มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET

ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ http://i.am/thaidoc หรือ http://hey.to/yimyam


 

 

มะเร็งลำไส้ใหญ่

 

ที่สหรัฐอเมริกานั้น มะเร็งของลำไส้ใหญ่เป็นสาเหตุการตาย เนื่องจากมะเร็งเป็นอันดับที่สอง รองจากมะเร็งปอด ประเทศไทยซึ่งคนไทยเริ่มมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตและบริโภคอาหาร แบบชาวตะวันตก ทำให้อันตราการเป็นมะเร็งชนิดนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ แล้ว

ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนท้ายสุดของทางเดินอาหาร (ซึ่งเริ่มที่ปาก) ทำหน้าที่เก็บเศษอาหาร ที่ผ่านการย่อยและดูดซึมมาแล้ว เพื่อเตรียมการขจัดออกจากร่างกายในรูปของอุจจาระ

ลำไส้ใหญ่มีความยาวต่อเนื่องราว 4-6 ฟุต ประกอบขึ้นด้วยลำกล้ามเนื้อโดยรอบ แบ่งตามลักษณะที่ตั้งออกได้เป็น 4 ส่วนคือ

 

1. ลำไส้ใหญ่ส่วนต้น (ascending colon) ซึ่งอยู่ทางด้านขวาของช่องท้อง

2. ลำไส้ใหญ่ส่วนขวาง (transverse colon) ซึ่งผ่านจากด้านขวาไปยังด้านซ้าย เพื่อไปต่อกับส่วนที่ 3 คือ

3. ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (descending colon) อยู่ทางด้านซ้ายของช่องท้อง ซึ่งพอลงมาถึงบริเวณท้องน้อยจะขด เป็นรูป S เรียกว่า

4. ลำไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์ (sigmoid colon) ซึ่งจะไปต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนท้ายคือ

5. ลำไส้ตรง (rectum) ส่วนนี้จะเปิดออกสู่โลกภายนอก โดยต่อกับทวารหนัก (anus)

ในจำนวนคนเกือบ 130,000 คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแต่ละปีที่สหรัฐอเมริกานั้น เกือบ 50,000 คนจะเสียชีวิตด้วยเหตุนี้ วงการแพทย์จึงพยายามพัฒนาหาวิธีสำรวจหาปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้คนเป็นมะเร็งชนิดนี้ ตลอดจนหาวิธีตรวจวินิจฉัยโรคให้พบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพื่อจะได้รักษาให้หายขาดได้ หนึ่งในวิธีตรวจคัด (screening) หาโรคนี้คือการส่องกล้อง เข้าไปตรวจดูโพรงลำไส้ใหญ่ตลอดความยาวทั้งหมด เรียกว่า โคโลโนสโคปี (colonoscopy) ซึ่งทำให้แพทย์ได้ความรู้ว่าคนเราพอแก่ตัวลงจะมีโอกาสเกิดเนื้องอกขึ้น ภายในโพรงลำไส้ใหญ่ โดยแรกๆ จะยังเป็นเนื้องอกไม่ร้ายเรียกว่า " โฟลิป " (polyp) เนื้องอกนี้ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอาการหรือทำอันตรายใดๆ แต่บางชนิดมีศักยภาพที่จะกลายเป็นเนื้อร้ายได้ ตรงนี้เองที่พวกเราทั้งหลายต้องมอบความไว้วางใจให้แก่หมอที่ส่องกล้องตรวจ โดยหมอจะพิจารณาตัด เนื้องอกออก (การส่องกล้อง) โดยไม่ต้องผ่าตัดเข้าไปในท้องวิธีตัดก็โดยใช้อุปกรณ์คล้องเนื้องอกแล้ว ใช้ไฟฟ้าจี้ตัดออกมาโดยทั้งหมดนี้ทำผ่านกล้องส่องที่ยังคาอยู่ในลำไส้ใหญ่ของเรา ทั้งนี้ส่วนใหญ่ จะไม่รู้สึกเจ็บแต่จะมีอาการอึดอัด ปวดท้องถ่ายหรือรู้สึกอายเสียมากกว่า

จากการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันอายุ 60 ปีขึ้นไปเกือบครึ่งหนึ่งจะมีเนื้องอกโพลิปอยู่ในลำไส้ใหญ่ แล้วเซลล์ในโพลิปบางเซลล์ประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรกว่าเพื่อน มีการแปลงโฉมกลายพันธุ์ และแบ่งตังอย่างไม่เชื่อฟังคำสั่งใครทั้งสิ้น มากๆ เข้าก็เกิดเป็นตุ่มเนื้อมะเร็งขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ทั้ง 4 ส่วนที่กล่าวมาแล้วก็ได้

เขาจึงแบ่งระยะของการเป็นมะเร็งออกเป็น 5 ระยะคือ

 

ระยะ 0 (stage 0) เซลล์มะเร็งยังเติบโต อยู่ในชั้นเยื่อบุลำไส้ใหญ่

ระยะที่ 1 (stage 1) เซลล์มะเร็งลุกลาม ผ่านทะลุชั้นเยื่อบุแต่ยังไม่ทะลุตลอดผนังของ ลำไส้ใหญ่

ระยะที่ 2 (stage 2) มะเร็งลุกลาม ผ่านทุกชั้นของผนังลำไส้ใหญ่แล้วแต่ยังไม่ลุกลาม ไปที่ต่อมน้ำเหลืองข้างเคียง

ระยะที่ 3 (stage 3) มะเร็งลุกลาม ไปที่ต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงแล้วแต่ยังไม่ลุกลาม ไปสู่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย

ระยะที่ 4 (stage 4) มะเร็งลุกลาม ไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ตับ, ปอด, เยื่อบุช่องท้อง และรังไข่

การวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าสามารถรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่ง ขนาด ชนิดของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรคที่เป็นอยู่ จะช่วยบอกการพยากรณ์ของโรคได้ดีมาก ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามะเร็งก้อนที่เป็นอยู่นั้นยังไม่ลุกลามออกนอกโพรงลำไส้ใหญ่ ยังไม่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว โอกาสที่จะผ่าตัดรักษาจนหายขาดก็มี และที่สำคัญคืออัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี (5 year survival rate) (ซึ่งเป็นอัตราที่เขาใช้กันเวลากล่าวถึงมะเร็ง) จะสูงถึง 90% แต่ถ้ามะเร็งลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้ว อัตรารอดชีวิตที่ 5 ปี จะลดเหลือ 65% หรือต่ำกว่านั้น

ข้อดีเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่คือ ส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตอย่างช้าๆ บางรายอาจแฝง อยู่ในร่างกายเกือบ 10 ปี แล้วยังอยู่ในสภาพที่ผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้ เพราะมันยังไม่ลุกลามจนเกินขีดความสามารถ ในการรักษา

การที่มันโตช้าทำให้ไม่ค่อยก่ออาการในระยะแรกๆ แพทย์จึงต้องใช้วิธีเชิงรุก ในการออกค้นหามะเร็งตั้งแต่ก่อนที่อาการจะปรากฏเขาเรียกกระบวนการนี้ว่า การตรวจคัด (screening) ซึ่งมีหลายวิธี ยากง่ายต่างกัน ค่าใช้จ่ายก็ต่างกัน เช่น

1. การตรวจทวารหนักด้วยมือ (digital rectal examination)

วิธีนี้หมอจะใส่ถุงมือแล้วทาน้ำมันหล่อลื่น เช่น วาสลีนหรือเควายเจลลี ที่นิ้วชี้ก่อสอดนิ้วเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ วิธีนี้ใช้ตรวจหามะเร็งส่วนลำไส้ตรงและทวารหนักเท่านั้น

2. การตรวจหาเลือดที่แฝงมากับอุจจาระ (fecal occult blood test)

วิธีนี้เขานำอุจจาระของเราไปตรวจดูด้วยกระบวนการทางเคมีว่ามีเลือดปน อยู่ในอุจจาระของเราหรือไม่ จัดเป็นการตรวจทางอ้อม และเนื่องจากมะเร็งไม่มีเลือดออกทุกกรณีไป การตรวจไม่พบเลือด จึงไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นมะเร็ง ขณะเดียวกัน การตรวจพบเลือดก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งทุกรายไป คือบางคนอาจเป็นแค่ริดสีดวงทวารหนัก บางคนรับประทานอาหารบางอย่างแล้วใช้ปฏิกิริยาเป็นผลบวก จนเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดได้ เช่น คนที่รับประทานยาบำรุงที่มีธาตุเหล็กอยู่ด้วย เป็นต้น

การตรวจคัดด้วยกล้องลำไส้ใหญ่ จะช่วยให้คุณหมอ

ตรวจดูโพรงลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมดอย่างชัดเจนและแม่นยำ

 


ภาพแสดงโพลิปที่กลายเป็นมะเร็ง
แต่ตัดออกได้ผ่านกล้องส่อง


ในวิธีตัดโพลิปออกโดยใช้ลวดคล้อง

3. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่

แต่เดิมจะเป็นกล้องแบบตรงและแข็งมีความยาวเพียง 25 เซนติเมตร เรียกว่า กล้องส่องลำไส้ใหญ่ซิกมอยด์ (sigmoidoscope) เวลาสอดเข้าไปทางทวารหนัก ส่วนใหญ่จะไม่เจ็บ แต่จะรู้สึกอึดอัดอยากถ่ายอุจจาระ ก่อนส่องจะต้องสวนอุจจาระออกให้หมดจึงจะตรวจดูได้ตลอดลำไส้ตรง และลำไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์

ต่อมา วงการแพทย์ได้พัฒนากล้องขนาดเล็กลงที่งอโค้งได้ตามแต่จะบังคับให้เลื้อยเข้าไป ดูโพรงลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด เรียกว่า กล้องส่องลำไส้ใหญ่ (colonoscope) กล้องนี้จะต่อเข้ากับ กล้องถ่ายภาพวิดีโอ ทำให้หมอเห็นโพรงลำไส้อย่างชัดเจน หากพบชิ้นเนื้อที่ผิดปกติ ก็สามารถตัดออกมาส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือเนื้องอกธรรมดา หรือเป็นการอักเสบระหว่างการตรวจ วิธีนี้หมอมักจะให้ยากล่อมประสาทเพื่อทำให้เราผ่อนคลาย ไม่กังวล ไม่รู้สึกเจ็บ หรือบางทีไม่รู้ว่าหมอทำอะไรจนเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วก็มี

4. การสวนแป้งแบเรียมเพื่อการถ่ายภาพรังสี (barium engma)

วิธีนี้รังสีแพทย์จะใส่แป้งน้ำที่เป็นสารทึบแสงเข้าทางทวารหนักผสมกับอากาศ แล้วถ่ายภาพรังสีเป็นระยะๆ เพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร

จะเห็นได้ว่ามีวิธีตรวจคัดหลายแบบ หมอจะเป็นผู้พิจารรษเลือกทำโดยบางราย อาจทำหลายวิธีมาประกอบการวินิจฉัย ทั้งนี้หมออาจพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ คือ

·         อายุ คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่คือราว 90% จะมีอายุเกิน 50 ปี

·         เพศ, เผ่าพันธุ์ ในชาวอเมริกันนั้นผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มากกว่าผู้หญิง คนผิวดำจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนผิวขาว แต่คนผิวดำในทวีปอัฟริกา กลับมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำมาก ดังนั้นความเสี่ยงเชิงเผ่าพันธุ์ จึงขึ้นกับว่าอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมหรือเปล่า

·         อาหาร อาหารที่อุดมด้วยไขมันและแคลอรี ในขณะที่มีเส้นใยอาหารน้อย (เช่น ข้าวกล้อง ผัก และผลไม้) จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง

·         เนื้องอกโพลิป ถ้ามีเนื้องอกโพลิปอยู่ด้วยก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น

·         ประวัติครอบครัว คนที่มีญาติสนิทที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็จะมีปัจจัยเสี่ยงสูงขึ้น เช่น ถ้ามีน้องเป็นมะเร็งลำไส้ตรงคนหนึ่งแล้ว คนที่เหลือก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งแบบเดียวกัน ได้ราว 10-15%

·         การออกกำลังกาย ผู้ที่มีกิจกรรมที่ใช้กำลังกายปานกลางจะมีความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยลง

·         แอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ คนที่บริโภคทั้งสองอย่างนี้รวมกันจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่สูบบุหรี่แต่ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์โดยบริโภคอาหารที่อุดมด้วยผัก และผลไม้จะยังมีความเสี่ยงต่ำ

·         โรคของลำไส้ บางอย่างทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

อาการและอาการแสดง

มะเร็งลำไส้ใหญ่อาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้จนกว่าก้อนมะเร็งจะโตมาก และปรากฏอาการต่างๆ เช่น

·         ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน

·         อุปนิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น เคยถ่ายอุจจาระทุกวันก็เปลี่ยนไปมีอาการท้องผูก

·         อุจจาระมีขนาดเล็กลง

·         ปวดมวนท้อง

·         ปวดถ่ายอุจจาระบ่อยๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

·         โลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก

·         น้ำหนักลดโดยไม่ทราบเหตุ

นอกจากนี้ยังพบว่า อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ก้อนมะเร็งตั้งอยู่ เช่น ถ้าเป็นมะเร็งที่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ซึ่งอุจจาระยังเหลวมากนั้น อาการจะปรากฏในรูปของเลือดออก โลหิตจาง อ่อนเพลีย ใจสั่น หายใจลำบาก ถ้าเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนขวางอาจปรากฏอาการปวดท้อง ท้องอืด เลือดออก ส่วนมะเร็งที่สำไส้ใหญ่ส่วนปลาย และลำไส้ตรงอาจปรากฏอาการแสดงของอุจจาระ ที่มีก้อนเล็กลง การขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ ปวดท้องถ่าย

มะเร็งของลำไส้ใหญ่ทุกส่วนมีโอกาสปล่อยเลือดออกมาทั้งเลือดสดๆ หรือเลือดเก่า จึงขอให้สังเกตดู หากมีลักษณะสีของอุจจาระเปลี่ยนไปขอให้ปรึกษาคุณหมอทันที

การรักษา

การผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ส่วนที่มีมะเร็งออกยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดและมีโอกาสหายขาดมากที่สุด ปัญหาจะเกิดขึ้นในกรณีที่มะเร็งอยู่ใกล้ทวารหนักมาก ทำให้ศัลยแพทย์ไม่อาจเย็บลำไส้ ต่อกลับให้เหมือนเดิมได้ กรณีเช่นนี้อาจหมายถึงการย้ายทวารหนักไปไว้ที่ท้องน้อย แล้วใส่ถุงคาดเอวไว้รองรับ

ด้วยเหตุนี้การตรวจคัดลำไส้ใหญ่เพื่อหาเนื้องอกชนิดธรรมดาที่เรียกว่า โพลิปจึงช่วยให้หมอตัดออกแต่เนิ่นๆ ก่อนเนื้องอกกลายเป็นมะเร็ง

เคมีบำบัดและรังสีรักษา

ใช้ประกอบกับการผ่าตัดเพื่อลดโอกาสกำเริบของมะเร็งและโอกาสรอดชีวิตยืนยาวขึ้น

หลังการผ่าตัดแล้ว จะต้องพบคุณหมอเป็นระยะๆ เพื่อติดตามดูว่าไม่มีเนื้องอกกำเริบหรือกลับเป็นใหม่

การป้องกันหรือการลดความเสี่ยง

แม้จะยังไม่มีวิธีกำจัดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 100% แต่ก็มีวิธีลดความเสี่ยงลงได้ เช่น

·         บริโภคอาหารที่อุดมด้วยผักและผลไม้เพื่อให้มีเส้นใยหรือกากอาหารมากขึ้น อุจจาระจะมีขนาดโตขึ้น จนขับถ่ายง่ายขึ้น ไม่คั่งค้างในลำไส้ใหญ่นานเกินไป จนปล่อยสารเคมีที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่

·         ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะได้ทั้งการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังช่วยลดความอ้วน

·         การใช้ฮอร์โมนเสริมในหญิงวัยหมดประจำเดือน

ปัจจุบันนี้วงการแพทย์แนะนำให้คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปปรึกษาคุณหมอ เพื่อช่วยพิจารณาความเสี่ยงแล้วให้รับการส่องกล้องตรวจดูลำไส้ใหญ่ปีละครั้ง เพื่อตรวจคัดว่ามีมะเร็งหรือโพลิปหรือไม่เพื่อจะได้วินิจฉัยและรักษาให้หายขาดได้แต่เนิ่นๆ

นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์

(update 28 มีนาคม 2001)


[