|
|
มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์
ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ http://i.am/thaidoc หรือ http://hey.to/yimyam
|
ที่สหรัฐอเมริกานั้น มะเร็งของลำไส้ใหญ่เป็นสาเหตุการตาย
เนื่องจากมะเร็งเป็นอันดับที่สอง รองจากมะเร็งปอด ประเทศไทยซึ่งคนไทยเริ่มมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตและบริโภคอาหาร
แบบชาวตะวันตก ทำให้อันตราการเป็นมะเร็งชนิดนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ แล้ว ลำไส้ใหญ่เป็นส่วนท้ายสุดของทางเดินอาหาร (ซึ่งเริ่มที่ปาก) ทำหน้าที่เก็บเศษอาหาร
ที่ผ่านการย่อยและดูดซึมมาแล้ว เพื่อเตรียมการขจัดออกจากร่างกายในรูปของอุจจาระ ลำไส้ใหญ่มีความยาวต่อเนื่องราว 4-6
ฟุต ประกอบขึ้นด้วยลำกล้ามเนื้อโดยรอบ แบ่งตามลักษณะที่ตั้งออกได้เป็น
4 ส่วนคือ
ในจำนวนคนเกือบ 130,000 คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในแต่ละปีที่สหรัฐอเมริกานั้น เกือบ 50,000
คนจะเสียชีวิตด้วยเหตุนี้
วงการแพทย์จึงพยายามพัฒนาหาวิธีสำรวจหาปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้คนเป็นมะเร็งชนิดนี้
ตลอดจนหาวิธีตรวจวินิจฉัยโรคให้พบตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เพื่อจะได้รักษาให้หายขาดได้
หนึ่งในวิธีตรวจคัด (screening) หาโรคนี้คือการส่องกล้อง เข้าไปตรวจดูโพรงลำไส้ใหญ่ตลอดความยาวทั้งหมด
เรียกว่า โคโลโนสโคปี (colonoscopy) ซึ่งทำให้แพทย์ได้ความรู้ว่าคนเราพอแก่ตัวลงจะมีโอกาสเกิดเนื้องอกขึ้น ภายในโพรงลำไส้ใหญ่
โดยแรกๆ จะยังเป็นเนื้องอกไม่ร้ายเรียกว่า " โฟลิป
" (polyp) เนื้องอกนี้ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอาการหรือทำอันตรายใดๆ
แต่บางชนิดมีศักยภาพที่จะกลายเป็นเนื้อร้ายได้ ตรงนี้เองที่พวกเราทั้งหลายต้องมอบความไว้วางใจให้แก่หมอที่ส่องกล้องตรวจ
โดยหมอจะพิจารณาตัด เนื้องอกออก (การส่องกล้อง) โดยไม่ต้องผ่าตัดเข้าไปในท้องวิธีตัดก็โดยใช้อุปกรณ์คล้องเนื้องอกแล้ว
ใช้ไฟฟ้าจี้ตัดออกมาโดยทั้งหมดนี้ทำผ่านกล้องส่องที่ยังคาอยู่ในลำไส้ใหญ่ของเรา
ทั้งนี้ส่วนใหญ่ จะไม่รู้สึกเจ็บแต่จะมีอาการอึดอัด
ปวดท้องถ่ายหรือรู้สึกอายเสียมากกว่า จากการสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันอายุ 60
ปีขึ้นไปเกือบครึ่งหนึ่งจะมีเนื้องอกโพลิปอยู่ในลำไส้ใหญ่ แล้วเซลล์ในโพลิปบางเซลล์ประพฤติตัวเกกมะเหรกเกเรกว่าเพื่อน
มีการแปลงโฉมกลายพันธุ์ และแบ่งตังอย่างไม่เชื่อฟังคำสั่งใครทั้งสิ้น มากๆ
เข้าก็เกิดเป็นตุ่มเนื้อมะเร็งขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ทั้ง
4 ส่วนที่กล่าวมาแล้วก็ได้ เขาจึงแบ่งระยะของการเป็นมะเร็งออกเป็น 5 ระยะคือ
การวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่นี้ ถ้าสามารถรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่ง
ขนาด ชนิดของเซลล์มะเร็ง ระยะของโรคที่เป็นอยู่ จะช่วยบอกการพยากรณ์ของโรคได้ดีมาก
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามะเร็งก้อนที่เป็นอยู่นั้นยังไม่ลุกลามออกนอกโพรงลำไส้ใหญ่
ยังไม่กระจายสู่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว โอกาสที่จะผ่าตัดรักษาจนหายขาดก็มี
และที่สำคัญคืออัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปี (5 year survival rate) (ซึ่งเป็นอัตราที่เขาใช้กันเวลากล่าวถึงมะเร็ง)
จะสูงถึง 90% แต่ถ้ามะเร็งลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้ว อัตรารอดชีวิตที่
5 ปี จะลดเหลือ 65% หรือต่ำกว่านั้น ข้อดีเกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่คือ ส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตอย่างช้าๆ
บางรายอาจแฝง อยู่ในร่างกายเกือบ 10 ปี แล้วยังอยู่ในสภาพที่ผ่าตัดรักษาให้หายขาดได้
เพราะมันยังไม่ลุกลามจนเกินขีดความสามารถ ในการรักษา การที่มันโตช้าทำให้ไม่ค่อยก่ออาการในระยะแรกๆ
แพทย์จึงต้องใช้วิธีเชิงรุก ในการออกค้นหามะเร็งตั้งแต่ก่อนที่อาการจะปรากฏเขาเรียกกระบวนการนี้ว่า
การตรวจคัด (screening) ซึ่งมีหลายวิธี ยากง่ายต่างกัน ค่าใช้จ่ายก็ต่างกัน
เช่น 1. การตรวจทวารหนักด้วยมือ (digital rectal examination) วิธีนี้หมอจะใส่ถุงมือแล้วทาน้ำมันหล่อลื่น เช่น วาสลีนหรือเควายเจลลี ที่นิ้วชี้ก่อสอดนิ้วเข้าไปทางทวารหนักเพื่อตรวจคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่
วิธีนี้ใช้ตรวจหามะเร็งส่วนลำไส้ตรงและทวารหนักเท่านั้น 2. การตรวจหาเลือดที่แฝงมากับอุจจาระ (fecal occult blood test) วิธีนี้เขานำอุจจาระของเราไปตรวจดูด้วยกระบวนการทางเคมีว่ามีเลือดปน อยู่ในอุจจาระของเราหรือไม่
จัดเป็นการตรวจทางอ้อม และเนื่องจากมะเร็งไม่มีเลือดออกทุกกรณีไป การตรวจไม่พบเลือด
จึงไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นมะเร็ง ขณะเดียวกัน
การตรวจพบเลือดก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นมะเร็งทุกรายไป คือบางคนอาจเป็นแค่ริดสีดวงทวารหนัก
บางคนรับประทานอาหารบางอย่างแล้วใช้ปฏิกิริยาเป็นผลบวก จนเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดได้
เช่น คนที่รับประทานยาบำรุงที่มีธาตุเหล็กอยู่ด้วย เป็นต้น
3. การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ แต่เดิมจะเป็นกล้องแบบตรงและแข็งมีความยาวเพียง 25 เซนติเมตร เรียกว่า กล้องส่องลำไส้ใหญ่ซิกมอยด์ (sigmoidoscope) เวลาสอดเข้าไปทางทวารหนัก ส่วนใหญ่จะไม่เจ็บ แต่จะรู้สึกอึดอัดอยากถ่ายอุจจาระ
ก่อนส่องจะต้องสวนอุจจาระออกให้หมดจึงจะตรวจดูได้ตลอดลำไส้ตรง และลำไส้ใหญ่ส่วนซิกมอยด์ ต่อมา
วงการแพทย์ได้พัฒนากล้องขนาดเล็กลงที่งอโค้งได้ตามแต่จะบังคับให้เลื้อยเข้าไป ดูโพรงลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด
เรียกว่า กล้องส่องลำไส้ใหญ่ (colonoscope) กล้องนี้จะต่อเข้ากับ กล้องถ่ายภาพวิดีโอ
ทำให้หมอเห็นโพรงลำไส้อย่างชัดเจน หากพบชิ้นเนื้อที่ผิดปกติ ก็สามารถตัดออกมาส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
เพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือเนื้องอกธรรมดา หรือเป็นการอักเสบระหว่างการตรวจ
วิธีนี้หมอมักจะให้ยากล่อมประสาทเพื่อทำให้เราผ่อนคลาย ไม่กังวล ไม่รู้สึกเจ็บ
หรือบางทีไม่รู้ว่าหมอทำอะไรจนเสร็จสิ้นกระบวนการแล้วก็มี 4. การสวนแป้งแบเรียมเพื่อการถ่ายภาพรังสี (barium engma)
วิธีนี้รังสีแพทย์จะใส่แป้งน้ำที่เป็นสารทึบแสงเข้าทางทวารหนักผสมกับอากาศ
แล้วถ่ายภาพรังสีเป็นระยะๆ เพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่ อย่างไร จะเห็นได้ว่ามีวิธีตรวจคัดหลายแบบ หมอจะเป็นผู้พิจารรษเลือกทำโดยบางราย
อาจทำหลายวิธีมาประกอบการวินิจฉัย ทั้งนี้หมออาจพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ คือ
·
อายุ คนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ส่วนใหญ่คือราว 90% จะมีอายุเกิน 50 ปี ·
เพศ, เผ่าพันธุ์
ในชาวอเมริกันนั้นผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ มากกว่าผู้หญิง
คนผิวดำจะมีความเสี่ยงมากกว่าคนผิวขาว แต่คนผิวดำในทวีปอัฟริกา
กลับมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำมาก
ดังนั้นความเสี่ยงเชิงเผ่าพันธุ์ จึงขึ้นกับว่าอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมหรือเปล่า ·
อาหาร อาหารที่อุดมด้วยไขมันและแคลอรี ในขณะที่มีเส้นใยอาหารน้อย (เช่น
ข้าวกล้อง ผัก และผลไม้) จะมีความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง ·
เนื้องอกโพลิป
ถ้ามีเนื้องอกโพลิปอยู่ด้วยก็จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ·
ประวัติครอบครัว คนที่มีญาติสนิทที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็จะมีปัจจัยเสี่ยงสูงขึ้น
เช่น ถ้ามีน้องเป็นมะเร็งลำไส้ตรงคนหนึ่งแล้ว
คนที่เหลือก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งแบบเดียวกัน ได้ราว 10-15% ·
การออกกำลังกาย ผู้ที่มีกิจกรรมที่ใช้กำลังกายปานกลางจะมีความเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยลง
·
แอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
คนที่บริโภคทั้งสองอย่างนี้รวมกันจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม
คนที่ไม่สูบบุหรี่แต่ดื่มเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์โดยบริโภคอาหารที่อุดมด้วยผัก และผลไม้จะยังมีความเสี่ยงต่ำ
·
โรคของลำไส้ บางอย่างทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อาการและอาการแสดง มะเร็งลำไส้ใหญ่อาจไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้จนกว่าก้อนมะเร็งจะโตมาก และปรากฏอาการต่างๆ
เช่น ·
ถ่ายอุจจาระมีเลือดปน ·
อุปนิสัยการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น
เคยถ่ายอุจจาระทุกวันก็เปลี่ยนไปมีอาการท้องผูก ·
อุจจาระมีขนาดเล็กลง ·
ปวดมวนท้อง ·
ปวดถ่ายอุจจาระบ่อยๆ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ·
โลหิตจางเนื่องจากขาดธาตุเหล็ก ·
น้ำหนักลดโดยไม่ทราบเหตุ นอกจากนี้ยังพบว่า
อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ก้อนมะเร็งตั้งอยู่ เช่น ถ้าเป็นมะเร็งที่บริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น
ซึ่งอุจจาระยังเหลวมากนั้น อาการจะปรากฏในรูปของเลือดออก โลหิตจาง อ่อนเพลีย
ใจสั่น หายใจลำบาก ถ้าเป็นมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ส่วนขวางอาจปรากฏอาการปวดท้อง ท้องอืด
เลือดออก ส่วนมะเร็งที่สำไส้ใหญ่ส่วนปลาย
และลำไส้ตรงอาจปรากฏอาการแสดงของอุจจาระ ที่มีก้อนเล็กลง การขับถ่ายไม่สม่ำเสมอ
ปวดท้องถ่าย มะเร็งของลำไส้ใหญ่ทุกส่วนมีโอกาสปล่อยเลือดออกมาทั้งเลือดสดๆ
หรือเลือดเก่า จึงขอให้สังเกตดู หากมีลักษณะสีของอุจจาระเปลี่ยนไปขอให้ปรึกษาคุณหมอทันที
การรักษา การผ่าตัดเอาลำไส้ใหญ่ส่วนที่มีมะเร็งออกยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดและมีโอกาสหายขาดมากที่สุด
ปัญหาจะเกิดขึ้นในกรณีที่มะเร็งอยู่ใกล้ทวารหนักมาก
ทำให้ศัลยแพทย์ไม่อาจเย็บลำไส้ ต่อกลับให้เหมือนเดิมได้
กรณีเช่นนี้อาจหมายถึงการย้ายทวารหนักไปไว้ที่ท้องน้อย แล้วใส่ถุงคาดเอวไว้รองรับ
ด้วยเหตุนี้การตรวจคัดลำไส้ใหญ่เพื่อหาเนื้องอกชนิดธรรมดาที่เรียกว่า โพลิปจึงช่วยให้หมอตัดออกแต่เนิ่นๆ ก่อนเนื้องอกกลายเป็นมะเร็ง เคมีบำบัดและรังสีรักษา ใช้ประกอบกับการผ่าตัดเพื่อลดโอกาสกำเริบของมะเร็งและโอกาสรอดชีวิตยืนยาวขึ้น
หลังการผ่าตัดแล้ว จะต้องพบคุณหมอเป็นระยะๆ
เพื่อติดตามดูว่าไม่มีเนื้องอกกำเริบหรือกลับเป็นใหม่ การป้องกันหรือการลดความเสี่ยง แม้จะยังไม่มีวิธีกำจัดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 100% แต่ก็มีวิธีลดความเสี่ยงลงได้ เช่น
·
บริโภคอาหารที่อุดมด้วยผักและผลไม้เพื่อให้มีเส้นใยหรือกากอาหารมากขึ้น อุจจาระจะมีขนาดโตขึ้น
จนขับถ่ายง่ายขึ้น ไม่คั่งค้างในลำไส้ใหญ่นานเกินไป จนปล่อยสารเคมีที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ของเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่
·
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะได้ทั้งการลดความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังช่วยลดความอ้วน
·
การใช้ฮอร์โมนเสริมในหญิงวัยหมดประจำเดือน ปัจจุบันนี้วงการแพทย์แนะนำให้คนที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปปรึกษาคุณหมอ เพื่อช่วยพิจารณาความเสี่ยงแล้วให้รับการส่องกล้องตรวจดูลำไส้ใหญ่ปีละครั้ง
เพื่อตรวจคัดว่ามีมะเร็งหรือโพลิปหรือไม่เพื่อจะได้วินิจฉัยและรักษาให้หายขาดได้แต่เนิ่นๆ
นพ.ชุมศักดิ์ พฤกษาพงษ์
|
(update
28 มีนาคม 2001)
[