เป็นที่แพร่พันธุ์ การขูดเยื่อทอนซิลไปตรวจอาจจะพบเชื้อเอชไอวีได้
ทั้งในผู้ป่วยที่ยังไม่แสดงอาการและผู้ที่เป็นเอดส์แล้ว
การวิจัยตรวจปริมาณเอชไอวีในน้ำลาย ปรากฏว่า มีหลายกรณีที่พบเชื้อไวรัสเอชไอวีสูงกว่าที่พบในน้ำอสุจิและในเลือดด้วย
ที่น่าสงสัยคือ เหตุใดการติดเชื้อเอชไอวีในช่องปากจึงมีน้อย เหตุผลคือ เนื้อเยื่อบุผนังในช่องปากที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่มีการถลอกเป็นตัวกั้น
(Membrane Barrics) และมีน้ำลายหล่อลื่นผิวของเยื่อบุช่องปาก
ทำหน้าที่เจือจางไวรัสและนำไวรัสไปสู่ทางเดินอาหาร
เพื่อลดความรุนแรงของเชื้อและกำจัดเชื้อ
การติดเชื้อเอชไอวีไวรัสจากช่องปาก จะเกิดขึ้นได้
กรณีที่มีเลือดปนอยู่กับน้ำลายของผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี ถูกถ่ายทอดไปยังผู้ที่ไม่มีเชื้อเอชไอวีโดยการถูกกัด
ในช่องปากมีแอนตี้บอดี้ (ภูมิคุ้มกัน) พวก Immunoglobulein Ig A,
Ig G และ Ig M อยู่ในน้ำลายเช่นเดียวกับส่วนอื่นของร่างกาย นอกจากนี้น้ำลายยังมีโปรตีนหลายชนิดทำหน้าที่ล้อมเชื้อไวรัส
มิให้เข้าสู่เซลล์ของร่างกาย เช่น SLP (Secretory Leukocyta Protease
Inhibitor) ซึ่งผลิตจากต่อมน้ำลายข้างแก้ม (Parotid Gland) เพื่อสกัดกั้นการเจาะของเชื้อเอชไอวีเข้าไปในเซลล์ของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม กลไกการป้องกันเชื้อไวรัสโดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย
มิใช่ว่าจะสามารถต้านทานโรคได้เสมอไป หากได้รับเชื้อโรคในปริมาณมาก
(เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ปาก-ORAL SEX) หรือสภาพของ
เยื่อบุผนังช่องปากมีรอยแผลถลอก หรือมีการอักเสบ
เช่นเหงือกอักเสบ
ขณะที่กำลังเขียนเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงคดีอื้อฉาวทางเพศ
ของประธานาธิบดีสหรัฐ บิล คลินตัน ว่าผู้ชายคิดแต่ความสนุกส่วนตัวเป็นสำคัญ
นอกเหนือความรูสึกรับผิดชอบต่อครอบครัวฉะนั้นหรือ ? |